บทที่ 136 สะสมบารมี
เมื่อเหยียนซีเอ่ยเช่นนั้น บางคนที่เคยได้ยินเรื่องราวของครอบครัวหลิวจู่เหรินมาก่อนก็อุทานขึ้นมา “นี่คือครอบครัวของหลิวจู่เหรินงั้นหรือ!?”
คนที่ไม่รู้ก็เอ่ยถามเรื่องราวกันอย่างเงียบ ๆ ในไม่ช้าทุกคนก็ต่างรู้เรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลิว คนร้ายนั้นตายไปในคุก ส่วนหลิวจู่เหรินก็ต้องไว้ทุกข์อยู่ที่บ้าน
เหยียนซีมองทุกคนแล้วพูดขึ้น “ประการแรก พวกเราเปิดโรงน้ำชาเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ประการที่สองก็เพื่อสะสมบารมีให้ท่านป้าของข้า ในวันที่หนึ่งและสิบห้าของทุกเดือน เราจะแจกโจ๊กหนึ่งร้อยที่ ให้กับนักเรียนที่กำลังเตรียมสอบ และหากใครที่ยังไม่มีที่พัก สามารถพักค้างคืนที่โรงน้ำชาของเราเป็นการชั่วคราวได้”
ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนจะมีการแจกโจ๊ก แม้ว่าจะจำกัดอยู่ที่หนึ่งร้อยชาม แต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อเห็นว่าผู้คนกำลังกระซิบกระซาบกัน เหยียนซีก็เดินไปหาคนที่กำลังผ่านไปมาและเอ่ยเชิญชวน “ทุกท่าน ต่อไปนี้ในวันที่อากาศหนาว ๆ ท่านสามารถเข้ามานั่งพักในโรงน้ำชาของเราก่อนได้”
สำหรับการเปิดร้านครั้งนี้ หลิวเหิงถูกทิ้งให้อยู่ที่บ้านเพื่อเตรียมน้ำแกงกระดุกหมูใส่ถั่วเหลือง เพราะเกรงว่ามันจะยังสุกจนนุ่มไม่พอ เหยียนซีรับหน้าที่นำหวังชี เหยียนเฟิง เหยียนหลิ่วมาต้อนรับแขกที่โรงน้ำชา
ภายในร้านแสนอบอุ่น มีกลิ่นน้ำแกงที่กำลังเดือดหอมฉุย ราคาย่อมเยาเพียงหนึ่งอีแปะช่างน่าดึงดูดใจ และยังเป็นร้านที่หลิวจู่เหรินต้องการระลึกถึงมารดาผู้ล่วงลับ จึงทำให้มีชื่อเสียงที่น่ายกย่องไม่น้อย
พ่อค้ากลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านมาเห็นความคับคั่งและได้ยินคำเชิญชวนว่า “เข้ามาชิมก่อนได้ หากรสชาติถูกปากก็จะได้ไม่ต้องทนกินของแห้ง ๆ อีกต่อไปเจ้าค่าา!”
คนเหล่านั้นเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ จึงเป็นธรรมดาที่จะสั่งชา ข้าวคลุก และน้ำแกงมากิน
“น้ำแกงกระดูกหมูนี่อร่อยมาก ข้าอยากได้เพิ่มอีก” แม้ว่าจะเป็นชามใหญ่แล้วแต่พวกเขาก็ยังต้องการกินเพิ่มอีกเพราะติดใจในรสชาติ
เมื่อมีลูกค้ากลุ่มแรก กลุ่มที่สองที่สามก็เริ่มตามเข้ามา
ในตอนนี้มีบัณฑิตวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเดินเข้ามาพร้อมกับสัมภาระติดตัวด้านหลัง ยืนอยู่หน้าโรงน้ำชาอย่างลังเลใจ เห็นราคาที่ติดอยู่ด้านหน้าก็เดินเข้าไปในโรงน้ำชาแล้วเอ่ยขึ้น “ขอชาชุดใหญ่ให้ข้าด้วย”
เหยียนซีเห็นท่าทางของเขาก็หยุดหวังชี และเดินเข้าไปหาเขาด้วยตัวเอง พาเขาไปที่โต๊ะด้านข้างส่วนต้อนรับ
บัณฑิตผู้นั้นมองไปยังป้ายบนผนังก็ชมเชยขึ้นมา “เป็นคำที่ลึกล้ำยิ่งนัก” และยื่นเงินให้นาง “ข้าจะดื่มชาร้อน ๆ สักชุด”
เหยียนซีหันไปทางห่อสัมภาระของเขา “นายท่านผู้นี้กำลังจะเดินทางไปที่ไหนหรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ ข้ากำลังจะไปเมืองหลวงเพื่อศึกษาเล่าเรียนน่ะ”
ปรากฏว่าเขาเป็นจู่เหรินที่กำลังจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเตรียมสอบ ดูจากการแต่งกายของเขา และการที่ไม่ได้มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว เห็นชัดว่าครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวยมากนัก
