บทที่ 129 ฝีมือของหน่วยกล้าตาย
เหยียนเฟิงมีร่องรอยของการต่อสู้ทั่วร่างกาย เศษใบไม้ติดตามเสื้อผ้าทำให้รู้ว่ามาจากภูเขาด้านหลัง
เมื่อเหยียนซีเห็นว่าเป็นเหยียนเฟิง เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รู้สึกว่าเข่าอ่อนไปชั่วขณะ หมดแรงล้มตัวลงนั่งกับพื้น จากนั้นก็เห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่ลากตัวคนอีกคนมาด้วย
นั่นคือชายชุดดำที่คุ้นตา เด็กหญิงอุทานออกมาเสียงดัง “ใช่แล้ว เป็นเขา!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เหยียนหลิ่วก็กระโดดไปอยู่ตรงหน้าชายชุดดำ ยื่นมือไปบีบคอของอีกฝ่าย คนคนนั้นยังไม่ตาย เหมือนพยายามจะดิ้นรนเอาชีวิดรอดแต่ขยับตัวไม่ได้
เหยียนเฟิงยื่นมือมาขวางเหยียนหลิ่วที่กำลังจัดการชายคนนั้น น้องสาวจึงยอมปล่อยมือไปในที่สุด
เมื่อหลิวเหิงได้ยินเหยียนซียืนยันว่าเป็นชายคนนี้ เขาก็ผงะตกใจ และมองไปที่ชายในชุดดำอีกครั้ง รังสีของความเกลียดชังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง “เสี่ยวเฟิง มันตายหรือยัง”
เหยียนเฟิงส่ายหน้า ลากขาชายชุดดำไปที่หน้าโถงไว้ทุกข์
หลังจากที่โยนร่างมันลงกับพื้นก็จับหน้าผู้ร้ายให้หันมา ทำให้หลิวเหิงและคนอื่น ๆ ได้เห็นใบหน้าคนร้ายอย่างชัดเจน
ชายชุดดำถูกเปิดผ้าปิดหน้าออกแล้วในเวลานี้ ใบหน้านั้นแทบดูไม่ได้ เสื้อผ้าสีดำก็อยู่ในสภาพหลุดลุ่ย หากมองดี ๆ แล้วจะพบว่าทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยจากการถูกของมีคมทำร้าย แสดงให้เห็นว่าชายผู้นี้ถูกจัดการจนอยู่ในสภาพปางตาย
เมื่อเห็นอย่างนั้นเหยียนซีกลับรู้สึกสุขใจขึ้นมา จะมีอะไรปลอบโยนญาติผู้ตายได้เท่ากับการเห็นความทุกข์ยากของฆาตกร
เหยียนเฟิงเตะชายชุดดำจนคว่ำ ทันใดนั้นก็มีเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมา
เมื่อลืมตาขึ้นพบหน้าเหยียนเฟิงใต้แสงไฟริบหรี่ ชายคนนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวจนอยากจะถอยหนี เมื่อเท้าแขนลงที่พื้น กำลังจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก็กลับถูกเด็กชายเอาผ้าดำยัดเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว เสียงร้องนั้นจึงถูกอุดกลั้นไว้ในลำคอ
“อื้อ ๆ” ชายคนนั้นจ้องมองมาอย่างสิ้นหวังและส่ายหน้าไปมา ทั้งไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้
ชายชุดดำคร่ำครวญในใจ ‘ไม่คิดว่าชีวิตของคนอย่างโหลวเหนิงจะต้องมาถึงจุดนี้’
หลังจากที่ได้รับการคัดเลือกจากใต้เท้าสวีให้ทำงานให้ เขาก็ได้รับความชื่นชมมากมายเพราะความสามารถในด้านการต่อสู้ที่เป็นเลิศ ต่อมาเมื่อได้รับคำสั่งให้ตามอารักขาสวีอวี้หรง เขาก็ยังได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติเช่นกัน
