บทที่ 143 การเรียนรู้คุณงามความดี
เมื่อหลิวเหิงเดินทางกลับมาบ้านพร้อมกับพวกผู้เฒ่าหวูโถวทั้งสี่คน ขณะนั้นเองเหยียนซีก็กลับมาจากโรงน้ำชาแล้ว
มองดูบุรุษพิการทั้งสี่ที่มีลักษณะน่าสะพรึงกลัว ปฏิกิริยาแรกของเหยียนหลิ่วเหมือนกับเหยียนเฟิง นางรีบพุ่งเข้าไปดันเหยียนซีให้หลบอยู่ด้านหลังของตน เหยียนซีไม่ทันสังเกตว่านางเดินเข้าประตูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมายืนอยู่หน้าตนได้อย่างไร ดวงตาของเธอคล้ายจะพร่ามัวไปชั่วขณะ กว่าจะมีสติอีกครั้ง เด็กสาวก็ยืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว ตอนนั้นเองเหยียนหลิ่วก็ถามออกไปว่า “นั่นใคร?”
ผู้เฒ่าหวูโถวมองดูใบหน้าของเหยียนหลิ่วที่คล้ายถูกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะ ดวงตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งเย็นยะเยือก จึงกล่าวขึ้นว่า “ทักษะของสาวน้อยคนนี้ช่างล้ำเลิศนัก”
เหยียนหลิ่วเห็นว่าบุรุษทั้งสี่ไม่ขานตอบ จึงยกมือขึ้นเตรียมจะวิ่งเข้าใส่ โชคดีที่หลิวเหิงกับเหยียนเฟิงเดินกลับเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าในอ้อมแขนเสียก่อน “เสี่ยวหลิ่ว หยุด!”
หลิวเหิงขอให้เหยียนเฟิงพาบุรุษทั้งสี่ไปอาบน้ำล้างหน้า และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ จากนั้นจึงหันกลับมาอธิบายว่า “ข้าเป็นคนพาพวกเขากลับมาเอง หลังจากนี้ให้พวกเขาทำงานรับใช้ในบ้านเราได้หรือไม่?”
ก่อนจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เหยียนซีฟัง “ซีเอ๋อร์ ข้าเกรงว่าบุรุษทั้งสี่จะมีความลับซ่อนอยู่ในใจ เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมพูดออกมา และข้าก็ไม่ได้เอ่ยถาม ตอนนี้เจ้าก็ได้เจอพวกเขาแล้ว เราจ้างพวกเขามาทำงาน ให้อาหารและที่พักแก่พวกเขาได้หรือไม่ หากหลังจากนี้พวกเขาต้องการจะจากไป ก็เพียงปล่อยให้พวกเขาไป”
เหยียนซีได้ยินว่าบุรุษทั้งสี่เป็นทหารผ่านศึกพิการที่เร่รอนอยู่ตามท้องถนน หลังจากที่พวกเขาถูกส่งตัวกลับมายังภูมิลำเนาเดิม “ได้สิเจ้าคะ ข้าจะรับไว้” อย่างไรพวกเราก็ต้องการจ้างคน และคงจะดีหากเป็นคนรู้วิชาต่อสู้ถึงสี่คน
หลังจากพวกผู้เฒ่าหวูโถวไปเก็บข้าวของจนเสร็จแล้ว เธอก็ขอให้หลิวเหิงเขียนสัญญาขายตัว
เหยียนซีมองดูร่องรอยแผลเป็นบนร่างกายของบุรุษทั้งสี่ ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวและผอมแห้ง คงจะลำบากแน่หากพวกเขาป่วยไข้ เมื่อเหยียนหลิ่วต้องไปเปลี่ยนเฝือกใส่มือ จึงขอให้พาคนทั้งสี่ไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บด้วย
