บทที่ 132 อยากให้ท่านอภัยให้
“หลิวเหิง! เจ้าดูถูกเรา ดูถูกตัวเอง หรือแม้แต่ฮูหยินก็ด้วยหรือ!” ก่อนที่เหยียนซีจะได้ตอบอะไร หวังชีก็เข้ามาแล้วดึงตัวหลิวเหิงขึ้นจากพื้น “แม่ของข้าบอกเอาไว้ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ ..นางบอกว่าให้ข้ามีสติรู้ผิดชอบอยู่เสมอ! หากสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะความจริงใจแต่เป็นผลประโยชน์ แล้วเราได้ประโยชน์ใดจากเจ้าในตอนนี้เล่า!”
หวังชีอยู่ในชุดไว้ทุกข์ ใบหน้าแดงก่ำ เขาเดินทางกลับมาตลอดทั้งคืนด้วยอาการเศร้าสลด มีหนวดเคราขึ้นครึ้มบนใบหน้า สองมือกำเสื้อของหลิวเหิงแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนที่ข้อมือ “แม่ข้าก็ตายไปแล้วเช่นกัน เราไม่ต่างกันแล้วใช่หรือไม่? งั้นเราไปตายด้วยกันเลย ข้าจะไปกับเจ้าเอง ไปล้างแค้นที่หมู่บ้านตระกูลเว่ยด้วยกัน!”
หวังชีได้ยินนางกู้พูดเรื่องเก่า ๆ ให้ฟังมาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากที่ได้ฟังเรื่องของเว่ยหวน มันก็ทำให้เข้าใจเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมาในทันที ว่าความจริงแล้วเขากับหลิวเหิงเป็นญาติกัน ตั้งแต่เด็กจนโต นางกู้บอกว่าหากไม่มีนางหวัง พ่อของเขาคงตายไปนานแล้ว และเขาเองก็คงไม่ต่างกัน ดังนั้นตอนที่ทุกคนคิดว่านางหวังตายไปแล้ว ทุกปีพวกเขาจึงแอบเผาเงินกระดาษให้นาง
ทว่าเมื่อนางหวังจากไปแล้วจริง ๆ เขาก็ไม่สามารถทนดูหลิวเหิงตายไปอีกคนได้ “พ่อแท้ ๆ ของเจ้ามันสารเลว! เขาทำให้ท่านอาต้องตาย และตอนนี้ก็ยังหาเรื่องให้เจ้าต้องตายไปอีกคน”
“หลิวเหิง เจ้าเองก็เป็นลูกผู้ชายเช่นกัน! หากตอนนี้จะไปขอความช่วยเหลือจากศัตรูที่ฆ่าท่านอา เช่นนี้มันไม่น่าอดสูเกินไปหน่อยหรือ!!”
หลังจากที่หวังชีตะโกนขึ้น เขาก็ผลักร่างหลิวเหิงด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มี
เหยียนเฟิงรีบเขาไปขวางระหว่างคนทั้งสอง ก่อนจะหันไปช่วยหลิวเหิง
หลิวเหิงตัวสั่นเมื่อได้ยินว่านั่นเป็นการขอความช่วยเหลือจากศัตรู เขาคุกเข่าลงร้องไห้ “ฮึก!…ท่านแม่ ท่านแม่….ลูกชายของท่านช่างไร้ความสามารถ! ข้าต้องการล้างแค้นให้ท่าน แต่ก็ไม่อาจฆ่าศัตรูของท่านลงได้!…ลูกชายของท่าน…ตั้งใจเล่าเรียนมาตั้งมากมาย อยากจะเป็นปัญญาชน เพื่อภายหน้าจะได้เป็นที่พึ่งพา! คอยปรนนิบัติดูแลไม่ให้ท่านแม่ต้องลำบากอีก….แต่!…ตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่าขอรับ…เรียนไปจะมีประโยชน์อะไรอีก!!”
หวังชีและเหยียนซีอดไม่ได้ที่จะเศร้าโศก ทั้งห้องโถงไว้ทุกข์ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้อีกครั้ง
หลังจากร้องไห้ไปพักหนึ่ง หลิวเหิงก็ดูเหมือนจะได้สติขึ้น ในที่สุดใบหน้าของเขาก็ไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป ยามทุกข์ใจ หากร้องไห้ออกมาได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสมอ
เหยียนซีเริ่มโล่งใจที่ได้เห็นเช่นนั้น
ทว่าจู่ ๆ หลิวเหิงก็คุกเข่าให้หวังชี และเริ่มทำความเคารพ แต่หวังชีหยุดเขาไว้ก่อนที่จะทำมันอีกครั้ง “เจ้าทำอะไรเนี่ย!?”
