บทที่ 110 อย่าล้อเล่นเช่นนี้
เผยซิ่วคาดเดาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปลอบหลิวเหิง “อย่าเชื่อข่าวลืออะไรพวกนั้นเลย การสอบเซียงซื่อล้วนเป็นการตรวจให้คะแนนโดยไม่ทราบชื่อของผู้เขียนคำตอบ ไม่ว่าผู้ตรวจข้อสอบจะอยากเข้าข้างคนที่ตนเองรู้จักมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะทำอย่างนั้นได้ นอกจากนี้ยังมีกรรมการหลายท่านช่วยกันอ่านคำตอบอีกด้วย”
เหยียนซีพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้นของเขา
แม้ว่าผู้คนมักจะให้ความสนใจกับคนที่รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน หรือมีบางอย่างคล้ายคลึงกับตัวเองเป็นพิเศษ แต่ผู้ควบคุมการสอบก็ไม่สามารถเข้าข้างใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างโจ่งแจ้งได้อย่างแน่นอน การคาดเดาของคนตัดฟืนไม่ได้มีน้ำหนักมากมายนัก เพียงแค่เป็นคนบ้านเดียวกัน แต่ไม่ได้รู้จักกัน ขุนนางผู้ใหญ่จะสามารถเสี่ยงเข้าข้างคนเหล่านั้นในการสอบได้เชียวหรือ พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญ มีเพียงแต่ต้องผ่านการสอบเท่านั้นที่จะเข้าไปเป็นที่รู้จักของขุนนางระดับนั้นได้ ส่วนคนที่สอบไม่ผ่าน ในสายตาพวกเขาก็ยังเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น
หลิวเหิงรู้ว่าเผยซิ่วกำลังพูดเพื่อให้เขาสบายใจขึ้นเรื่องการสอบ จึงเพียงพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ
พวกเขาต่อแถวอยู่อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม คนขับรถม้าก็เริ่มกระวนกระวายใจ และกล่าวว่าถ้ายังเข้าเมืองไม่ได้เสียทีเช่นนี้ อาจจะไม่ทันประตูเมืองปิดและคืนนี้อาจต้องหาที่นอนกันหน้าประตูเมือง
ยังโชคดีที่เรื่องเช่นนั้นไม่เกิดขึ้นจริง หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งคุ้มกันรถม้าและเดินทางผ่านชาวบ้านเข้าไปในตัวเมือง
รถม้าในขบวนมีหน้าต่างฉลุลายเพื่อให้สามารถมองออกไปด้านนอกได้ และไม่ได้มีม่านประตู แต่เป็นประตูแกะสลักอย่างสวยงามสองบาน ม้าที่ลากรถคันนั้นก็มีท่าทางสง่างามอย่างอาชาชั้นดี ดูหรูหรากว่ารถม้าที่พวกเขาเช่ามาเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกับรถของชาวบ้านรอบ ๆ ขบวนรถม้าคันหรูนั้นช่างโดดเด่นสะดุดตาจนไม่อาจหยิบมาพูดเปรียบกันได้
ทันทีที่ขบวนของผู้แทนองค์จักรพรรดิผ่านไป แถวรอเข้าเมืองก็เริ่มเคลื่อนตัว เหยียนซีคิดในใจด้วยซ้ำว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจงใจให้คนที่จะเข้าเมืองหยุดรอที่นี่ เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีคนรอต้อนรับท่านผู้แทนอย่างคับคั่ง
แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ในที่สุดพวกเขาก็ได้เข้าเมืองหย่งโจวทันเวลาก่อนประตูปิด
มีเด็กรับใช้หนุ่มสองคนยืนอยู่ที่ประตูเมือง เมื่อทั้งสองเห็นรถม้าเข้ามา พวกเขาก็ตรงเข้ามา “ขออภัยขอรับ นี่ใช่รถม้าของคุณชายหลิวหรือไม่”
หลิวเหิงมองดูก็จำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเด็กรับใช้ของเฉินโหย่วฝู “ผิงอัน เจ้านี่เอง”
“คุณชายหลิว ข้าน้อยรอท่านที่นี่มาสองวันแล้ว คุณชายของข้าน้อยบอกว่าท่านจะมาถึงในสองสามวันนี้ และมอบหมายให้ข้าน้อยมารอท่านเพื่อจะได้นำทางให้ขอรับ”
