บทที่ 121 ความคิดของพ่อลูก
เว่ยหวนไม่อาจรอเวลาจนงานเลี้ยงเลิกได้ เขาจึงออกมานอกห้องจัดเลี้ยงในระหว่างที่ทุกคนกำลังฉลองกันอยู่ เรียกคนสนิทของตน และสั่งเสียงเบาว่าให้ไปตรวจสอบที่บ้านเกิดของหลิวเหิง
หลังจากที่คนสนิทของเขาจากไป เว่ยหวนก็ยังคงยืนอยู่นอกห้องดอกไม้ สูดหายใจเข้าออกลึก ๆ สองสามครั้งด้วยความตื่นเต้นในใจ
หลิวเหิงต้องเป็นลูกชายของเขาแน่ ลูกชายที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติตั้งแต่หัวจรดเท้า และแทบไม่มีส่วนไหนที่ต่างจากเขาเลย แม้แต่ท่าทางการพูดจนกระทั่งความคิดที่ดูไม่ได้หยิ่งยโสและถ่อมตนจนเกินไป ไร้ซึ่งความเก้อเขิน ดูเหมือนเขาตอนอายุเท่ากันเป็นอย่างมาก
ไม่สิ เด็กหนุ่มคนนี้ดูเก่งกาจกว่าเขาในตอนนั้นเสียด้วยซ้ำ เขาสอบผ่านจู่เหรินตอนอายุได้ยี่สิบปี ส่วนหลิวเหิงสอบผ่านจู่เหรินตั้งแต่อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น
อายุสิบหกปีในปีนี้ หมายความว่านางตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะส่งจดหมายหย่าไปอย่างนั้นหรือ
ตอนที่อยู่ในเมืองหลวง เขาได้รับจดหมายจากตระกูลหวังที่ใครบางคนส่งมาให้ เป็นช่วงเดียวกับที่ใต้เท้าสวีส่งจดหมายขอดูตัวมา เว่ยหวนจึงไม่ได้อ่านจดหมายจากครอบครัวแต่เผามันทิ้งไป
เมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
หากว่าเขารู้เร็วกว่านี้….หากได้รู้เรื่องทั้งหมด เขาก็คงจะพาหลิวเหิงมาอยู่ด้วยกัน เลี้ยงดูเขาด้วยตัวเอง และหากเขาได้เป็นคนสอนหนังสือให้ลูกชาย แน่นอนว่าเด็กคนนี้คงต้องยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้นไปอีก
เว่ยหวนอดไม่ได้ที่จะลูบมือไปมา คิดในใจอย่างมีความสุข เวลานี้ยังไม่สายเกินไปนัก
หลังจากรอให้คนสนิทไปสืบความจริงที่หมู่บ้านหยางซาน และสามารถยืนยันว่าเขากับหลิวเหิงเป็นพ่อลูกกันได้เมื่อไร ก่อนที่เว่ยหวนจะกลับไปที่เมืองหลวงครั้งนี้ เขาจะพาหลิวเหิงไปยังหมู่บ้านตระกูลเว่ยที่เมืองไหวอันเพื่อเพิ่มลำดับวงศ์ตระกูล
เมื่อคิดถึงหมู่บ้านตระกูลเว่ย ความรู้สึกตื่นเต้นของเขาก็เริ่มสงบลงเล็กน้อย ตอนนี้ใต้เท้าสวีอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเว่ย
ตอนที่เขาแต่งงานกับนางสวี เว่ยหวนได้บอกว่าเขามีภรรยาแล้ว แต่เพราะแต่งงานกันมาหลายปีก็ไม่มีลูกด้วยกัน จึงขอหย่าไป
ไม่นานหลังจากที่ส่งจดหมายหย่า เขาก็ได้รับจดหมายจากครอบครัวแจ้งข่าวมาว่า หลังจากที่นางหวังได้รับจดหมาย นางก็กระโดดลำห้วยหมิงเพื่อจบชีวิตตัวเอง ครอบครัวตระกูลหวังได้รับการชดเชยจากเหตุการณ์นั้น นอกจากลูกพี่ลูกน้องของนางแล้วก็ไม่มีใครสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นอีก เรื่องราวกับตระกูลหวังจึงจบลงเท่านี้
อำเภอหมิงสุ่ยอยู่ติดกับลำห้วยหมิง เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากที่นางกระโดดลงไปแล้วอาจจะมีคนช่วยเหลือนางหวังขึ้นมาจากน้ำ และย้ายไปอยู่ที่อำเภอหมิงสุ่ยแทน
เขารู้ประวัติของหลิวเหิงแล้ว และรู้อีกว่านางหวังก็ได้แต่งงานใหม่กับช่างตีเหล็กแสนต่ำต้อยระหว่างที่อุ้มท้องอยู่ ภูมิหลังเช่นนี้มีแต่จะสร้างความอับอายให้กับลูกชายของเขา
แต่ตราบใดที่หลิวเหิงได้คืนสู่ตระกูลที่แท้จริง คือตระกูลเว่ยของเขา ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไป
เว่ยหวนมั่นใจมากว่าเมื่อเขาเปิดเผยความจริง หลิวเหิงจะต้องยอมรับเรื่องนี้ สุดท้ายก็จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเว่ยอย่างแน่นอน เนื่องจากเด็กคนนี้เลือกเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนาง เขาต้องเห็นความสำคัญของความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และทุกอย่างจะต้องมั่นคงขึ้นเมื่อมีบิดาเช่นเขา
ปัญหาเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้คือ หากหลิวเหิงได้รับการยอมรับเข้าสู่ตระกูลเว่ย แล้วเขาต้องทำอย่างไรกับนางหวัง
เว่ยหวนเกิดความคิดแวบหนึ่งขึ้นมาในหัว ว่าคงจะดีไม่น้อยหากนางหวังจะเสียชีวิตไปเสียตั้งแต่คลอดบุตรชายคนนี้
แต่เมื่อคิดว่าหากนางตายไปตั้งแต่ตอนนั้น หลิวเหิงเองก็อาจจะไม่มีทางมาอยู่ตรงนี้ได้
เขาไม่สามารถรับนางหวังเข้ามาได้ และนางสวีไม่มีทางยอมไม่ว่าจะเอานางหวังเข้ามาในฐานะคนใช้หรืออนุ
หรือเขาจะเอาเงินไปให้นางหวัง แล้วสั่งให้นางไปให้ไกลจากลูกดี
เมื่อได้รับจดหมายขอหย่า นางหวังก็ปลิดชีพตนเองด้วยการกระโดดน้ำ…
สีหน้าของเว่ยหวนเปลี่ยนไปมา ในที่สุดแววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเยียบเย็น
เมื่อได้ยินเสียงจอกสุรากระทบกันในห้องดอกไม้ เขาก็หันหลังกลับ จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยท่าทางมั่นคงกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
ในห้องดอกไม้ หลิวเหิงกำลังพูดคุยกับคนอื่น ๆ ที่ร่วมงานเลี้ยง
ทุกคนรู้ว่าเขามาจากอำเภอหมิงสุ่ย เมืองถงอัน ส่วนหัวหน้าผู้ควบคุมการสอบเว่ยมาจากอำเภอหยางหมิง เมืองไหวอัน เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะรู้จักกัน หรือมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ทั้งสองดูคล้ายกันมาก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากโชคชะตา เมื่อเห็นว่าใต้เท้าเว่ยมีท่าทีเป็นมิตรต่อหลิวเหิงอย่างมาก ก็เริ่มเกรงว่าย่าหยวนคนนี้อาจได้รับการสนับสนุนจากใต้เท้าเว่ยในอนาคต
ช่างน่าอิจฉาเสียจริงที่ได้รับความสนใจจากใต้เท้าในเมืองหลวงตั้งแต่ยังไม่ทันจะเข้ารับราชการเช่นนี้
ทุกคนจึงเข้ามาหาเพื่อพูดคุยกับหลิวเหิง แม้แต่เจี้ยหยวนผู้สอบได้อันดับหนึ่งก็ยังถูกละความสนใจไปชั่วขณะ
หลิวเหิงพูดคุยกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่น
เขามักถูกคนในหมู่บ้านหยางซานเยาะเย้ยมาตั้งแต่เด็กว่าดูไม่เหมือนหลิวต้าลี่เลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าต้องเป็นลูกติดมารดามากกว่าลูกชายแท้ ๆ ของบิดาเป็นแน่
ในตอนนั้นเขาทะเลาะกับคนอื่น ๆ และกลับบ้านมาร้องไห้ หลิวต้าลี่และนางหวังต้องคอยปลอบว่าคนพวกนั้นพูดจาไร้สาระ อย่างไรเขาก็เป็นลูกแท้ ๆ ของบิดาและมารดา
หลิวต้าลี่อุ้มเขาในวัยเด็กเอาไว้ในอ้อมแขน ชี้ไปทางนางหวังแล้วเอ่ยขึ้น “ดูแม่ของเจ้าสิ นางสวยมาก และเจ้าก็งดงามเหมือนกับนาง เจ้าคนไม่รู้เรื่องพวกนั้นก็แค่อิจฉาเจ้าเท่านั้น”
หลิวเหิงได้ยินอย่างนั้นก็เชื่อมั่นว่าตนเองหน้าคล้ายมารดา เพียงแค่เขาคิ้วบางกว่าเล็กน้อย
แต่เมื่อได้เจอกับใต้เท้าเว่ย ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องในวัยเด็กขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าพ่อแม่ไม่ได้พูดความจริงกับเขาทั้งหมด
แต่หลิวเหิงจำได้ว่าบิดามารดาของตนรักกันมากแค่ไหน