หมอตรวจร่างกายและจ่ายยาให้ตามอาการ
เหยียนซียุ่งมากจนรับมือไม่ไหว
หลังจากเธอปล่อยข่าวว่าต้องการรับสมัครพนักงาน คนมากหน้าหลายตาต่างพากันมาที่บ้านตระกูลหลิว
หัวหน้าตระกูลหลิวที่กำลังฟื้นฟูบ้านตระกูลหลิวอยู่ พบว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลิวเหิงล้วนน่าเป็นห่วงทั้งสิ้น หลังจากที่ชายหนุ่มฝังร่างของนางหวังเสร็จแล้ว ก็ได้มาพูดคุยรายละเอียดทั้งหมดกับหัวหน้าตระกูล ถึงแม้เขาจะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของใต้เท้าสวี พูดเพียงแต่ว่าได้ล่วงเกินศัตรู ดังนั้นจึงเกรงว่าเส้นทางการสอบหน้าพระพักตร์นั้นคงจะลำบากขึ้นไม่น้อย
เมื่อถึงเวลานั้นคงจะได้เห็นกันว่าผู้ใดกันที่มองการณ์ไกลกว่ากัน
หลังจากอ้อยอิ่งอยู่หน้าห้องโถงบรรพบุรุษเป็นเวลานาน หัวหน้าตระกูลหลิวก็ตัดสนใจแล้วว่า หากขับไล่หลิวเหิงออกไป เมื่อถึงเวลานั้นตนคงไม่อาจเผชิญหน้ากับเหล่าบรรพบุรุษได้ หัวหน้าตระกูลเป็นคนเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ ทว่าก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสให้เขาได้เปิดเผย แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เขาจะแสดงความกล้าหาญออกมา
หัวหน้าตระกูลหลิวเชิญผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลมาปรึกษาหารือ กล่าวว่าหลิวเหิงเป็นลูกหลานของบ้านตระกูลหลิว และบ้านตระกูลหลิวในหมู่บ้านหยางซานจะคอยอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับชายหนุ่ม
ตอนที่หัวหน้าตระกูลได้ยินว่าเหยียนซีกำลังต้องการคน เขาก็รีบยับยั้งคนในตระกูล และไล่คนเกียจคร้านออกไปทันที “นี่คือทรัพย์สินของเอ้อร์หลาง การจะไปทำงานอยู่ที่นั่นต้องนึกถึงหน้าตาของเขาด้วย”
เขาเห็นว่ามีเด็กบางส่วนในหมู่บ้านออกมาทำมาหากินข้างนอก จึงคัดเลือกคนที่ซื่อสัตย์ สุจริต และขยันขันแข็งทำงานมาให้แก่เหยียนซี
ในปัจจุบันกิจการของครอบครัวมักถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง ถึงกระนั้นเหยียนซีกลับยอมรับรายชื่อที่ถืออยู่ในมือ หากตระกูลจะเริ่มต้นธุรกิจ ความสามัคคีกลมเกลียวและแรงผลักจากภายในคือสิ่งที่ดีที่สุด
รายชื่อดังกล่าวถูกคัดเลือกโดยหัวหน้าตระกูลหลิว คนที่มีอายุมากที่สุดอยู่ในช่วงสามสิบปีเศษ และคนอายุน้อยที่สุด มีอายุเพียงแค่สิบสองปีเท่านั้น
ตอนนี้ยังไม่ต้องการกำลังคนมากนัก เหยียนซีจึงคัดเลือกมาทั้งหมดสิบสองคน เธอและหวังชีคอยผลัดกันไปที่โรงน้ำชา ทั้งยังเลือกผู้ติดตามไปด้วยวันละสองคน