เหยียนซีเห็นว่าถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ดังนั้นแทนที่จะยกน้ำชามาจึงเปลี่ยนเป็นข้าวคลุกและน้ำแกงกระดูกหมูให้เขา
บัณฑิตผู้นั่นมองมันแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าสั่งเพียงชาเท่านั้นนะ”
“นายท่าน พี่ชายของข้ากำชับมาเป็นพิเศษ ว่าให้ดูแลบัณฑิตที่กำลังเดินทางไปสอบอย่างดีโดยไม่คิดเงินในเวลาอาหาร เมื่ออิ่มท้องแล้วก็จะมีเรี่ยวแรงไปสอบ ข้าขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการสอบที่เมืองหลวง มีรายชื่อปรากฏอยู่ในการประกาศผล”
จู่เหรินผู้นี้ไม่ได้เป็นคนหมิงสุ่ย เขาประหลาดใจมากเมื่อได้ยินดังนั้น มีคนใกล้เคียงเอ่ยอย่างเสียดายขึ้น “ข้าได้ยินว่าหลิวจู่เหรินเป็นถึงย่าหยวนของหย่งโจว น่าเสียดายนักที่เขาเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ไม่ได้”
เมื่อบัณฑิตหนุ่มได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นย่าหยวน ก็เริ่มสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นและถอนหายใจออกมาหลังทราบเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับหลิวเหิง ตัวเขาเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ต้องการหาที่นั่งพัก เดิมทีตั้งใจจะหาที่นั่งสำหรับเอาอาหารแห้งออกมากิน แต่ตอนนี้มีอาหารปรุงใหม่ ๆ หน้ากินอยู่ต่อหน้าแล้ว
“ต้องขอบคุณเจ้ามาก” เขากล่าวขอบคุณ เริ่มกินซุปกระดูกหมู ก็รู้สึกอุ่นขึ้นตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็กินข้าวคลุกหมูและผัก รสชาติกลมกล่อม เข้ากันอย่างลงตัวในมื้ออาหาร อักษรสี่ตัวของ โรงชาอวี่เซิ่น ก็ถูกจดจำไว้ในใจ
ในวันแรกที่เปิดขาย ชาชุดใหญ่สามหม้อใช้ชาหนึ่งถุง ขายได้สามสิบกา เท่ากับเงินเก้าสิบอีแปะ
โจ๊กก็ขายดีจนหมดหม้อ
ข้าคลุกและน้ำแกงรสชาติดีมาก แต่ราคาห้าอีแปะ มีเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจจ่าย สามารถขายได้ยี่สิบแปดชามเท่านั้น ต้องขอบคุณกองคาราวานสองกลุ่มที่แวะเข้ามา
หลังจากที่หวังชีพูดคุยกับเหล่าพ่อค้าในกองคาราวาน ก็พบว่าพวกเขาจะเดินทางผ่านถนนหลักแห่งนี้ทุก ๆ สิบวัน ซึ่งพวกเขาจัดว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่อำนาจจับจ่ายสูง
เมื่อขายข้าวกับน้ำแกงแต่ละครั้งจะได้เงินกำไรสองอีแปะ โจ๊กสามชามได้หนึ่งอีแปะ และชาชุดใหญ่ได้กำไรมากที่สุด ชาสามหม้อใช้ต้นทุกเพียงห้าอีแปะสำหรับชาหนึ่งถุงเท่านั้น
วันนี้พวกเขาได้เงินทั้งหมด หนึ่งร้อยหกสิบสามอีแปะ เป็นวันเปิดร้านที่ถือว่าขายของดีมาก
“พรุ่งนี้จะไม่มีตลาดนัด ดังนั้นยอดขายจะน้อยลง”
“ไม่มีตลาดนัดในตำบลชิงหลงแล้วหรือ” เหยียนหลิ่วเข้าใจว่าตลาดนัดจะมีไปอีกสองสามวัน
“คนที่เดินทางเข้าเมืองจะยินดีจ่ายมากขึ้นอีก”
คนที่เดินทางเข้าเมืองจะเป็นคนค่อนข้างมีฐานะ มีกำลังจ่ายมากขึ้นเพื่อหาที่นั่งพัก ต่างจากผู้คนที่ไปตลาดนัดในชิงหลงที่เป็นชาวบ้านในบริเวณโดยรอบนี้มากกว่า พวกเขายอมทนหิวเดินทางกลับไปกินข้าวที่บ้านได้