แม้ว่าใครจะพูดว่าบิดาเขาเป็นเพียงช่างตีเหล็กต่ำต้อย แต่ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก บิดามักกลับมาพร้อมกับของฝากให้เขาและมารดาเสมอ บางครั้งก็เป็นดอกไม้ผ้า เชือกผูกผม และต้องมีเครื่องเงินหรือทองแดงหนึ่งถึงสองชิ้นมาประดับอยู่บนผมของมารดาเสมอจนเป็นที่อิจฉาของสาว ๆ ในหมู่บ้าน
ทุกคนในหมู่บ้านต้องออกไปทำนาเมื่อถึงฤดูกาล แต่บิดาของเขาไม่เคยต้องให้มารดาออกไปช่วยทำงานเลย เขาออกไปทำงานคนเดียวเสมอ ทั้งยังนำผลไม้และดอกไม้ป่าสวย ๆ ติดมือกลับมา ทั้งมอบให้เขา และที่สำคัญที่สุดคือมอบให้มารดา
ส่วนมารดาของเขาก็ไม่ต่างกัน
นางมักจะมองบิดาของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนจากเบื้องหลังและระบายยิ้มเล็กน้อย ด้วยรอยยิ้มเช่นนั้น หลิวเหิงรู้ว่าในใจของนาง บิดาของเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก
เมื่อบิดาจากไปอย่างกะทันหัน มารดาของเขาก็กัดฟันสู้เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ไม่ว่าจะต้องลำบากหรือยากจนเพียงใด จะเตรียมเงินไว้สองก้อนเสมอ ก้อนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายในการเล่าเรียน และอีกก้อนหนึ่งสำหรับซื้อเงินกระดาษไว้ให้บิดาในวันเช็งเม้ง
ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร มารดาของเขาก็ไม่เคยสนใจ ครั้งหนึ่งมีคนสารเลวมาหาว่านางมีชู้ มารดาที่แสนอ่อนโยนของเขารีบตรงไปที่บ้านคนคนนั้นอย่างฉุนเฉียว ถือมีดทำครัวไว้ในมือ และบอกว่าให้ตายไปด้วยกัน นางเป็นคนของตระกูลหลิวแล้ว เมื่อตายก็ย่อมเป็นวิญญาณของตระกูลหลิว ความแข็งกร้าวของมารดาครั้งนั้นทำให้ไม่มีใครในหมู่บ้านกล้าพูดเรื่องไร้สาระเช่นเดิมอีก
หลังจากย้ายหลุมฝังศพของบิดาแล้ว นางยังบอกกับเขาอีกว่าในอนาคตอยากจะให้ฝังศพนางไว้กับบิดาอีกด้วย
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ หลิวเหิงก็บีบถ้วยในมือแน่น ไม่มีอะไรสร้างความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของตนได้อีก ไม่ว่าเรื่องราวในอดีตแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เขาย่อมเป็นลูกของบิดาและมารดา และจะเป็นเพียงลูกของบิดาและมารดาของเขาเท่านั้น!
เว่ยหวนเดินเข้าไปในห้องดอกไม้ เห็นหลิวเหิงยืนตระหง่านท่ามกลางฝูงชน โดดเด่นกว่าผู้อื่น ทั้งยังยิ้มและเดินพูดคุยกับทุกคนได้อย่างไม่ติดขัด เขาจึงเดินเข้าไปจับมืออีกฝ่ายอย่างอบอุ่น และพาเขาไปหาหยางซูถา “เจ้าคือย่าหยวนจากการสอบเซียงซื่อของเมืองนี้ แต่ข้าจำได้ว่าใต้เท้าหยางเป็นเสวี้ยเจิ้งของเมืองถงอัน ข้าและเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน เจ้าได้ขอบคุณเขาแล้วใช่หรือไม่”
ท่าทางของเขาใจดีและเป็นมิตร เหมือนผู้อาวุโสให้คำแนะนำต่อผู้น้อย
“ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเตือนข้า ตอนนี้ข้าได้ขอบคุณใต้เท้าหยางแล้วขอรับ” หลิวเหิงมีสีหน้าขอบคุณ แต่ไม่ได้มีแววของการประจบสอพลอและอยู่ในอาการสงบ
ความสงบนั้นทำให้ยิ่งดูน่านับถือ
เว่ยหวนยิ้มอย่างจริงใจ มองไปทางหลิวเหิงด้วยความภูมิใจและซาบซึ้งอย่างไม่ปกปิด
หยางซูถามองทั้งสองแล้วหัวเราะขึ้นมา “พี่เว่ย ท่านกับหลิวเอ้อร์หลางดูราวกับเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ”
MANGA DISCUSSION