ตามอย่างที่ผิงอันว่า เขาให้เด็กรับใช้อีกคนกลับไปก่อนเพื่อรายงานเจ้านาย ก่อนจะปีนขึ้นไปข้างคนขับรถม้าเพื่อบอกทาง
เมื่อรถม้าของพวกเขามาถึงที่หมาย หลิวเหิงจ่ายค่าเช่าทั้งหมดแก่คนขับรถม้า เอาสัมภาระจากเหยียนซีมาถือไว้เองและตามผิงอันเข้าไปในบ้านพักเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ในที่แห่งนั้นสองสามีภรรยาสูงวัยรออยู่ที่ประตู ทันทีที่พวกเขาเห็นหลิวเหิงและอีกสามคนที่มาด้วยกัน ชายชราก็เอ่ยต้อนรับทันที “นายน้อย ท่านน่าจะเป็นคุณชายหลิว คุณชายของข้าน้อยสั่งเอาไว้แล้วว่าให้ทำความสะอาดเตรียมห้องพักไว้ให้คุณชายกับน้องสาว เชิญด้านในขอรับ”
บ้านพักเล็ก ๆ ของตระกูลเฉินตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง มีสวนขนาดเล็กอยู่ด้านหน้า ภายในมีห้องโถง ห้องทำงาน และพื้นที่ใช้สอยอื่น ๆ ครบครัน อีกทั้งด้านหลังยังมีห้องนั่งเล่น ห้องรับรองแขกอีกสองห้อง ห้องครัวที่แยกออกไปไม่ไกลนักและสวนด้านหลัง เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการอ่านตำราเงียบ ๆ เป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่ผิงอันช่วยแนะนำและจัดการสิ่งต่าง ๆ แล้ว เขาก็ยิ้มแล้วเอ่ยกับเหยียนซี “คุณหนูเหยียน ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านทำอาหารเก่ง ที่นี่มีครัวซึ่งเตรียมของจำเป็นทั้งหมดเอาไว้ให้แล้วขอรับ คุณหนูสามารถเลือกใช้ได้ หากขาดเหลืออะไรสามารถแจ้งให้แม่บ้านไปช่วยซื้อมาให้ได้”
“ขอบคุณพี่ชายมาก” เหยียนซีทำตามธรรมเนียมด้วยการส่งเงินให้กับผิงอัน แต่เขากลับปฏิเสธ “คุณชายสั่งไว้ไม่ให้ข้าน้อยรับเงินขอรับ” อาจเป็นเพราะเฉินโหย่วฝูเกรงใจเรื่องฐานะครอบครัวของหลิวเหิงจึงสั่งคนของเขาไว้ไม่ให้รับเงิน
การแสดงท่าทีเช่นนั้นนับเป็นเรื่องดี และเหยียนซีจะไม่บังคับ หากเขาไม่ต้องการเธอก็เพียงแค่เก็บเงินคืนกลับไป
ทั้งสามพูดคุยตกลงกันสั้น ๆ แล้วสรุปว่าให้เผยซิ่วพักที่ห้องรับรองแขกฝั่งตะวันออก หลิวเหิงพักที่ห้องรับรองแขกฝั่งตะวันตก และเหยียนซีอยู่อีกห้องที่ติดกับห้องของหลิวเหิง
หลังจากที่ทั้งสามจัดแจงข้าวของเรียบร้อยแล้ว ผิงอันก็ขอตัวกลับไปรายงานเจ้านายของเขา
บ้านนี้เป็นไปตามที่คู่สามีภรรยาที่เป็นผู้ดูแลบอก พวกเขาทำความสะอาดทุกห้องอย่างดี เพียงจัดข้าวของเข้าที่พร้อมสำหรับการอยู่อาศัย
เหยียนซีเข้าไปสำรวจห้องครัว มีบ่อน้ำอยู่ข้างประตูทางเข้า ภายในมีหม้อ กระทะ แป้ง ข้าวสาร ธัญพืช น้ำมัน ผักสดจำนวนหนึ่ง จากนั้นหญิงชราก็เดินเข้ามา เมื่อนางเห็นว่าเหยียนซีกำลังสำรวจห้องครัวจึงรีบเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านจะมาถึงเมื่อไรจึงยังไม่กล้าซื้อของสดเพิ่ม คุณหนูต้องการให้ข้าน้อยไปซื้ออะไรเพิ่มอีกไหมเจ้าคะ”
เหยียนซียังไม่รู้จักสถานที่ต่าง ๆ รอบ ๆ นี้ดีนัก และรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงยังไม่อยากออกไปไหนในตอนนี้ ดังนั้นจึงนับเงินออกมาร้อยอีแปะ ขอให้หญิงชราช่วยซื้อเนื้อสัตว์มาเพิ่มอีกสองสามจิน ไข่จำนวนหนึ่ง บวบตามฤดูกาล ถั่วแระ และผักอย่างพวกผักกาด “หากมีผลไม้ตามฤดูกาลอย่างส้มหรือผลไม้สดอย่างอื่น ช่วยซื้อมาสักสองจิน ข้าไม่รู้ราคาอาหารในหย่งโจว ไม่แน่ใจว่าเงินเท่านี้เพียงพอจะซื้อหรือไม่ ถ้าไม่พอสามารถบอกได้”