“พี่หวังชี ทั้งหมดเป็นเพราะป้ากู้มาเกี่ยวข้องกับครอบครัวเรา ข้า…”
“ไม่! แม่ข้าถูกคนเลวฆ่าตาย ไม่ใช่ความผิดอะไรของเจ้า!” หวังชีส่ายหน้า “ตัวคนผิดก็เห็นอยู่แล้ว เวรกรรมนี้มีเจ้าของของมัน ข้าแยกแยะได้ว่าอะไรถูกผิด แม่ข้าไม่เคยเจอลูกพี่ลูกน้องของพ่อ แต่ก็ได้ยินเรื่องของนางเสมอ ท่านพ่อมักพูดว่านางเป็นคนดีมาก”
หวังชีสะอึกไปครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงสิ่งที่นางกู้พูดตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ วันที่แม่ลูกอยู่ด้วยกันสงบสุข และอีกไม่นานครอบครัวเรากำลังมีชีวิตที่ดี พวกเขาคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่น แต่ในชั่วพริบตานั้น ความสุขนั้นก็พลันสลายหายไป
เมื่อเห็นหลิวเหิงร้องไห้อย่างขมขื่น สีหน้าของเหยียนซีก็ไม่ได้มืดมนอีกต่อไป เธอคุกเข่าลงข้างเขาเพื่อเกลี้ยกล่อม “พี่เอ้อร์หลาง หลังจากที่เราฝังศพท่านป้าแล้ว เราจะไปเมืองหลวงกันใช่หรือไม่? ท่านต้องไปสอบฮุ่ยซื่อ หากผ่านการสอบครั้งนี้ก็จะสามารถรับราชการได้” หลังจากที่ได้เห็นฝีมือของเหยียนเฟิงเมื่อคืนนี้ เด็กหญิงก็คิดว่าหากมีเหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วช่วยอารักขา ก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้
“ซีเอ๋อร์ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าต้องไว้ทุกข์ให้ท่านแม่สามปี” หลิวเหิงส่ายหน้า
ตอนนั้นเองที่เหยียนซีนึกขึ้นได้ว่าการเป็นผู้ไว้ทุกข์จะทำให้เข้าร่วมการสอบไม่ได้
สามปีที่ต้องอยู่อย่างสงบ
“พี่เอ้อร์หลาง หากท่านต้องรอสามปีก่อนที่ท่านจะไปสอบในเมืองหลวง เราก็ยังไม่สามารถแก้แค้นในตอนนี้ได้ รอไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ แก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย”
“แต่ตระกูลเฉินเริ่มลงมือแล้ว…” เขาเองก็เต็มใจที่จะรอ แต่ใต้เท้าสวีย่อมไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น หลังจากที่ตระกูลเฉินส่งหลักฐานต่าง ๆ ของคดีที่สวีอวี้หรงเป็นคนก่อไปยังเมืองหลวง การต่อรองจะต้องเกิดขึ้น
หากใต้เท้าสวีไม่ต้องการให้บุตรสาวของตนต้องคดีความ เขาก็จะต้องหาทางบรรลุข้อตกลงกับตระกูลเฉิน และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ฝ่ายตระกูลเฉินก็จะเป็นผู้จัดการคดีนี้ของใต้เท้าสวีให้
จะต้องแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร? แน่นอนว่าทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการใช้ประโยชน์จากการเป็นครอบครัวของเหยื่อ
“งั้นเราก็มาทำให้มันจบเพียงแค่นี้เถอะเจ้าค่ะ” เหยียนซีสงบลง “หากโลกนี้ขับเคลื่อนด้วยการต่อรองผลประโยชน์ เช่นนั้นเราก็จะต้องสะสมผลประโยชน์ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้เป็นข้อต่อรอง”
ไฟที่ลุกโหมและโลหิตแดงฉานทำให้เด็กหญิงเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น ใช่ว่าตนอยากจะหลบหนีอย่างหมาขี้ขลาด เพื่อตอบแทนบุญคุณนางหวังและเพื่อช่วยเหลือหลิวเหิง เธอจำเป็นต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้!
