บทที่ 134 มนุษย์นั้นเป็นได้ทั้งคนที่อบอุ่นและเย็นชา*[1]
เกิดเหตุฆาตกรรมที่บ้านของหลิวย่าหยวน ฆาตกรได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ้นใจไปในคุกก่อนที่จะได้มีการพิจารณาคดีและเอ่ยปากสารภาพ ไม่ทราบว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่!?
ในไม่ช้าข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปในทั่วทั้งอำเภอหมิงสุ่ย และเนื่องจากหลิวเหิงส่งข่าวให้อาจารย์ที่สำนักศึกษาเพื่อขอลาหยุด เรื่องเหล่านี้จึงยิ่งแพร่ไปทั่วทั้งเมืองถงอัน
เผยซิ่วรีบเดินทางไปที่หมู่บ้านหยางซานทันทีที่ทราบข่าว เขาเอ่ยปลอบใจหลิวเหิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลิวเหิงไม่สามารถบอกเรื่องราวทั้งหมดแก่อาจารย์ได้ เขาเล่าเพียงว่าตนก็สงสัยว่าจะต้องมีคนคอยบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง อีกทั้งยังวางแผนจะไปหาบ้านเช่าในเมืองถงอันเพื่อเตรียมสำหรับการศึกษาเล่าเรียน
หลังเผยซิ่วเห็นท่าทีที่ไร้ซึ่งความลังเลของหลิวเหิงและได้ยินเรื่องการเช่าบ้าน เขาจึงเข้าใจว่ามีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่ เพราะไม่เช่นนั้นชายหนุ่มคงจะไม่ต้องการให้เรื่องการเสียชีวิตของมารดาตนเป็นที่พูดถึงอยู่เช่นนี้
หลังจากกลับถึงบ้านเพียงไม่กี่วัน ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่ว เผยซิ่วกำลังวางแผนที่จะเข้าไปสอบในเมืองหลวงปีหน้า จึงกล่าวว่าหากหลิวเหิงมีจดหมายใด ๆ ก็สามารถฝากเขาไปได้
หลิวเหิงเข้าใจทันทีว่าเผยซิ่วกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ อาจารย์เดาว่าทั้งอำเภอและจังหวัดคงไม่สามารถให้ความยุติธรรมกับมารดาเขาได้ จึงได้อาสาที่จะช่วยยื่นเรื่องนี้ไปยังส่วนกลางให้
แต่ถึงอย่างนั้น หลิวเหิงจะดึงอาจารย์มาเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำเชี่ยวนี้ได้อย่างไร
เขาจึงเขียนจดหมายไปหาอาจารย์ว่าทุกอย่างยังต้องใช้เวลาในการสืบสวนต่อไป ขอให้อาจารย์อย่ากังวลเรื่องนี้มากจนเกินไป
เผยซิ่วเห็นว่าลูกศิษย์ไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงไม่ได้คะยั้นคะยออีกต่อไป เขามุ่งมั่นกับการอ่านตำราเพื่อจะไปสอบที่เมืองหลวง
หลังจากที่เฉินโหย่วฝูทราบข่าวว่าคนร้ายตายในคุกเพราะอาการบาดเจ็บ เขาก็อ่านเอกสารทั้งหมดที่อำเภอหมิงสุ่ยส่งมา ก่อนจะพบว่าฆาตกรเสียชีวิตเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่ก่อนส่งตัวมายังที่ว่าการ และหลิวเหิงยังส่งจดหมายมาขอบคุณเขาที่ช่วยเร่งรัดคดีความให้
เรื่องนั้นทำให้บิดาของเขากังวลไม่น้อย “เจ้าคิดว่าหลิวเหิงติดสินบนแก่ที่ว่าการหรือไม่ ไหนว่าหลิวเหิงกระตือรือร้นที่จะล้างแค้นให้มารดาไม่ใช่หรือ!?”