หน้าที่ในโรงน้ำชาค่อนข้างเรียบง่าย เว้นแต่การทำบัญชีหรือคอยเก็บเงินเท่านั้นที่ยุ่งยากเล็กน้อย ส่วนการทำอาหาร ต้มน้ำ บริการถ้วยชามจานไห และทำความสะอาดชามตะเกียบล้วนเป็นหน้าที่ของเหล่าเด็กน้อยในหมู่บ้านที่ฝึกทำกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ทว่าการทำบัญชีและเก็บเงินไม่ใช่หน้าที่การงานที่ผู้ใดก็สามารถทำได้ เพราะอย่างน้อยจำเป็นต้องรู้จักการทำบัญชี
ในบรรดากลุ่มของพวกเขา หลิวจิ้นเป่าจากบ้านท่านอาสามเคยเข้าไปทำงานในเมืองมาก่อน จึงสามารถทำบัญชีได้ไว
เขามาสมัครงานด้วนตนเอง ได้ยินมาว่าเขาปฏิเสธที่จะเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองทันที เมื่อได้ยินท่านแม่กล่าวว่าเหยียนซีกำลังรับสมัครคนงานสำหรับโรงน้ำชา
ความประทับใจแรกของหลิวจิ้นเป่าที่มีต่อกิจการของเหยียนซีนั้นคือตอนที่เธอมาขายชาเย็นดับร้อน หลังจากคำกล่าวของเด็กหญิงในตอนนั้น ชาเย็บดับร้อนก็ขาดตลาด ต่อมาเขาเฝ้าดูนางนำผ้าจากมณฑลไปขายถึงสี่ลี้แปดเมือง เปิดโรงงานผักกาดดอง และโรงงานผลิตกระเป๋าและเสื้อผ้าสำเร็จรูป
หลายคนในหมู่บ้านกล่าวว่าเหยียนซีมีโชค ทำเงินมากมายได้จากการขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าตัวเขาเองเคยออกไปมองดูโลกกว้างในตัวเมือง จับพลัดจับผลูทำธุรกิจ คอยพึ่งพาโชคถึงสองสามครั้ง ถึงกระนั้นอย่างไรก็จะพึ่งพาโชคให้ได้เงินอยู่ตลอดไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าการติดตามเหยียนซีมาทำธุรกิจเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
ทว่าแม่ของหลิวจิ้นเป่ากลับลังเล หากทำงานเป็นผู้จัดการในที่ว่าการอำเภอ นางได้ยินมาว่าจะได้รับเงินมากกว่าหนึ่งถึงสองตำลึงต่อเดือน
“ท่านแม่ ในที่ว่าการอำเภอนั้นเจ้าของร้านส่วนใหญ่เป็นผู้จัดการร้านเอง ไม่ต้องการผู้จัดการร้านหรอกขอรับ ร้านค้าแต่ละร้านไม่เหมือนกัน บางร้านให้เงินตำลึง บางร้านให้เงินธนบัตร ท่านแม่ก็เห็นว่าช่วงนี้พวกเอ้อร์หลางทำกระเป๋าเสื้อผ้ากันอยู่ ดีเสียยิ่งกว่างานหยาบกระด้างที่ท่านพ่อไปทำให้คนอื่นเสียอีก บัดนี้ซีเอ๋อร์จริงจังกับการเปิดโรงน้ำชา นางกล่าวว่ากำลังหาคนอยู่ ไม่แน่หลังจากนี้นางอาจจะเปิดรับผู้จัดการร้าน ให้ข้าเข้าไปทำงานหนัก ก็ยังดีกว่าอยู่ที่ว่าการอำเภอมิใช่หรือขอรับ? เพียงรับเงินและกลับบ้านมา”
ตามกฎในขณะนั้นยังไม่มีเงินเดือนสำหรับเด็กรับใช้ และมีการลงนามในสัญญาว่าจ้าง หากไม่ทำงานนานแปดถึงสิบปีก็อย่าได้คิดว่างานจะจบสิ้น หากต้องการทำงานให้จบในเร็ววัน ก็ต้องทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิม จึงจะจบได้ในสามถึงห้าปี ทว่าหากเขาติดตามญาติพี่น้องของตน ก็ไม่จำเป็นต้องมีสัญญา และแน่นอนว่ายามนี้เขาก็ยังทำงานไม่สำเร็จ
