บทที่ 123 ความหึงหวงของนางสวี
หลังจบงานเลี้ยงลงแล้ว เว่ยหวนควรต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อรายงานเกี่ยวกับการทำงานตามหน้าที่ แต่เนื่องจากบ้านเกิดของเขาอยู่ที่อำเภอหยางหมิง เมืองไหวอัน ซึ่งอยู่ในเขตเดียวกับหย่งโจว เขาจึงส่งคนให้กลับไปแจ้งข่าว ว่าตนเองจะขออนุญาตเดินทางไปสักการะบรรพบุรุษที่บ้านเกิดเสียก่อน
เนื่องจากเรื่องเหล่านี้เป็นประเพณีของตระกูล ทางการจึงไม่ได้ปฏิเสธคำขอ
หลังจากที่ใต้เท้าสวีเห็นจดหมายนี้ เขาก็มีความสุขขึ้นมาทันที เพราะคิดว่าลูกเขยจะไปรับบุตรสาวมาเมืองหลวงด้วยกัน
ไม่ว่าเขาจะต้องการทำเช่นนี้เพื่อเอาใจพ่อตา หรือเพราะความรักใคร่ที่มีต่อภรรยาก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
ถึงอย่างนั้น เมื่อคิดถึงเรื่องที่พวกเขาทั้งสองไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรจนเติบใหญ่ได้สักคนก็ทำให้ใต้เท้าสวีกังวลใจ หลายปีที่ผ่านยามคิดถึงอนาคตของลูกสาว เขาก็ต้องเป็นห่วงอยู่เสมอ ในครั้งนี้เมื่อเว่ยหวนได้ไปเป็นหัวหน้าผู้คุมการสอบที่หย่งโจว ชายชราก็คาดหวังว่าบุตรเขยจะได้พบเด็กชายที่มีความสามารถยอดเยี่ยมสักคน เพื่อที่จะรับเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรม และพึ่งพาเขาต่อไปในอนาคต
ในตอนแรกเว่ยหวนไม่ได้รู้สึกเห็นด้วยกับความคิดนี้ของใต้เท้าสวีนัก แต่ตอนนี้เขาต้องการพานางสวีกลับไปที่เมืองหลวงด้วยกัน นั่นแสดงว่าท่าทีของเขาอ่อนลงแล้ว
ดังนั้นใต้เท้าสวีจึงขอให้เน่ยเก๋อ[1]รีบตอบอนุญาตให้เว่ยหวนกลับเมืองหลวงช้ากว่ากำหนดได้ แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิเทียนฉี่ทรงไม่ขัดข้องอันใด เมื่อนึกถึงความเมตตากรุณาและความเที่ยงธรรมในการควบคุมการสอบของเว่ยหวนที่หย่งโจวครั้งนี้ พระองค์ยังทรงตกรางวัลไปยังหมู่บ้านตระกูลเว่ยที่อำเภอหยางหมิงอีกด้วย
หลังจากที่เว่ยหวนได้รับอนุญาตจากเมืองหลวงแล้ว คนสนิทของเขาที่ถูกส่งไปสืบเรื่องราวของลูกชายที่อำเภอหมิงสุ่ยก็กลับมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน
คนสนิทของเขาไปถึงหมู่บ้านหยางซานในช่วงเวลาเดียวกับที่ข่าวการสอบผ่านของหลิวเหิงไปถึงที่นั่น และทุกคนในหมู่บ้านหยางซานก็ต่างชื่นชมยินดี
จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนสนิทใต้เท้าเว่ยที่จะสอบถามเรื่องราวของหลิวเหิง หลังจากได้พูดคุยกับคนในละแวกนั้นก็พบว่าไม่มีใครทราบว่านางหวังเป็นคนที่ไหน ทั้งไม่มีใครรู้จักครอบครัวของนาง รู้เพียงแค่ว่าหลิวต้าลี่เป็นคนพานางเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
