บทที่ 125 คำขอจากคนเมา
เหยียนซีเอาโฉนดที่ดินที่นางหวังหยิบออกมาวางไว้ข้างหมอน แล้วช่วยให้นางนอนลงอีกครั้ง
แต่นางหวังยังคงปฏิเสธที่จะเข้านอน ดึงเหยียนซีเอาไว้แล้วเอ่ยต่อ “มีที่ดินสิบหมู่นี้ ต่อไปก็จะไม่ต้องทนทุกข์เพราะความยากจนอีกแล้ว ซีเอ๋อร์ เมื่อเอ้อร์หลางกลับมา ข้าอยากให้เขาเอาอย่างอาจารย์เผย อยู่ที่นี่กับพวกเราที่หมิงสุ่ยต่อไป ไม่ต้องเข้าสอบที่เมืองหลวงเช่นนั้นดีหรือไม่”
เหตุใดนางหวังจึงไม่ต้องการให้ลูกชายเข้าไปสอบที่เมืองหลวง?
เหยียนซีไม่คาดคิดว่าท่านป้าจะคิดเช่นนี้ และหากถามเธอ เด็กหญิงก็ไม่คิดว่าหลิวเหิงจะทำตาม “ท่านป้า พี่เอ้อร์หลางเป็นคนมีความทะเยอทะยาน หากท่านจะห้ามเขา เขาคงต้องอยากรู้เหตุผลของท่าน”
“ข้าคิดเรื่องนี้มาแล้ว เมืองหลวงมีอะไรดีกัน ได้เป็นขุนนางที่นั่นแล้วอย่างไร เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างสงบในหมู่บ้านละแวกนี้ จะเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ หรือทำไร่นาก็มีชีวิตที่สุขสบายได้” นางหวังถอนหายใจ และบ่นพึมพำ “เมืองหลวงเป็นที่ที่มีแต่ความป่าเถื่อน ช่วงชิงอำนาจ ทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น ไม่ใช่ที่ของชาวบ้านอย่างเราเลย”
“ท่านป้า หากพี่เอ้อร์หลางผ่านการสอบจิ้นซื่อแล้ว ต่อให้ไปที่เมืองหลวงก็ไม่มีอะไรน่ากังวลเกี่ยวกับเขาเลยเจ้าค่ะ”
“ซีเอ๋อร์ ป้าอยากให้เจ้าแต่งงานกับเอ้อร์หลาง จากนั้นก็อยู่เป็นครอบครัวสามคน ไม่ต้องให้เขาไปสอบจิ้นซื่อเพื่อเป็นเจ้าคนนายคน เมืองหลวงดั่งถ้ำสิงห์ถ้ำหมาป่า เราควรจะอยู่ที่บ้านด้วยกัน ป้ากับเอ้อร์หลางจะไม่เอาเปรียบเจ้า ถ้าเราอยู่ด้วยกัน ข้าก็จะอยู่ใกล้ ๆ หลุมศพของพ่อเอ้อร์หลาง…” หลังจากที่สุราเข้าปาก นางหวังก็ไม่ใช่คนเก็บงำคำพูดอีกต่อไป และเริ่มพูดพล่ามไม่หยุด
เรื่องโดยมากที่นางเอ่ยคือต้องการให้หลิวเหิงอยู่ที่หมู่บ้าน และอยากให้เหยียนซีแต่งงานกับเขา นางไม่ยอมฟังที่เด็กหญิงพูด เอาแต่พูดเรื่องที่ตัวเองคิดซ้ำ ๆ
เหยียนซีไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร เธอถูกกุมมือเอาไว้ให้อยู่ฟังคำขอของนางหวัง เด็กหญิงจึงไม่มีทางเลือก นอกจากพยายามเกลี้ยกล่อมขึ้นมา “ท่านป้า เอาเป็นว่ารอพี่เอ้อร์หลางกลับมาก่อน แล้วเราค่อยบอกเขาเรื่องนี้ดีไหมเจ้าคะ”
หลังจากนั้นเหยียนซีก็พานางหวังเข้านอนได้สำเร็จ เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อปิดประตูห้องนอนลง