ท่านแม่ของหลิวจิ้นเป่ายังคงลังเล ทว่าท่านอาสามกลับตอบตกลงและพาหลิวจิ้นเป่าไปหาเหยียนซีด้วยตนเอง “ซีเอ๋อร์ ท่านพี่จิ้นเป่าของเจ้าเคยทำงานในว่าที่การอำเภอมาก่อน หากเจ้าให้เขาทำงานซ่อมบำรุงหรือเสี่ยวเอ้อร์ก็ย่อมได้ ทว่าหากไม่มีอะไรเหมาะสม ก็ให้เขากลับบ้านมาเสีย”
เหยียนซีมีความประทับใจดี ๆ กับหลิวจิ้นเป่า บุรุษผู้นี้อดทนต่อความยากลำบากและขยันขันแข็ง ที่สำคัญคือชายผู้นี้เป็นคนจริงใจ และแม่ลูกบ้านตระกูลหลิวเองก็คอยดูแลเธอเป็นอย่างดีอยู่หลายครั้ง
หลังจากทำงานมาสองวัน ทักษะการคำนวณบัญชีของเขาก็เพียงพอที่จะเป็นผู้จัดการโรงน้ำชา
อีกทั้งคนที่ติดตามมาทำงานก็ต่างพากันทำงานหนักเช่นเดียวกัน
เนื่องจากต้องมีมาตรฐาน การฝึกอบรมพนักงานจึงมีความจำเป็น
เหยียนซีตั้งกฎการให้รางวัลและบทลงโทษ กฎการจัดการร้านค้า การทำงานของคนงาน และกฎเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่งตามประสบการณ์ของเธอเอง
หลิวเหิงมองดูกฎเกณฑ์ที่เหยียนซีเขียนลงบนกระดาษแผ่นหนา อ่านแต่ละข้อ และกล่าวชมนางว่า “ซีเอ๋อร์ช่างคิดนัก”
กฎเกณฑ์ดังกล่าว ส่วนที่เล็กน้อยที่สุดคือการมาเปิดประตูโรงน้ำชาทุกวัน ขณะที่ข้อสำคัญคือการจัดซื้อสิ่งของภายในร้าน ตลอดจนถึงกฎการทำงานและการเลื่อนตำแหน่งของคนงาน อาจกล่าวได้ว่าทุกคนมีสิทธิ์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้าน ซึ่งทำให้หลิวเหิงรู้สึกว่าแปลกใหม่มาก
เมื่อถึงเวลาปิดโรงน้ำชาในตอนเย็น เหยียนซีก็เรียกคนงานใหม่ทั้งสิบสองคนมาที่บ้าน กล่าวอบรบคนงานในรูปแบบที่เรียบง่าย และเธอตั้งชื่อมันว่า ‘การเรียนรู้คุณงามความดี’
หมู่บ้านในตอนกลางคืนไร้ซึ่งสื่อบันเทิงใด ๆ ทำให้แม้แต่หัวหน้าตระกูลหลิวก็ยังมาฟังการอบรมที่แปลกใหม่ดังกล่าว
เหยียนซีแจกจ่ายกระดาษสองหน้าให้ทั้งสิบสองคน นี่เป็นการจัดสรรแบ่งงานภายในร้านที่เธอกับหลิวเหิงเขียนคัดลอกลงมา พวกผู้เฒ่าหวูโถวค่อนข้างมีความรู้ จึงช่วยคัดลอกสำเนาอีกสองสามฉบับ
ในบรรดาสิบสองคนที่ได้รับคัดเลือก หลิวจิ้นเป่าเป็นผู้มีความรู้มากที่สุด รองลงมาคือชุนหนิวพี่ชายของชุนเยี่ยนที่เป็นเพื่อนเล่นกับเหยียนซี สภาพครอบครัวของหลิวชุนหนิวค่อนข้างธรรมดา แม้ปฏิเสธที่จะเข้าเรียน ทว่าเขากลับมีความพากเพียรมากโข ทุกครั้งที่ไปตลาดจะต้องไปยืนมองดูตัวอักษรบนร้านค้า ทำให้ยามนี้เขาสามารถจดจำตัวอักษรได้มากกว่าหนึ่งร้อยตัว และสามารถขีดเขียนได้ดั่งภาพวาด
MANGA DISCUSSION