“ไม่เป็นไร ยังมีพ่อค้าจำนวนมากที่จะเดินทางผ่านถนนหลักเส้นนี้ สินค้าส่วนใหญ่ที่จะมาจากชิงหลงก็จะต้องผ่านเส้นทางนี้เช่นกัน” หวังชียังมองในแง่ดี
หลิวเหิงเห็นเหยียนซีจัดการบัญชีอยู่ใต้แสงไฟ จึงนำถ้วยชาร้อนมาให้นาง “ซีเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวล ข้าได้ยินมาจากท่านอาจารย์ว่านายอำเภอหงได้รับคำสั่งย้ายมาแล้ว และได้ยินมาจากเพื่อนร่วมสำนักสองสามคนว่านายอำเภอคนใหม่บ้านมาจากอำเภอไหวผิงเมืองหย่งโจว”
หมายความว่านายอำเภอคนใหม่นี้ไม่ได้เป็นคนของใต้เท้าสวี
“พี่เอ้อร์หลางข้ายังต้องการเปิดโรงน้ำชาเพิ่มเติม โรงน้ำชาก็ไม่ต่างจากจุดพักของนักเดินทาง ถ้ามีโรงน้ำชาเพิ่มขึ้นไปตามระยะทางร้อยลี้ถึงเมืองหลวงก็คงจะดีไม่น้อย”
เหยียนซีคิดว่านี่เป็นหนทางในการสร้างเครือข่ายของตนเอง เช่นเดียวกับโรงเตี๊ยมและร้านขายผ้าของตระกูลเฉิน พวกเขามีร้านอยู่ทั่วเมืองหย่งโจว พวกเธอเองก็สามารถเปิดโรงน้ำชาไปตามเส้นทางเช่นนี้ได้ไม่ต่างกัน
ถนนเส้นหลักส่วนใหญ่จะรายล้อมไปด้วยหมู่บ้านต่าง ๆ และยังมีที่ดินว่าง ๆ หลายแห่งให้จับจองในราคาต่ำ ต้องหาพื้นที่ที่ไม่มีความขัดแย้งกับใคร จึงจะสามารถซื้อขายกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างรวดเร็ว
มีผู้คนที่มั่งคั่งและทรงอำนาจมากมายในเมือง เมื่อเห็นช่องทางทำเงินแล้วก็ต้องคำนึงถึงเรื่องอำนาจเหล่านี้เช่นกัน
ที่ริมทางหลวงนอกจากนักเดินทาง ก็ไม่ได้มีคนสัญจรพลุกพล่านนัก ทำให้ผู้คนแถบนั้นน้อยลง
“เจ้าต้องการเปิดโรงน้ำชาไปตามทางหลวงงั้นหรือ?” หลิวเหิงไม่คาดว่าเหยียนซีจะมีแผนการใหญ่และต้องการสร้างเครือข่ายของตนเองด้วยวิธีการเช่นนี้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เริ่มออกความเห็น “บางที เจ้าอาจจะไปสอบถามที่รอบ ๆ ศาลาพักม้าได้ ศาลาเหล่านั้นเป็นของทางการทั้งหมด และอยู่ริมทางที่เป็นของราชสำนัก น่าจะปลอดภัยที่สุด”
จริงด้วย! เธอคิดไม่ถึงมาก่อนเลย
ว่ากันว่าเมื่อตั้งศาลาพักม้าหนึ่งแห่งพื้นที่ในระยะสามสิบลี้จะปลอดภัย หากเลือกตั้งโรงน้ำชาในบริเวณนั้นก็จะไม่เจอผู้ร้ายเข้ามาก่อปัญหา
“ใกล้กับศาลาพักม้าก็ดี แต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะเปิดโรงน้ำชาของเราได้หรือไม่” หวังชีพึมพำ
“พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปที่ศาลาพักม้าหลินสุ่ยนอกอำเภอหมิงสุ่ย” เหยียนซีพูดถึงแผนการของตนเอง
ศาลาพักม้าหลินสุ่ย อยู่ระหว่างทางจากอำเภอหมิงสุ่ยไปยังเมืองถงอัน ชื่อหลินสุ่ย ตั้งขึ้นเพราะอยู่ใกล้กับลำห้วยหมิง เธอเคยเดินทางผ่านแล้วพบว่าที่นั่นใหญ่โตน่าประทับใจ
“ให้ข้าไปที่นั่นเองจะดีกว่า” หลิวเหิงส่ายหน้า “เจ้าหน้าที่ศาลาพักม้าเหล่านั้นไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่าย ๆ ให้ข้าไปคุยกับพวกเขาน่าจะง่ายกว่า”
“ท่านออกไปไหนมาไหนได้แล้วหรือ?”
“ข้าจะพาเสี่ยวเฟิงไปด้วย มีเขาไปด้วยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย อีกอย่างเจ้ายังต้องไว้ทุกข์อยู่ อย่าเพิ่งออกไปไหนจะดีกว่า” หลิวเหิงไม่สนใจ “หากครบสามปีแล้ว ข้าก็ต้องเดินทางไปยังเมืองหลวง ต้องทำอะไรอีกมากต่อไปในอนาคต หลังจากเอาแต่อยู่บ้านมาช่วงหนึ่งแล้ว ก็ต้องออกไปพบสิ่งใหม่ ๆ บ้าง”
MANGA DISCUSSION