มีบางอย่างที่นางหวังไม่ได้เอ่ยออกมาแต่เธอก็รู้ได้
นางหวังคงกลัวว่าหลิวเหิงจะเปลี่ยนไปหากเข้าไปในเมืองหลวง หรืออาจจะกลัวว่าเมื่อเข้าไปแล้วเขาจะได้พบเจอกับคนไร้หัวใจที่นั่น
ความจริงแล้วเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวเลยว่าจะเป็นที่ไหน หากผู้คนจะแปรเปลี่ยนย่อมเปลี่ยนไปได้ทุกที่ ยิ่งกว่านั้นแล้ว ถึงแม้หลิวเหิงเปลี่ยนแปลงไป เขาจะไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณของมารดาเลยเชียวหรือ
นางหวังเคยถูกงูกัดครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว นั่นทำให้นางกลัวแม้แต่เส้นเชือกมาจนทุกวันนี้
หลิวเหิงกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ เขากระตือรือร้นที่จะแสวงหาความก้าวหน้า หากต้องการให้หยุดความตั้งใจที่จะไปสอบในเมืองหลวง ดำรงตนเป็นเพียงอาจารย์เล็ก ๆ ในหมิงสุ่ย ก็เกรงว่าจะไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้
หากนางหวังเล่าเรื่อง ‘เฉินซื่อเหม่ย’[1] ให้เขาฟังก็ไม่แน่ว่าจะเปลี่ยนใจหลิวเหิงได้หรือไม่
หากหลิวเหิงตัดสินใจจะอยู่ในอำเภอหมิงสุ่ยจริง ๆ และเป็นอาจารย์เล็ก ๆ อยู่ที่นี่ บางทีการแต่งงานกับเขาก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับนางหรือไม่นะ?
เหยียนซีครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมาแล้วเดินออกไป เมื่อได้ยินว่านางกู้และคนอื่น ๆ อยู่ที่บ้านหลังใหม่ เธอจึงเดินไปที่นั่นด้วย
ที่ข้างบ่อน้ำของบ้านใหม่ หวังชีกำลังเอาเกวียนมาบรรทุกไหผักดอง ส่วนเหยียนเฟิงก็กำลังช่วยเรียงไหพวกนั้นและร้อยเชือกผูกมันเอาไว้ด้วยกัน
นางกู้ซักผ้าและดุเหยียนเฟิงกับเหยียนหลิ่วไปด้วย
เหยียนเฟิงกำลังช่วยหวังชีเอาไหเรียงบนเกวียน ถือไหไว้ด้วยสองแขน เมื่อนางกู้เห็นเข้าก็กังวลบอกว่าข้อเท้าของเขายังไม่หายดี ไม่ควรจะใช้แรงมากเกินไป และเขายังเป็นเด็กอยู่ “ไหพวกนี้มันหนักมาก ใบหนึ่งหนักถึงยี่สิบสามสิบจิน ให้พี่หวังชีเป็นคนยกเถอะ”
เหยียนเฟิงไม่คุ้นเคยกับการโต้แย้งอะไร เขาจึงเปลี่ยนไปเป็นผู้ช่วยของหวังชีแทน เมื่อเห็นว่าเหยียนซีกำลังเดินมา เขาก็เรียกคุณหนูขึ้นทั้งน้ำเสียงร้อนรนทำตัวไม่ถูก
เหยียนหลิ่วถือเสื้อผ้าเพื่อที่จะเอามาซัก แต่นางกู้ก็เอาเสื้อผ้าพวกนั้นมาถือเอง “พวกเจ้าบาดเจ็บอยู่ อากาศก็หนาวเย็นแบบนี้ เอามือไปแช่น้ำเย็น ๆ จะหายเมื่อไรกัน เสื้อผ้าแค่สองชุดข้าซักให้ได้ เกรงใจที่ข้าจะซักให้หรืออย่างไร”