“ท่านพ่อ หลิวเอ้อร์หลางต้องการล้างแค้นให้มารดาของเขามากจริง ๆ ข้าเกรงว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่คนร้ายตายไป ข้าเห็นกับตาว่ามือสังหารคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลไปทั่วทั้งร่าง ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะตายในคุก แม้ว่าครอบครัวของเอ้อร์หลางจะไม่ถือว่ายากจนมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเงินมากมายถึงขั้นจะติดสินบนนายอำเภอหงได้ อีกอย่าง นายอำเภอก็ไม่ใช่ว่าขาดแคลนเงินอะไร”
“ข้าส่งข่าวไปบอกท่านปู่ของเจ้าแล้ว…”
“ข้าว่าท่านพ่อไปเอาจดหมายคืนมาจะดีกว่าขอรับ หากไม่มีโหลวเหนิงแล้ว สวีถิงจือคงไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้อย่างแน่นอน เรื่องทั้งหมดกระทำการโดยบุตรสาวของเขา หากไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นนางสวีคงไม่แจ้งบิดา ข้าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหลิวเหิง ทราบดีว่าเขาเป็นคนฉลาดมาก ในช่วงหนึ่งปีนี้เขาอาจจะเริ่มเก็บรวบรวมหลักฐานอื่น ๆ มาไว้ในมือ และหากในอนาคตเรื่องนี้จำเป็นจะต้องถูกนำมาเปิดโปงจริง ๆ ใต้เท้าสวีก็คงจะไม่สามารถอยู่เฉยได้”
“เห็นทีก็คงจะต้องทำอย่างนั้น” ใต้เท้าสวีเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก ไม่เคยลงมือทำสิ่งใดด้วยตนเอง ในคราวนี้พวกเขาไม่สามารถพลาดโอกาสที่จะใช้บุตรสาวของอีกฝ่ายมาจัดการตัวเขาเองง่าย ๆ เช่นนี้ไปได้ ทว่าเมื่อไร้ซึ่งพยานแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเปิดเผยความจริงที่เกิดขึ้นนี้ได้
เฉินโหย่วฝูได้รับจดหมายจากหลิวเหิง แล้วก็หยิบมันมาอ่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบจดหมายที่เต็มไปด้วยคำปลอบใจกลับไป ทั้งยังเลือกตำราเตรียมสอบสองสามฉบับของตนเองที่ตัดมาจากคำตอบของจิ้นซื่อส่งไปให้ที่หมู่บ้านหยางซาน
เนื่องจากหลิวเหิงหลีกเลี่ยงหายนะที่ใกล้จะเกิดขึ้นกับเขาไปได้แล้ว จึงทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะยังสามารถเดินหน้าสอบในเส้นทางขุนนางต่อไป นี่คือตำราสำหรับเตรียมสอบที่จะช่วยให้เขาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนตอบ เฉินโหย่วฝูอยากจะรู้มากจริง ๆ ว่าหลิวเอ้อร์หลางจะไปได้ไกลเพียงไหน
ที่หมู่บ้านตระกูลเว่ย สวีอวี้หรงกำลังรอให้โหลวเหนิงกลับมารายงานผล แต่ก็อดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้เมื่อพบว่าเขาเงียบหายไปหลายวัน นางไม่กลัวว่าหลิวเหิงจะรู้ว่าตนเองหมายจะเอาชีวิตเขา แต่กลัวเว่ยหวนจะรู้มากกว่า เพราะนั่นจะกระทบถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาได้
นางจึงรีบส่งคนไปที่อำเภอหมิงสุ่ยเพื่อสืบความ และได้ทราบข่าวว่าโหลวเหนิงถูกจับตัวส่งให้ทางการไปแล้ว โชคดีที่เขาตายไปในคุกทั้งที่ยังไม่ทันจะได้เริ่มการสืบสวน
หากเว่ยหวนรีบไปที่หมู่บ้านหยางซานเพื่อพบกับหลิวเหิง แล้วรู้เรื่องของโหลวเหนิงเข้า เรื่องของนางจะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอน
หลังจากคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สวีอวี้หรงก็เขียนจดหมายถึงบิดาแจ้งว่าเว่ยหวนพบว่านางหวังยังไม่ตาย และต้องการจะนำบุตรชายที่เกิดกับนางหวังกลับเข้าตระกูลเว่ย นางคร่ำครวญขอร้องต่อบิดาให้ช่วยหยุดเขาที
เมื่อใต้เท้าสวีได้รับจดหมาย เขาก็หงุดหงิดใจที่บุตรสาวก่อเรื่องขึ้นแล้ว หลังจากที่วุ่นวายอยู่กับเรื่องกรมยุติธรรมในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอยู่พักหนึ่ง ก็รีบส่งจดหมายสั่งให้เว่ยหวนกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
เว่ยหวนไม่กล้าละเลยคำสั่งนั้น เขาตรงไปที่หมู่บ้านตระกูลเว่ย ตามหาคนที่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของนางหวัง ทว่าก็ยังไม่พบตัว จึงได้ตอบรับจดหมายใต้เท้าสวีว่าจะเดินทางกลับไปก่อน
หลังจากครบรอบเจ็ดวันที่นางหวังเสียชีวิต พวกเขาก็ได้เลือกวันมงคลที่จะฝังนางไว้กับหลิวต้าลี่
แต่เนื่องจากในหมู่บ้านหยางซานมีกฎว่าไม่สามารถฝังคนนอกในสุสานของตระกูลหลิวได้ บางคนจึงรู้สึกไม่พอใจกับการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ครั้งนี้
หลิวเหิงจึงเดินทางไปหาผู้นำตระกูลหลิว และเอาโฉนดที่ดินสิบหมู่ที่นางหวังซื้อมาไปด้วย “ท่านอารอง ท่านแม่ของข้าเป็นกังวลเกี่ยวกับการศึกษาของเด็ก ๆ ในหมู่บ้านอยู่เสมอ หลังจากที่ข้าผ่านการสอบ ท่านแม่ก็ต้องการให้ตระกูลของเรามีลูกหลานที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมากขึ้นกว่าเดิม นางจึงซื้อที่ดินเหล่านี้และต้องการมอบค่าเช่าเป็นเงินสำหรับการตั้งสำนักศึกษาของหมู่บ้าน”
ที่ดินมากกว่าสิบหมู่ ค่าเช่าหนึ่งหมู่เป็นข้าวสารสองร้อยกระสอบ รวมแล้วจะได้ข้าวมากกว่าสองพันกระสอบ มากพอที่จ้างอาจารย์มาสอนหนังสือได้
หัวหน้าตระกูลหลิวอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา เขาคิดถึงการก่อตั้งสำนักศึกษาให้กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเช่นกัน ทว่าต่อให้จะพอมีเงินอยู่บ้าง แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็ยังไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ หากได้เรียนหนังสือ จะต้องมีเด็กอย่างหลิวเหิงอีกมากในตระกูลเรา
“มารดาของเจ้าช่างมีคุณธรรมในจิตใจ ความรู้ของนางยังสูงส่งกว่าสามีมากนัก ทั้งที่ผ่านความยากลำบากมามากถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังคิดถึงเด็ก ๆ คนอื่นในตระกูล คนเช่นนี้สมควรได้รับเกียรติในฐานะสะใภ้ตระกูลหลิว”
หัวหน้าตระกูลหลิวปรึกษากับเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล เมื่อผู้อาวุโสได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับแผนการของนางหวัง ที่จะมอบค่าเช่าที่สำหรับการศึกษาของเด็ก ๆ พวกเขาก็ต่างขอบคุณและมอบความชอบธรรมให้แก่นาง
วันฝังนางหวัง เพื่อนของหลิวเหิงและรุ่นน้องคนอื่น ๆ ต่างก็มาร่วมพิธี พวกเขาเคลื่อนศพไปที่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษพร้อมกับกระดาษขาว และฝังนางร่วมกับหลิวต้าลี่
เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายจากการที่ผู้ตายเสียชีวิตกะทันหัน ชาวบ้านจึงช่วยกันออกเงินเชิญนักบวชลัทธิเต๋ามาทำพิธีสุ่ยลู่เต้าฉ่าง*[2]เป็นเวลาสามวัน
