บทที่ 118 คุณหนู โปรดตั้งชื่อให้ข้าที
เด็กหนุ่มหักกระดูกน้องสาวอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ทัน
ทั้งความเร็วและความแม่นยำในการลงมือเช่นนี้ทำเอาเหยียนซีและหมอชราตกใจไปตาม ๆ กัน เขายื่นมือไปแตะที่แขนเด็กสาว “นี่…นี่เจ้าหักไปแล้วจริงหรือ?!” เด็กคนนี้ลงมือหักกระดูกมนุษย์ได้ไม่ต่างอะไรกับการบี้เต้าหู้ แม้ว่าหมอจะเป็นผู้ทำเอง ก็ยังไม่สามารถทำได้เร็วและคล่องแคล่วเท่าเขา
“ใช้ได้ใช่หรือไม่” เด็กหนุ่มยังคงถามต่ออย่างจริงจัง
“ใช้ได้ ๆ” หมอชราไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาดังเช่นเด็ก ๆ อีกต่อไป เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก ช่างน่าเสียวสันหลังยามถูกเด็กหนุ่มผู้นี้จ้องมองยิ่งนัก
เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วกล่าวกับท่านหมอ “โปรดช่วยรักษานางด้วยขอรับ” จากนั้นก็หันมามองทางเหยียนซี “คุณหนู โปรดรักษานางด้วยขอรับ”
กระดูกหักเช่นนี้แล้วเป็นอันว่ารักษาได้แล้วใช่หรือไม่
เหยียนซีหันไปทางหมอชรา ท่านจึงหันไปเรียกลูกศิษย์ให้เข้ามาช่วย “เอาไม้กระดานมาให้ข้าสักสองสามแผ่นสิ” จากนั้นก็หันไปคุยกับเด็กหนุ่มต่อ “มาจับนางไว้ที อย่าให้ขยับตัวไปมา”
เพื่อให้กระดูกสมานตัวอย่างถูกต้อง ต้องจัดท่าทางให้ดี แต่กระบวนการจัดกระดูกนั้นเจ็บปวดมาก
ครั้งนี้เมื่อเด็กหนุ่มช่วยจับนางไว้ น้องสาวก็ไม่ร้องออกมาสักคำ ราวกับว่ากระดูกนั่นไม่ใช่แขนของนาง
หมอชราอยู่ในอาการประหม่า สั่งให้ลูกศิษย์เอาไม้กระดานมาดาม หลังจากที่ค่อย ๆ จัดกระดูกอย่างระมัดระวัง เขาก็ผูกไม้กระดานให้เด็กสาว และสั่งยาให้อีกเจ็ดอย่าง
เด็กหนุ่มไม่ได้มีส่วนไหนสาหัสร้ายแรง แต่มีหนองที่ข้อเท้า เขาขอให้คนเจ็บนั่งลง บีบเอาหนองออกมา โรงผงยาใส่แผล และเอายาทั้งขวดยื่นให้เขา “ใส่ยานี่ทุกคืน โรยไปบนแผล อย่าปล่อยให้แผลเปียกน้ำ และไม่ต้องพันแผลแน่น ไม่นานจะเริ่มตกสะเก็ดและหายดี”
หลังจากช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขาแล้ว เหยียนซีก็เอาเงินออกมาสองตำลึงเพื่อจ้างเกวียนกลับ แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ “ข้าจะแบกนางเดินไปเองจะได้ประหยัดเงิน”
เขากลัวว่าเธอจะต้องจ่ายเงินมากเกินไปอย่างนั้นหรือ เหยียนซีส่ายหน้าไปมา “ไปเรียกเกวียนกลับกัน ข้ามีของต้องขนอีกมาก”
เด็กหญิงเช่าเกวียนอีกครั้ง กลับไปซื้อผ้า ชาด และผงสีน้ำก่อนจะพาทั้งสองกลับไปที่บ้านพักตระกูลเฉินด้วยกัน
“พวกเจ้ามีที่ไปหรือไม่ ข้าจะมอบเงินสองสามตำลึงให้ แล้วพวกเจ้าไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันดีหรือไม่”
“คุณหนูไม่ต้องการพวกข้าหรือ”
คุณหนูอะไรกันเล่า เธอแทบไม่ต่างจากพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
เหยียนซีส่ายหน้า “ความจริงแล้ว ข้าไม่ใช่คุณหนูอะไรหรอก เป็นเพียงเด็กหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง และยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ข้าเพียงจับพลัดจับผลูได้ซื้อตัวพวกเจ้ามา ไม่ได้มีปัญญาจะดูแลคนรับใช้…”