มีคนเล่าอีกว่าหลิวเหิงคลอดก่อนกำหนด ยังไม่ถึงสิบเดือนก็ลืมตาดูโลก แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ทารกที่เกิดมาก็ไม่ได้อ่อนแออย่างเด็กที่คลอดเร็วกว่าปกติคนอื่น ๆ เขาแข็งแรงดีและร้องไห้เสียงดังตั้งแต่เกิด
เรื่องราวเหล่านั้นถูกเล่าจากปากของสมาชิกตระกูลหลิวในหมู่บ้านหยางซาน เพื่อต้องการจะบอกเล่าถึงความพิเศษตั้งแต่แรกเกิดของหลิวเหิง
จากเรื่องทั้งสองที่สืบทราบมานี้ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่านางหวังผู้นี้คือคนเดียวกับนางหวังที่กระโดดน้ำไปในคราวนั้น และหลิวเหิงก็เป็นบุตรชายของเว่ยหวน
เขาเขียนจดหมายและให้คนส่งไปยังอำเภอหยางหมิง เพื่อสอบถามคนที่รู้เห็นเรื่องราวในอดีต ว่านางหวังตั้งครรภ์ก่อนที่จะกระโดดลงน้ำไปหรือไม่ เพื่อที่จะหาพยานมาช่วยยืนยันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิวเหิงได้อย่างชัดเจน และแจ้งให้ตระกูลเว่ยได้เตรียมตัวในการรับลูกชายของเขาเข้าสู่สายตระกูล
อีกทั้งยังต้องโน้มน้าวนางสวีว่าไม่จำเป็นต้องรับบุตรบุญธรรม เพราะตอนนี้มีสายเลือดที่แท้จริงของเขาแล้ว เขาและนางหวังหย่าร้างกันไปนาน มีเพียงนางสวีที่เป็นภรรยาโดยชอบธรรม ตนจึงต้องการบันทึกว่าหลิวเหิงเป็นบุตรของนางสวี สิ่งที่ต้องรีบจัดการคือการส่งจดหมายแจ้งให้นางสวีหยุดการรับบุตรบุญธรรมก่อน
สำหรับนางหวัง…เขาคิดเอาไว้ว่าหลังจากบอกความจริงทุกอย่างกับหลิวเหิงแล้ว ก็จะส่งออกไปตั้งรกรากที่อื่น แต่หากนางไม่ยินยอม ก็คงต้องใช้ไม้แข็งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เว่ยหวนไม่อาจปล่อยให้นางหวังมาฉุดรั้งอนาคตของลูกชายตนได้
ใต้เท้าเว่ยคิดแผนการต่าง ๆ อย่างรอบคอบถี่ถ้วน เมื่อคนสนิทของเขากลับมาพร้อมกับเรื่องที่สืบทราบมาได้ หลังจากนั้นไม่นานจดหมายก็ถูกส่งไปยังนางสวีที่อยู่ในอำเภอหยางหมิง
ที่บ้านหลักตระกูลเว่ยในหมู่บ้านตระกูลเว่ยที่หยางหมิง มีสมาชิกตระกูลเว่ยตัวน้อยสองสามคนกำลังเพลิดเพลินกับอากาศเย็นสบายในฤดูใบไม้ร่วง นางสวีนั่งยิ้มอย่างสง่างามบนที่นั่งในสวนด้านหลัง อากัปกิริยาผ่อนคลาย แต่ภายในแฝงด้วยความไม่พอใจ
บิดาอยากให้นางรับเด็กเหล่านี้เป็นบุตรบุญธรรม แต่เด็กไม่ประสีประสาเหมือนหมูโง่ ๆ พวกนี้จะมาเป็นบุตรของนางได้อย่างไร หากลูกชายนางยังมีชีวิตอยู่… เมื่อนึกถึงเด็ก ๆ ที่จากไปตั้งแต่ยังเล็ก ก็ยกมือขึ้นมาลูบท้องโดยไม่รู้ตัว ทำไมถึงมีลูกคนที่สี่อีกไม่ได้? เหตุใดสวรรค์ใจร้ายเพียงนี้! ถึงขั้นต้องเอาชีวิตลูก ๆ ของนางไปถึงสามคนติดต่อกันเชียวหรือ?!