หลังจากติดตามใต้เท้าสวีมานาน ทำงานต่าง ๆ ตามคำสั่งผู้เป็นนายมากมาย โหลวเหนิงก็ค่อย ๆ ดูแคลนชีวิตคนทั่วไปว่าเป็นดังมดปลวก ตราบใดที่ใต้เท้าออกคำสั่ง พวกมันก็ต้องตายไปทั้งหมด
สวีอวี้หรงส่งเขามาที่หมู่บ้านหยางซานเพื่อฆ่าสองแม่ลูกตระกูลหลิว โดยที่ไม่ได้บอกเหตุผล ทว่าเขาเป็นคนทะนงในความสามารถ จึงได้เดินทางมาที่นี่เพียงคนเดียว คนมากมายในบ้านตระกูลหลิวต่างถูกปลิดชีพด้วยการวาดดาบเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากที่หนีเข้าไปป่าด้านหลังแล้ว จะมีคนติดตามมาได้ทันท่ามกลางฝนที่ตกหนัก
คนที่ไล่ตามมามีความสามารถด้านการต่อสู้ที่เหนือกว่า โหดหี้ยมและแม่นยำยิ่งกว่าตนเอง ที่สำคัญที่สุดคือมีรังสีอำมหิตเหนือกว่ามาก
เมื่อถูกปลดอาวุธ ร่างของเขาก็ล้มลงกับพื้น มือสังหารที่เคยทะนงตนตัวสั่นด้วยความกลัว ดวงตาของเหยียนเฟิงราวกับหมาป่าเดียวดายท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด ในตอนนั้นเองที่ชายชุดดำเริ่มเห็นภาพเหยื่อที่ตนฆ่าคุกเข่าร้องขอความเมตตาขึ้นมาในมโนสำนึก
เขาเองก็อยากจะร้องขอความเมตตาเช่นกัน แต่อีกฝ่ายไม่มอบโอกาสนั้นให้
เมื่อเส้นเอ็นที่มือและเท้าถูกตัดด้วยดาบเดียวกันกับที่ตนเองใช้เข่นฆ่าผู้คน โหลวเหนิงก็กรีดร้อง กลิ้งไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
เขาต้องการร้องขอความเมตตา สารภาพผิด เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองยังมีค่าแก่การไว้ชีวิต แต่เหยียนเฟิงกลับปิดปากเอาไว้ ไม่ถามอะไรออกมาสักคำ ราวกับไม่ได้สนใจอะไรนอกจากจะเอาชีวิตเท่านั้น
ต่อหน้าเหยียนเฟิงผู้ที่ได้รับการฝึกฝนฝีมือมาเป็นหน่วยกล้าตายตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้โหลวเหนิงยิ่งกลัวความตายมากขึ้นและรู้ดีว่าชีวิตของตนขึ้นอยู่กับดาบในมือชายคนนั้นเท่านั้น
เมื่อถูกลากตัวลงมาจากภูเขาจนถึงลานหน้าบ้านหลังเดิม คนร้ายก็ต้องตกตะลึง เด็กหนุ่มที่มองผู้คนราวกับกำลังมองเหยื่อผู้นี้ เล่นงานเขาเพื่อแก้แค้นให้แก่แม่ลูกตระกูลหลิวอย่างนั้นหรือ?
“มันเป็นใคร” หลิวเหิงถามอย่างเย็นชา
เหยียนเฟิงชำเลืองมองโหลวเหนิง เอาผ้าดำออกจากปาก และถามขึ้นทันที “เจ้าเป็นใคร!”
เมื่อเห็นว่าเหยียนซียังไม่ตาย โหลวเหนิงก็ประหลาดใจขึ้นมา และอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงเมื่อเห็นหลิวเหิง เป็นเขาเองที่พลาดพลั้ง ไม่สามารถปลิดชีพบุตรชายตระกูลหลิวได้
แม้ว่าจะถูกจ้องอย่างเย็นชา แต่สิ่งที่เขากลัวมากกว่าคือเหยียนเฟิง คนร้ายรู้สึกว่าตนเองยังมีโอกาสรอดชีวิต จึงรีบพูดขึ้น “ข้าน้อยโหลวเหนิง มาที่นี่ตามคำสั่งของนายท่าน ได้โปรดละเว้นข้าน้อยด้วย!… ไม่ใช่ว่าข้าน้อยอยากจะทำร้ายผู้ใด เพียงแต่! เพียงแต่ต้องทำตามคำสั่งนาย…ข้าน้อยถูกบังคับให้ต้องทำ…อ๊ากกก!!”