หญิงชราลองคิดคำนวณดู หลังจากซื้อของทั้งหมด เงินร้อยอีแปะก็น่าจะยังเหลืออยู่ “เท่านี้เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งน่าจะยังเหลือด้วย”
“ข้ายังต้องฝากท่านทั้งสองช่วยดูแลอีกมาก เงินที่เหลือจากการซื้อของ ข้ามอบให้ท่านและท่านลุงไปซื้ออะไรมาดื่มกันเถิด” เหยียนซีประเมินจากราคาข้าวของในเมืองถงอัน และคิดว่าระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็จำเป็นจะต้องมีอะไรมอบให้คนดูแลบ้านทั้งสองด้วย เผื่อจะไหว้วานให้พวกเขาช่วยเหลืออะไรบ้าง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงชราก็ยิ้มอย่างกระตือรือร้น “ขอบคุณสำหรับรางวัลเจ้าค่ะคุณหนู หากท่านต้องการคนช่วยดูเตาไฟ ก็บอกข้าน้อยได้ และหากต้องการออกไปข้างนอกก็แจ้งสามีข้าน้อยได้เช่นกัน”
เหยียนซีขอบคุณนางอีกครั้ง จากนั้นเธอก็เริ่มเอาหมูสามชั้นชิ้นหนึ่งออกมาล้างที่ด้านนอก แช่เห็ดแห้งลงไปในน้ำ จากนั้นก็ไปหุงข้าว ใส่หมูสามชั้นและผักลงไปในหม้ออีกใบ หลังจากหญิงชรากลับมาพร้อมกับผักที่เธอต้องการเพิ่มเติม เด็กหญิงก็ปรุงแกงบวบใส่ไข่ของเธอจนเสร็จสิ้น
ในที่สุดทั้งสามก็ได้พักที่หย่งโจวหลังจากเดินทางมาหลายวัน เมื่อกินข้าวและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงแยกย้ายกันล้มตัวนอนลงบนเตียงและหลับใหลไปในทันที่ที่ศีรษะถึงหมอน
หลังจากพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว เฉินโหย่วฝูก็เดินทางมาเยี่ยมในวันรุ่งขึ้น
เขามาถึงระหว่างที่เหยียนซีกำลังทำฮวาเชิงลั่ว หลังจากที่ทั้งสามคนกินอาหารเช้าเสร็จก็ได้ของว่างคนละหนึ่งชาม เมื่อเฉินโหย่วฝูมาถึงหน้าบ้าน เขาก็ได้กลิ่นหอมหวานของถั่วลิสงและข้าวบดต้มโชยมา “โอ้ ข้ามาได้จังหวะพอดี ซีเอ๋อร์กำลังทำของอร่อยอะไรอีกแล้ว ขอให้ข้าด้วยสักถ้วยได้หรือไม่”
เขาพบกับเหยียนซีหลายครั้งและบอกว่าตนกับหลิวเหิงถือว่าเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นเหยียนซีจึงเรียกเขาว่าพี่เฉิน
เมื่อได้ยินว่าเขาอยากจะกินด้วยกัน เหยียนซีก็รีบวางชามของตัวเองลงแล้วไปเอาชามใบใหม่ออกมา เธอตั้งใจจะเก็บเอาไว้ให้หลิวเหิงกินเป็นของว่างตอนบ่าย จึงยังมีพอสำหรับเฉินโหย่วฝู “พี่เฉิน นี่ฮวาเชิงลั่วที่ข้าทำ ลองชิมดูก่อนเจ้าค่ะ”
“อืม มันเนียนนุ่มและเหนียวนิดหน่อย ท่าทางว่าจะเป็นอาหารแบบทางเหนือ” เฉินโหย่วฝูชิมของว่างแล้วพูดกับหลิวเหิง “ดีแล้วที่เจ้าอยู่ที่บ้านพักนี่ ข้าจะได้มาหาอะไรกินได้เรื่อย ๆ”
“พี่เฉินถ้าท่านชอบก็มาทุกวัน จะได้กินข้าวด้วยกันอีก”
เผยซิ่วมีนัดออกไปเยี่ยมเพื่อน เมื่อเห็นว่าเฉินโหย่วฝูมาเขาก็เอ่ยทักทายเล็กน้อย หลังกินฮวาเชิงลั่วเสร็จแล้วก็ออกจากบ้านไป
เฉินโหย่วฝูถือโอกาสตอนที่เหยียนซีเอาชามไปเก็บในห้องครัวขยิบตาให้หลิวเหิงและกระซิบกระซาบ “ความสุขของชายหนุ่มนั้นเรียบง่ายเท่านี้เอง” หลิวเหิงจ้องกลับ ตีหน้านิ่งแล้วกระซิบตอบ “พี่เฉิน อย่าล้อเล่นเช่นนี้อีก แม่ข้าปฏิบัติต่อซีเอ๋อร์ดั่งลูกสาวคนหนึ่ง”
สีหน้าของหลิวเหิงดูจริงจังมาก เฉินโหย่วฝูขยิบตาอีกครั้ง และเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ ข้าจะไม่ล้อเล่นแล้ว ทั้งจะถือว่าซีเอ๋อร์เป็นน้องสาวอีกคนด้วยดีหรือไม่”
“ขอบคุณพี่เฉิน”
เฉินโหย่วฝูรู้ดีว่าหลิวเหิงเป็นคนตรงไปตรงมาจึงยอมรามือในที่สุด ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนชักชวนกันออกไปข้างนอก
MANGA DISCUSSION