ระหว่างที่กำลังเอนหลังลงนอน แม่นมของนางก็พาลูกสะใภ้เข้ามาแจ้งข่าวจากสามี
นางสวีเห็นว่าคนที่เข้ามาในครั้งนี้คือลูกสะใภ้ของแม่นม ซึ่งหงรุ่ยบุตรชายของแม่นมเป็นผู้ติดตามสามีของนางมาเป็นเวลานานแล้ว หากมีข่าวใด ๆ จากเว่ยหวน เขาจะเป็นผู้ส่งข่าวมาที่นี่ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ของแม่นมมาก็หมายความว่าหงรุ่ยส่งข่าวบางอย่างมาถึงนาง
“หงรุ่ยส่งข่าวอะไรมาอย่างนั้นหรือ มีเรื่องอะไรจากนายท่านหรือไม่” นางสวีเอ่ยถามพลางลุกขึ้น
แม่นมเหลียวซ้ายแลขวา “มีข่าวจากนายท่านเจ้าค่ะ”
นางสวีทราบดีว่าคงเป็นเรื่องสำคัญที่ห้ามให้คนอื่นรับรู้ ดังนั้นจึงโบกมือให้ทุกคนถอยออกไป
จากนั้นภรรยาของหงรุ่ยก็โค้งคำนับ และส่งจดหมายจากสามีให้นางสวี
ข้อความในนั้นมีเพียงไม่กี่บรรทัด ซึ่งบอกเล่าว่าหลิวเหิง ย่าหยวนที่สอบผ่านที่หย่งโจวปีนี้ดูคล้ายคลึงกับเขามาก หลังจากส่งคนไปตรวจสอบก็พบว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรชายของเขาที่เกิดจากนางหวัง ซึ่งเขากำลังวางแผนจะนำตัวบุตรชายผู้นี้กลับสู่ตระกูลเว่ย
“สตรีนางนั้น ยังมีชีวิตอยู่อีก!” ไม่ว่านางสวีจะพยายามข่มกลั้นอารมณ์เพียงใด ดวงตาหงส์ของนางก็ยังคงแดงก่ำฉายแววโกรธเคือง คิ้วใบหลิวทรงเสน่ห์เลิกขึ้น เมื่อรับกับหางตาเฉียงขึ้น ทำให้ดูคมกริบเคร่งขรึมขึ้นมา “นางไม่ได้ตกน้ำถูกพัดหายไปนานแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ฮูหยิน อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ ใครจะคาดคิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้” แม่นมจำได้ว่าหงรุ่ยลูกชายของนางเคยถูกส่งมายังหมู่บ้านตระกูลเว่ย และได้ทราบว่าเว่ยหวนมีภรรยาแล้ว ทั้งยังตั้งครรภ์ได้สองเดือน
นางสวีเป็นบุตรคนรองของใต้เท้าสวี เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวท่ามกลางพี่น้องที่เป็นชาย ทำให้นางถูกประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างดีจากคนในบ้าน
ย้อนกลับไปในเวลานั้น จอหงวนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังอาชา เขาเป็นจอหงวนวัยกลางคน แต่สามารถเทียบได้กับคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังและความมั่นคง หญิงสาวหลายคนบนถนนพากันโยนดอกไม้ไหมประดับศีรษะลงไปให้ ส่วนนางสวีในขณะนั้นก็นั่งอยู่ในโรงน้ำชาเช่นกัน สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดพากลีบดอกท้อปลิวว่อนที่หน้าประตู ดอกไม้งามร่วงหล่นดังสายฝน ภาพเว่ยหวนยกมือขึ้นหยิบกลีบดอกท้อที่อยู่บนเสื้อผ้าของเขาขึ้นมา และท่องบทกวี “คนหนุ่มผู้หนึ่งเดินอยู่ในถนนรกร้าง พร่างพราวด้วยความงามยามสบตา” ก็ชัดเจนขึ้นในใจ