ระหว่างที่เอาเสื้อผ้าใส่ลงไปในอ่าง นางกู้ก็ยังพูดต่อไป “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากทำงานให้เจ้านาย แต่ตอนนี้พวกเจ้าบาดเจ็บ เจ้านายก็ไม่ได้รีบร้อนจะให้ทำอะไรเร่งด่วน สิ่งที่พวกเจ้าควรทำเพื่อนางคือการรักษาตัวเองให้หายเสียก่อน”
เหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วที่อยู่ด้านข้าง พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเคยชินกับการถูกสั่งให้ทำงานมาโดยตลอด เมื่อไม่มีใครออกคำสั่งเช่นนี้ก็ไม่กล้าอยู่เฉยต้องหางานมาทำ ทว่าก็กลับถูกห้ามอีก จึงไม่รู้ว่าจะอย่างไรต่อไปดี
เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะขำออกมา เด็กทั้งสองมีสีหน้าว่างเปล่าตอนที่มาถึงที่นี่ครั้งแรก ไม่สามารถบอกได้ว่าสองพี่น้องมีความสุขหรือกำลังทุกข์ใจระหว่างพูด ตอนนี้พวกเขาเริ่มแสดงสีหน้ามากขึ้น คำบ่นจู้จี้ด้วยความเป็นห่วงสามารถทำให้พวกเขาแสดงอารมณ์ออกมาได้
นางหวังและนางกู้ต่างเป็นคนที่มีจิตใจอบอุ่น สามารถเยียวยาเด็กที่จิตใจแตกสลายให้กลับมามีชีวิตชีวาได้
เมื่อนางหวังเห็นว่าเหยียนซีพาเด็กที่เต็มไปด้วยบาดแผลกลับมาด้วย พวกนางก็มองว่านี่มันไม่ต่างอะไรจากการก่ออาชญากรรม ระหว่างทางเหยียนซีหาซื้อเสื้อผ้าตัดสำเร็จใหม่ให้ทั้งสองสวมใส่ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านได้สองวัน นางหวังก็เย็บชุดใหม่อย่างดีให้พวกเขาแล้วคนละสองชุด และยังได้รองเท้าคู่ใหม่เพิ่มอีกด้วย
สองพี่น้องละอายใจที่ได้รับเสื้อผ้าชุดใหม่ นางกู้ถอดเสื้อของเหยียนเฟิงออกด้วยตัวเอง ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำ หวังชีเป็นคนพาเขาไปอาบน้ำ ท่าทางของเด็กหนุ่มดูว้าวุ่น มือไม้วุ่นวายไม่รู้จะวางที่ใด
เหยียนหลิ่วเห็นท่าทีอึดอัดของพี่ชายก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่เมื่อเห็นนางหวังมองมา นางก็กอดเสื้อผ้าชุดใหม่เอาไว้แล้วสวมอย่างรวดเร็ว
หลังจากสอบถามพวกเขาก็ได้รู้ว่าปีนี้เหยียนเฟิงอายุสิบสี่ปี ส่วนเหยียนหลิ่วอายุสิบสอง ทว่าเมื่อดูจากร่างกายที่ผอมบางของทั้งคู่แล้ว สองพี่น้องขนาดตัวพอ ๆ กับเหยียนซีที่เด็กกว่า
นางหวังยังพอที่จะไม่เอ่ยถาม แต่นางกู้กลับตกตะลึง “เป็นคนในจวนอ๋อง แต่ก็มีข้าวไม่พอกินงั้นหรือ? ท่านอ๋องไม่น่ายอมส่งคนที่อดอยากออกไปทำงาน เขาเป็นคนตระหนี่ถึงเพียงนั้นเชียว? พวกเจ้าดูผอมโซ แทบจะปลิวไปตามลมอยู่แล้ว ดูสิมองเห็นแต่กระดูก!”