แม้ว่าจะมีคนในตระกูลไม่พอใจเรื่องนี้ ก็จะมีคนขัดขึ้นว่า ‘หากไม่พอใจ ต่อไปก็ไม่ต้องส่งลูกหลานไปเรียนที่สำนักศึกษา ถ้ามีปัญญาก็เปิดสำนักศึกษาขึ้นมาเองเสียสิ!’ คนที่ขัดแย้งก็ถึงกับไม่สามารถเถียงอะไรได้อีก
นางกู้เป็นสมาชิกตระกูลหวัง และหวังชีก็พามารดากลับบ้านที่หยางหมิง จะได้ฝังศพนางร่วมกับบิดาของเขา
หลังจากจบเรื่องงานศพของนางกู้ ในตอนแรกเขาอยากจะไปที่หมู่บ้านตระกูลเว่ย เพื่อหาทางเอาคืนนางสวี แต่เมื่อไปที่นั่นเพื่อถามข่าว ก็พบว่านางสวีเดินทางเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับเว่ยหวนด้วยความเร่งรีบแล้ว เขาจึงทำได้เพียงข่มใจจากความแค้นกลับไปที่อำเภอหมิงสุ่ย
เมื่อหลิวเหิงได้ยินเรื่องที่เว่ยหวนกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว เขาก็หัวเราะเยาะขึ้นมา ท่าทางว่าเว่ยหวนจะสนใจเรื่องงานราชการมากกว่าอะไรทั้งสิ้น หากชายคนนั้นมีความสนใจบ้างเพียงเล็กน้อย จะพลาดข่าวเรื่องการตายอย่างเศร้าโศกของมารดาตนไปได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้น หลิวเหิงก็ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปนับญาติกับเว่ยหวน และเพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น เขาจึงไปหาผู้นำตระกูลหลิว แจ้งว่าเมื่อเดินทางไปที่หย่งโจว เขาได้พบคนที่ดูคล้ายคลึงกับตนเองมาก จนทำให้เกิดข่าวลือไม่ดีบางอย่าง หวังว่าผู้นำตระกูลจะช่วยยืนยันตัวตนให้เขาด้วย
หัวหน้าตระกูลหลิวไม่เข้าใจนักว่าข่าวลือที่ว่านั้นเกิดมาได้อย่างไร แต่การที่หลิวเหิงเป็นบุตรตระกูลหลิวคนแรกที่สามารถสอบผ่านเป็นจู่เหรินได้ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ทุกคนในตระกูลไม่มีทางจะปฏิเสธสายเลือดของเขาในฐานะบุตรชายของหลิวต้าลี่อย่างแน่นอน
ดังนั้นหัวหน้าตระกูลหลิวจึงได้เรียกประชุมทุกคน เพื่อคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังว่าหากมีข่าวลือเกิดขึ้นที่นี่ จะต้องช่วยกันชี้แจงความเข้าใจผิดทั้งหมด และยังบอกด้วยว่าหลิวเหิงจะเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต ตราบใดที่เขาเป็นสมาชิกตระกูลหลิว ที่ดินของครอบครัวจะได้รับการยกเว้นภาษี
นี่คือประโยชน์ที่แท้จริงที่ทุกคนควรได้รับ มีชาวนาที่ไหนอยากจะเสียภาษีที่ดินในราคาสูงลิ่วบ้าง ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจหรือไม่ก็ตาม คนทั้งตระกูลก็ต่างยอมรับกันอย่างชัดเจน ว่าหมู่บ้านหยางซานจะได้ดีก็ต่อเมื่อหลิวเหิงไม่มีเรื่องด่างพร้อย
ดังนั้นหมู่บ้านหยางซานจึงมีความเห็นเดียวกันว่าหากได้ยินเรื่องไม่ดีไร้สาระของหลิวเหิงจากใคร พวกเขาพร้อมจะจัดการทุบคนพูดด้วยไม้เอง!
และเหยียนซีเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เช่นกัน
[1] มนุษย์นั้นเป็นได้ทั้งคนที่อบอุ่นและเย็นชา (人情有冷暖) หมายถึง ในสังคมมนุษย์ผู้คนจะดีกับคนที่มีอำนาจหรือผลประโยชน์ และเพิกเฉยต่อคนที่ไร้ซึ่งอำนาจแลผลประโยชน์
[2] พิธีสุ่ยลู่เต้าฉ่าง (水陆道场) คือ พิธีทางศาสนาขนาดใหญ่ที่ต้องมีพระมาทำพิธีจำนวนมาก เชื่อกันว่าเป็นการอัญเชิญพระโพธิสัตว์มาโปรดผู้ทุกข์ยาก ทำให้เกิดกุศลครั้งใหญ่
MANGA DISCUSSION