ใต้เท้าสวีในตอนนั้นเป็นเน่ยเก๋อที่ดูแลงานในกรมและหัวหน้าผู้คุมการสอบ ด้วยความที่ไม่สามารถทนเห็นบุตรสาวเสียใจได้ ทั้งยังเห็นว่าเว่ยหวนเป็นคนที่มีความสามารถ จึงได้ลองพูดคุย หลังจากได้ลองพบปะพูดคุยกันแล้ว เว่ยหวนก็ตกปากรับคำจะแต่งงานกับนางอย่างง่ายดาย และยังพูดถึงครอบครัวของตนเองว่าเขามีภรรยาชื่อนางหวังอยู่ แต่แต่งงานมาหลายปีก็ยังไม่มีบุตร บิดามารดาจึงต้องการให้เขาหย่ากับภรรยาคนนี้
นางสวีและเว่ยหวนชอบพอกันมากขึ้นหลังจากได้พบกันเป็นการส่วนตัว นางเป็นคนขี้หึงอย่างมาก แม้เว่ยหวนจะรับปากเรื่องการหย่ากับภรรยาไปแล้ว แต่ก็ยังไม่คลายความกังวล จนต้องส่งหงรุ่ยไปตรวจสอบ เมื่อเดินทางไปครั้งนั้นก็พบว่านางหวังกำลังตั้งครรภ์ และพ่อของเว่ยหวนที่กำลังล้มป่วยก็ยืนกรานว่าลูกสะใภ้เพียงคนเดียวที่ตนยอมรับคือนางหวังเท่านั้น ส่วนมารดาของเขาแม้จะไม่ได้ชอบนางหวัง แต่ก็ไม่อาจขัดใจสามีได้
หงรุ่ยได้ไปพบหัวหน้าตระกูลเว่ย และใช้อำนาจของเขาทำให้สมาชิกตระกูลเว่ยกดดันบิดามารดาของเว่ยหวนให้ขับไล่ลูกสะใภ้ออกจากบ้าน โดยอ้างว่านางละเมิดลักษณะภรรยาเจ็ดประการ[2]
เมื่อได้รับจดหมายขอหย่าจากเว่ยหวน นางหวังก็ร้องไห้อย่างขมขื่นและบอกกับทุกคนว่านางตั้งครรภ์เลือดเนื้อของเว่ยหวนแล้ว
แน่นอนว่านางสวีไม่มีทางยอมให้นางหวังคลอดบุตรในครรภ์ออกมา แม้แต่สมาชิกตระกูลเว่ยเองก็ไม่ต้องการบุตรของนางหวังมาเป็นลูกชายคนโต เพราะนั่นจะทำให้พ่อลูกตระกูลสวีไม่พอใจ พวกเขาจึงปิดปากเงียบเรื่องการตั้งครรภ์ของนางหวัง
หลายครั้งที่นางสวีอยู่กับเว่ยหวนก็ยังได้ยินเขาพูดถึงนางหวัง และยังเห็นว่าเขาสวมสายคาดเอวที่นางหวังเป็นคนทำให้อยู่
สวีอวี้หรงเติบโตมาอย่างเพียบพร้อม และรู้ดีว่าสำหรับสตรีที่ขัดสนไร้เงินทอง ก็มีเพียงร่างกายอันบริสุทธิ์เท่านั้นที่ล้ำค่าพอจะยึดโยงความสัมพันธ์ต่อสามีเอาไว้ได้
นางจึงสั่งให้หงรุ่ยดักรอนางหวังที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านพร้อมชายจำนวนหนึ่ง เพื่อจัดการทำลายความบริสุทธิ์ของอีกฝ่าย ด้วยวิธีนี้ เมื่อใดก็ตามที่เว่ยหวนคิดถึงนางหวัง ก็จะหลงเหลือเพียงความน่าละอายอยู่เท่านั้น ไม่มีเงาของความรักต่อสตรีคนนั้นซ้อนทับในใจอีกต่อไป
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ ระหว่างที่นางหวังถูกชายฉกรรจ์ลากไปข้างทาง นางกลับกระโดดหนีไปในลำห้วยเสียก่อน
[1] เน่ยเก๋อ (内阁) หมายถึง กลุ่มบัณฑิตขุนนาง ซึ่งรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ
[2] ลักษณะภรรยาเจ็ดประการ (七出之条) คือ ข้อกำหนดเจ็ดประการที่ทำให้สามีขอหย่าภรรยาได้ ได้แก่ อกตัญญู ไร้ทายาท คบชู้ ริษยา มีโรคร้าย ช่างนินทา และลักขโมย
MANGA DISCUSSION