“แม่ ทั้งเสี่ยวเฟิงและน้องสาวเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มา และยังเชี่ยวชาญมากอีกด้วย” หวังชีเอ่ย ในตอนแรกที่ยังไม่รู้ฝีมือของเด็กทั้งสอง ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังฝึกร่างกายในยามเช้า เพียงแค่ชั่วลมพัดวูบหนึ่งเขาก็ถูกเหยียนหลิ่วจับทุ่มลงพื้นได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้ว
“ฝึกมาอย่างชำนาญแล้วอย่างไร ฝึกแล้วห้ามกินข้าวให้อิ่มงั้นหรือ? ยิ่งใช้ร่างกายมากก็ยิ่งต้องกินข้าวให้ครบสามมื้อสิ” นางกู้พูดขึ้นมา จากนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงชี้ไปทางหวังชีแล้วเอ่ยกับเหยียนเฟิง “เสี่ยวเฟิง ลองจัดการเจ้าเด็กนี่ดูหน่อยสิ”
ไม่ทันที่หวังชีจะได้ตั้งตัว เหยียนเฟิงก็ยื่นมือไปคว้าแขนของเขาตามคำสั่งของนางกู้แล้วเหวี่ยงลงพื้น
“โอ้ย! เสี่ยวเฟิง.. ปล่อยข้า แขนจะหักอยู่แล้ว! แม่!! ทำอะไรเนี่ย ให้เสี่ยวเฟิงทำข้าทำไม”
นางกู้หยิบเอาไม้ซักผ้าขึ้นมาถือไว้ทันที จากนั้นก็ตีไปที่บั้นท้ายของลูกชาย “เมื่อวานเจ้าไปบ่อนมาใช่หรือไม่ เอาเงินไปเล่นเท่าไหร่! คิดว่าตัวเองมีมากพอจะไปเสียเงินทำอะไรก็ได้อย่างนั้นได้เช่นนั้นหรือ!? ข้าเห็นนะที่เจ้าแอบหนีไปเมื่อวานนี้”
เหยียนเฟิงไม่คาดคิดว่านางกู้จะตีเขา เมื่อเห็นว่าหวังชีถูกไม่ซักผ้าตีก็รีบปล่อยมือทันที
หวังชีโวยวายแล้วกระโดดขึ้น “แม่! คนอยู่เยอะแยะ” เมื่อเห็นว่านางกู้กำลังโกรธมากเขาก็พูดต่อ “ข้าไม่ได้ไปเล่นพนัน ข้าถูกลากไปดูเท่านั้น อย่าไปฟังคนอื่นพูดจาไร้สาระ เงินที่ได้จากบ่อนไม่คุ้มเสียสักนิด อีกอย่างข้ามีเงินที่ไหนกัน ยังมีของต้องไปส่งอีก”
ระหว่างที่พูดนั้น เขาก็ผูกเชือกเกวียนให้แน่น และเอ่ยกับเหยียนซี “ท่านหมอที่สำนักแพทย์ในเมืองบอกว่าต้องการตรวจดูแขนของเสี่ยวหลิ่วอีกครั้ง และเขาจะสั่งยาให้อีกสองขนาน”
เหยียนซีคิดว่าระหว่างที่หวังชีกำลังเอาสินค้าไปส่งในเมือง มันคงไม่สะดวกนักสำหรับเหยียนหลิ่วที่จะขับเกวียนไปด้วยแขนที่เจ็บอยู่ โชคดีที่เหยียนเฟิงสามารถเรียนรู้การขับเกวียนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกเขาเดินทางไปด้วยกัน
“เหยียนเฟิง เสี่ยวหลิ่ว พวกเจ้าเข้าเมืองไปกับพี่หวังชี พี่เอ้อร์หลางส่งจดหมายมาบอกว่าเขาจะกลับมาถึงวันนี้ เพราะอย่างนั้นช่วยไปที่ท่าเรือเพื่อรอรับเขากลับมาด้วยกันทีนะ”
“ขอรับคุณหนู” เหยียนเฟิงตอบรับอย่างนอบน้อม และเกือบจะโค้งทำความเคารพแล้วหากเหยียนซีไม่หยุดเขาไว้ก่อน
เหยียนซีเอาเงินจำนวนหนึ่งมอบให้เหยียนหลิ่ว “เสี่ยวหลิ่ว นี่เงินค่ายาสำหรับสำนักแพทย์ ส่วนที่เหลือให้เจ้าหาซื้อเนื้อระหว่างทางกลับมาด้วย”
MANGA DISCUSSION