โหลวเหนิงร้องขอความเมตตาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกเหยียนหลิ่วเหยียบลงบนเอ็นข้อเท้าที่ถูกตัด ตามด้วยการบดขยี้อย่างรุนแรง
เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดไปได้เพียงครึ่งเสียงก็ถูกเหยียนเฟิงอุดปากด้วยผ้าอีกครั้ง
“สารภาพมา” เหยียนเฟิงมองไปที่คนร้ายแล้วออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
เมื่อเอาผ้าออกจากปากอีกครั้ง โลวเหนิงก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว และรีบเอ่ยต่อ “ข้าน้อยเป็นคนของบ้านใต้เท้าสวี ใต้เท้ามอบหมายให้ข้าน้อยอารักขาสวีอวี้หรง บุตรสาวนายท่าน ฮูหยินส่งข้าน้อยมาที่หมู่บ้านหยางซาน เพื่อตามหา…และปลิดชีพแม่ลูกตระกูลหลิว”
หลังชื่อของใต้เท้าสวีถูกเอ่ยขึ้นมา หลิวเหิงก็สังเกตสีหน้าของผู้ร้าย เมื่อเห็นท่าทีพิรุธจึงได้ถามต่อไป
“ทำไมถึงต้องเป็นข้าและท่านแม่!” ดวงตาของหลิวเหิงแดงก่ำ
ชายหนุ่มเป็นเพียงจู่เหรินตัวเล็ก ๆ ส่วนใต้เท้าสวีเป็นขุนนางใหญ่ หรือแม้แต่สวีอวี้หรงบุตรสาวของขุนนางท่านนั้นเองก็ยังห่างไกลจากตัวเขา แล้วทำไมต้องมาสั่งฆ่าตนเองและมารดาด้วย
“ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ข้าน้อยมาเพื่อทำตามคำสั่งเท่านั้น” โหลวเหนิงมองหลิวเหิงอีกครั้ง ตอนแรกเขาไม่ได้มองลูกชายตระกูลหลิวผู้นี้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมองอีกครั้งจึงเริ่มกระจ่างในเหตุผล
“มีอะไรจะพูด พูดมาให้หมด!” หลิวเหิงรู้สึกได้ถึงแววตาบางอย่างของคนร้าย
เหยียนเฟิงก้มหน้าจ้องโหลวเหนิงเขม็ง
“นายท่าน…นายท่านดูเหมือนใต้เท้าเว่ย…ใต้เท้าเว่ยเป็นสามีของฮูหยินสวีอวี้หรง” โหลวเหนิงสบตาเหยียนเฟิง ไม่กล้าปิดบังสิ่งใดแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งยังพูดสิ่งที่คาดคิดทั้งหมดออกมา
“ใต้เท้าเว่ยรองเจ้ากรมยุติธรรมงั้นหรือ?”
“ขอรับ ใต้เท้าเว่ยหวน ท่านเป็นคนหมู่บ้านตระกูลเว่ย ที่หยางหมิง เมืองไหวอัน ฮูหยินสวีอวี้หรงอาศัยอยู่ที่จวนประจำตระกูลเว่ย นายท่าน…โปรดไว้ชีวิตข้าน้อย!…ไม่ นายท่าน….ละเว้นข้าน้อยด้วย! ขอให้ข้าน้อยได้ตายอย่างไม่ทรมาน!” โหลวเหนิงต้องการให้อีกฝ่ายไว้ชีวิต ทว่าเมื่อเห็นดวงตาเย็นเยียบของเหยียนเฟิงและหลิวเหิง เขาก็ตัวสั่น ไม่กล้าหวังจะรอดตายอีกต่อไป เพียงแค่อยากตายอย่างไม่ทรมานก็เพียงพอแล้ว
เมื่อเหยียนซีได้ยินว่าหลิวเหิงและเว่ยหวนหน้าตาคล้ายคลึงกันมาก เธอก็พลันนึกถึงเรื่องของ ‘เฉินซื่อเหม่ย’ ที่นางหวังเคยพูดถึง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเว่ยหวนและภรรยาใหม่จะกลัวว่าเรื่องราวที่เขาเคยทอดทิ้งภรรยาคนแรกของเขาจะถูกเปิดโปง จึงส่งคนมาฆ่าปิดปากสองแม่ลูก
เธอต้องการพูดเรื่องนี้กับหลิวเหิง แต่ก็ไม่ได้ทำเสียที ตอนนี้เป็นโอกาสที่จะเล่าเรื่องที่ตนได้ยินทั้งหมดแก่เขาแล้ว
ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วของหลิวเหิงในฉับพลันนั้นก็ซีดลงอีก จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งความเศร้าโศก ความโกรธแค้น และความเกลียดชังปรากฏขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มตัวสั่นไปทั้งร่าง
“นายท่าน ให้ข้าจัดการมันอย่างไรดีขอรับ” เหยียนเฟิงถามขึ้น
หลิวเหิงอยากจะแล่เนื้อคนผู้นี้ออกเป็นชิ้น ๆ เซ่นดวงวิญญาณของมารดา ทว่าหากฆ่ามันตอนนี้ก็ไม่มีทางสาวถึงต้นตอคนบงการได้
เด็กหนุ่มข่มกลั้นความเจ็บแค้นไว้ในใจ ก่อนจะกัดฟันเอ่ยขึ้น “ส่งตัวมันให้ทางการ!”
หากเป็นไปได้ เขาอยากจะลากตัวมันไปที่หน้าพระราชวังเสียจริง แต่ติดที่ว่าหย่งโจวอยู่ไกลจากเมืองหลวง
ทว่าหลังจากที่ความเคียดแค้นเกิดขึ้น หลิวเหิงกลับรู้สึกว่าจิตใจของเขาพลันสงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
MANGA DISCUSSION