หลังพูดจบก็ไม่รอให้หลิวเหิงพูดอะไรอีก เด็กหญิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกเจ็บแผลแต่ก็กัดฟันเดินไปยังซากพุพังของบ้านหลังเก่า เธอเรียกเหยียนเฟิงให้ตามไปยังส่วนที่เคยเป็นห้องนอนของตนเอง แล้วออกคำสั่ง “เหยียนเฟิง ขุดตรงนี้ที”
เหยียนเฟิงเอาหิน อิฐ ออกไปแล้วขุดบริเวณนั้นด้วยจอบ ในไม่ช้าก็ได้หม้อขึ้นมาใบหนึ่ง
ต้องขอบคุณตัวเองที่ระมัดระวังเป็นอย่างดี เหยียนซีเปิดหม้อดินเผาขึ้นมา ภายในมีทั้งเงิน โฉนดที่ดิน และจี้หยก
จี้หยกชิ้นนี้เป็นของเด็กหนุ่มที่นางเคยช่วยเหลือทิ้งเอาไว้ให้ ฮูหยินผู้เฒ่าอันและครอบครัวนายอำเภอน่าจะรู้จักมัน ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือใช้มันให้เป็นประโยชน์
“ข้าจะไปที่ว่าการ” เธอเอ่ยขึ้นก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และขอให้เหยียนเฟิงช่วยบังคับวัวเทียมเกวียน ทิ้งให้หลิวเหิงอยู่ที่บ้าน
เกือบจะค่ำแล้วตอนที่เธอมาถึงที่ว่าการอำเภอหมิงสุ่ย
เหยียนซีสวมเสื้อผ้าเรียบ ๆ เอาดอกไม้สีขาวบนศีรษะเก็บไว้ในแขนเสื้อ ก่อนจะเข้าไปพบหญิงชราที่อยู่ในบ้านด้านหลังที่ว่าการอำเภอ
ครั้งนี้ต่างจากตอนที่เธอมาเพื่อส่งของขวัญปีใหม่ ที่ไม่นานก็ถูกเชิญให้เข้าไปพบทันที เด็กหญิงต้องรอนานก่อนจะมีคนมารับเข้าไปที่ลานด้านหลัง
ยังคงเป็นโถงบุปผาที่เดิมที่เธอเคยเข้ามาในวันปีใหม่ ฮูหยินผู้เฒ่าอันนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะ และมีนายอำเภอหงนั่งอยู่ที่นั่นด้วย
เมื่อเห็นว่าเหยียนซีเข้ามาโดยไม่ได้สวมชุดไว้ทุกข์ ฮูหยินผู้เฒ่าอันก็ลอบพยักหน้ากับตนเอง
นางสั่งให้คนไปเอาชามาเพิ่ม ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก พลางคิดว่าครั้งนี้เหยียนซีจะมาพูดเรื่องอะไร ลูกชายของนางเป็นเพียงนายอำเภอเล็ก ๆ เขาอยู่ที่นี่เพื่อทำงานสะสมบารมีให้แก่ตัวเอง ไม่ต้องการที่จะเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างขุนนางใหญ่เหล่านั้น
เหยียนซีไม่ได้เอ่ยออกอะไรออกมา เดินตรงไปทางหญิงชรา ก่อนจะคุกเข่าลงข้างนาง เอาจี้หยกออกมาวางลงที่พื้นด้านหน้าตน และทำความเคารพสามครั้ง
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าอันเห็นจี้หยก นางก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “เจ้าต้องการล้างแค้นให้นางหวังงั้นสินะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าอัน ข้าอยากให้ท่านอภัยแก่ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“อภัยให้งั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ โหลวเหนิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและตายในคุก”
“ว่าอย่างไรนะ!?” นายอำเภอหงประหลาดใจมากและเอ่ยขึ้น “หลิวเหิงเป็นคนเอาตัวคนร้ายมาส่งให้ข้าเมื่อเช้านี้…”
“เมื่อฆาตกรรายนี้ถูกจับ ครอบครัวของผู้ตายก็เคียดแค้นเขาจนไม่อาจยั้งมือเอาไว้ได้ พลาดทำให้อวัยวะภายในของเขาเสียหายอย่างรุนแรง …ข้าเกรงว่าโหลวเหนิงจะอาการสาหัสมากและเสียชีวิตในคืนนี้” เหยียนซีไม่เงยหน้าขึ้นมองคนในห้อง เธอก้มหน้ามองที่จี้หยกแล้วพูดเสียงเรียบอย่างใจเย็น
หากตระกูลเฉินต้องการต่อสู้ พวกเขาก็ต้องมีหลักฐาน ทว่ายามนี้ไม่มีหลักฐานอะไร นอกจากพยานปากเดียวเท่านั้น เธอจึงพาเหยียนเฟิงมาที่นี่เพื่อจัดการกับพยานผู้นี้เสีย
ตอนนี้ทุกอย่างเพียงพอที่จะทำให้ทราบชัดแล้วว่าใครคือศัตรูที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องยื่นมีดให้ฝ่ายใดอีก
ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานมากพอ ตระกูลเฉินก็ไม่สามารถต่อรองอะไรกับใต้เท้าสวีได้
ขอเพียงไม่มีใครไปวุ่นวายกับใต้เท้าสวี และพวกนางยังคงอยู่ที่หย่งโจว มันก็จะทำให้ใต้เท้าสวีไม่สามารถส่งคนไปฆ่าใครอย่างไร้เหตุผลได้ หย่งโจวเป็นถิ่นของตระกูลเฉิน หากคิดจะใช้อำนาจที่นี่ก็ต้องระวังหูตาของตระกูลเฉินไว้ด้วย
หากไม่ได้รับผลประโยชน์มากพอ ตระกูลเฉินก็ต้องรักษาหน้าตัวเองเช่นกัน หน้าตานั้นก็นับว่าเป็นผลประโยชน์ทางหนึ่ง
ใต้เท้าสวีมีเรื่องมากมายให้จัดการอยู่ทุกวัน คงไม่มีทางสนใจมดปลวกตัวเล็ก ๆ เป็นแน่ หากไม่ได้ทำอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อเขา มันก็จะทำให้สามปีต่อจากนี้พวกเธอสามารถรอเวลาล้างแค้นได้อย่างปลอดภัยในหย่งโจว
MANGA DISCUSSION