“เราทำงานให้ท่านได้” เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องอิสรภาพใด ๆ ทั้งสิ้น
ดูไม่ต่างอะไรจากลูกนกที่ตกจากรัง
เหยียนซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนของจวนอ๋อง หน่วยกล้าตาย ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย “เจ้าเป็นทหารหน่วยกล้าตาย ไม่ว่าจะศึกษาจนสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ย่อมต้องมีความสามารถไม่น้อย รอดจากเคราะห์กรรมนี้ได้ก็เป็นโชคของเจ้าแล้ว อย่าไปกับข้าเลย ถ้าไปบ้านคนอื่นก็มีแต่จะต้องถูกใช้งาน…”
“แล้วท่านไม่อยากใช้งานเราหรือ” เด็กหนุ่มไม่ได้ซื่อบื้ออย่างที่เหยียนซีคิด หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น “ไม่มีใครรู้อะไรทั้งสิ้น หน่วยกล้าตายไม่มีบัญชีชื่อ”
การไม่มีบัญชีชื่อหมายความว่าจะไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาอย่างนั้นหรือ
เหยียนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็รับปากอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “เอาเช่นนั้นก็ได้ พวกเจ้าตามข้าไปก่อน จนกว่าจะหายจากการบาดเจ็บ ถึงเวลานั้นอยากจะไปที่อื่นก็บอกข้าได้”
หน่วยกล้าตาย คนเหล่านี้เป็นอย่างไรกันแน่ สำหรับเหยียนซีแล้วพวกเขาเป็นเหมือนอาวุธสังหารที่แฝงกายในเงามืด เธอคิดว่าตนเองไม่สามารถให้พวกเขามาอยู่ใกล้ตัวได้ แต่ก็ยังไม่สามารถตัดใจไล่ไปในตอนนี้ได้เช่นกัน เมื่อช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง อย่างไรก็ควรรักษาอาการบาดเจ็บให้หายก่อน
เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วก็คิดเรื่องเงินที่เหยียนซีจ่ายให้นายหน้าขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านจ่ายเงินเกิน อยากให้ข้าไปเอาคืนให้หรือไม่”
ทำไมถึงได้วกกลับมาเรื่องนี้อีกแล้วนะ!
เหยียนซีไม่สามารถทำอะไรกับความดื้อรั้นของเขาได้ หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็เริ่มเกลี้ยกล่อม “ราคาที่จ่ายไปมากน้อยขึ้นอยู่กับความคุ้มค่า ในสายตาข้า ชีวิตของเจ้าทั้งสองล้วนไม่ได้ไร้ราคา…”
“ชีวิตของนายท่านต่างหากที่มีคุณค่า” เด็กหนุ่มโต้กลับ
เหยียนซีมองเขาที่พูดอะไรเช่นนั้นออกมา จิตสำนึกของเขาหรือตลอดเวลาที่เติบโตมา คงถูกปลูกฝังมาเสมอว่าชีวิตของนายท่านเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และหน่วยกล้าตายนั้นเป็นเบี้ยไร้ค่า พร้อมตายได้ทุกเมื่อ ตัวเขาเองจึงคิดว่าชีวิตของตนนั้นไร้ค่าไร้ราคาจริง ๆ
หน่วยกล้าตายที่คิดเสมอว่าตัวเองจะต้องจบชีวิตลงเมื่อไรก็ได้อย่างนั้นหรือ พวกเขาทั้งสองอายุเท่าไรกัน
เหยียนซีเอ่ยกับเขาอย่างเคร่งขรึม “ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว จำคำข้าไว้ให้ดี ชีวิตของพวกเจ้ามีค่าเช่นกัน ข้าไม่ได้ร่ำรวยมากมายนัก แต่เงินหนึ่งตำลึงข้าจ่ายได้ ไม่จำเป็นต้องคิดว่าข้าขาดทุน เงินส่วนต่างสองร้อยอีแปะนั่น ถือว่าเป็นค่าโชคชะตาเถอะนะ”
“ว่าแต่ พวกเจ้าชื่ออะไรกันงั้นหรือ”
“ข้าคือปาลิ่ว[1] ส่วนนางคือปาจิ่ว[2]”
เหยียนซีอยากจะดีดหน้าผากเขาสักครั้ง นั่นมันคือหมายเลขประจำตัว ดูไม่เหมือนชื่อเลยสักนิด!
“คุณหนูขอรับ ท่านตั้งชื่อให้ข้าได้หรือไม่” เด็กหนุ่มคุกเข่าลงแล้วถามอย่างนอบน้อม
เหยียนซีไม่เคยชินกับการถูกคุกเข่าให้เช่นนี้ เด็กสาวจึงรีบยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมา หากพวกเขาจะอยู่ด้วยกันเพื่อรักษาตัวก่อน ตนก็ไม่ต้องการจะเรียกทั้งสองว่าปาลิ่วและปาจิ่วอีกต่อไป หากหลังจากนี้เมื่อพวกเขาหายดีแล้วและยังคงต้องการติดตามตนอยู่ พวกเขาจะถูกนับว่าเป็นคนในครอบครัวได้หรือไม่นะ
เหยียนซีไม่เคยตั้งชื่อให้ใครมาก่อน เธอเงยหน้าขึ้นมองเห็นต้นเฟิงสีแดงอยู่นอกหน้าต่าง มันดูเปล่งประกายไปด้วยสีสันสดใสในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ “ข้าแซ่เหยียน งั้นเจ้าก็ใช้ชื่อเหยียนเฟิง ส่วนนางก็ชื่อเหยียนหลิ่ว ดีหรือไม่”
ว่าจบนางก็ลากนิ้วเขียนคำว่าเหยียนเฟิงและเหยียนหลิ่วลงบนมือของเด็กหนุ่ม “เจ้ารู้หนังสือหรือไม่ นี่คือคำว่าเฟิง ที่หมายถึงต้นเฟิง ใบสีแดงของต้นเฟิงจะทำให้ชีวิตของเจ้ารุ่งโรจน์ขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้ ต้นหลิวเองก็จะแตกหน่อในฤดูใบไม้ผลิอย่างสวยงามที่สุด ต่อไปน้องสาวเจ้าก็จะทั้งปราดเปรื่องและงดงาม รวมถึงมีชีวิตที่ดี”
“ขอบคุณคุณหนูที่ตั้งชื่อให้ข้า” เด็กหนุ่มดึงมือกลับมาแล้วขยับกำแน่น น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยอารมณ์บางอย่างที่หาฟังได้ยาก
จากนั้นไม่นานก็ตื้นตันจนอยากจะคุกเข่าลงอีกครั้งเพื่อเป็นการขอบคุณ แต่เหยียนซีห้ามไว้ก่อน “เจ้าดูแลน้องสาวไปเถอะ ข้าจะไปทำอาหารก่อน”
เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังเหยียนซีที่เดินออกไปทางประตู ก่อนจะเห็นว่าเด็กสาวบนเตียงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น “เหยียนหลิ่ว หลังจากนี้เราจะติดตามคุณหนูไปด้วยกัน”
นางเพียงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร เพราะรวบรวมแรงที่พอมีอยู่ตื่นขึ้นมาครู่เดียวเท่านั้น หลังจากพยักหน้า แรงทั้งหมดที่มีก็หมดลง เด็กสาวก็หมดสติลงไปอีกครั้ง
เหยียนซีเห็นว่าสองพี่น้องซูบผอม นางจึงต้มโจ๊กให้พวกเขากินไปก่อน
เหยียนเฟิงกินอย่างรวดเร็ว โดยที่เหยียนซีไม่ทันได้บอกว่ามันร้อนเกินไป โจ๊กก็หมดชามในพริบตา
“กินช้า ๆ เถอะ ถ้าลวกปากลวกคอจะเจ็บนานนะ” เด็กหญิงว่าพลางเติมโจ๊กให้เขาอีก
คราวนี้เหยียนเฟิงกินช้าลงมาก เกือบจะเอาเข้าปากแล้วหยุดลงชั่วขณะ หันกลับมาสนใจใบหน้าของเหยียนซีนิดหน่อยก่อนจะกลับมากินต่ออีกครั้ง
หลังจากกินโจ๊กไปสองชามเหยียนซีก็ไม่ได้เติมให้เขาอีก “เจ้าขาดอาหารมานาน ไม่ควรกินมากเกินไปในทันที น้องสาวเจ้าตื่นขึ้นเมื่อไร เอายาให้นางกินก่อน แล้วค่อยให้โจ๊กกินทีหลัง รอให้ในท้องเริ่มฟื้นตัวก็จะกินข้าวได้ปกติแล้ว”
เธอต้มน้ำร้อนมาอีกหม้อ และบอกให้เหยียนเฟิงไปอาบน้ำ จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าตนเองมา เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหยียนหลิ่ว
หลังจากอาบน้ำและเช็ดตัวจนสะอาดแล้ว ก็สามารถมองเห็นใบหน้าของสองพี่น้องได้อย่างชัดเจน ทั้งคู่หน้าตาดีไม่น้อย พางทีพวกเขาอาจจะปล่อยให้ตัวเองมอมแมมเพื่อซ่อนรูปลักษณ์เช่นนี้เอาไว้ก็เป็นได้
[1] ปาลิ่ว (八六) หมายถึง 86
[2] ปาจิ่ว (八九) หมายถึง 89
MANGA DISCUSSION