บทที่ 106 ยากจนก็เป็นได้แค่อนุ
ทันทีที่อาสะใภ้สามพูดจบ ก่อนที่หลิวเหิงกับเหยียนซีจะได้ตอบอะไร นางจ้าวก็มองมาที่พวกเขาแล้วทักทายด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์หลาง ซีเอ๋อร์ ช่วยกันตากผ้านวมอยู่งั้นหรือ อาสะใภ้สามของเจ้าชอบล้อเล่นอย่าไปถือสาที่นางพูดเลย”
เพราะนางทำเงินได้มากมายจากการขายเสื้อผ้ากับเหยียนซีจึงพูดกับเด็กสาวอย่างสุภาพ
อาสะใภ้สามที่ไม่พอใจเหยียนซีเป็นทุนเดิม เพราะเป็นต้นเหตุให้นางถูกสามีต่อว่า และพี่สะใภ้ของนางก็เอาแต่หลงเด็กคนนี้ ส่วนแม่จินเป่าก็สนิทกับนางหวังมาก ในปีนี้ นางทำเสื้อผ้าที่โรงตัดเย็บ ช่วยงานปักกระเป๋าและได้เงินมากกว่าสองตำลึงกลับมาที่บ้าน เป็นเงินที่มากกว่าลูกชายตนเองที่ตรากตรำทำงานหนักทั้งวัน เพราะอย่างนั้นเมื่อได้พบกับเหยียนซีก็ทำให้นางรู้สึกราวกับกำลังถูกเยาะเย้ยให้ขายหน้า
แต่ก็ยังต้องมาหาเด็กคนนี้ถึงบ้านเพื่อเอาของกินวันตรุษมาให้อีก เมื่ออยากจะหาเรื่องนางจ้าวก็มาขัด
ทำให้อาสะใภ้สามหน้าเสียเล็กน้อย
เหยียนซีแสร้งทำเป็นได้ไม่ได้ยินเรื่องเหล่านั้น วางไม้หวายลงแล้วเอ่ยกับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “อาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม ทั้งสองท่านนั่งลงก่อนไหมเจ้าคะ”
เมื่อมองไปที่ชามในมือของนางจ้าวและอาสะใภ้สาม เธอก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นคนรับได้หรือไม่ จึงหันไปถามหลิวเหิงด้วยสายตา
ส่วนหลิวเหิงที่ได้ยินคำพูดเรื่องคู่หนุ่มสาวนั่น หน้าของเขาก็ขึ้นสีและเสมองไปทางผ้านวม จากนั้นก็สบตาเหยียนซีแล้วทักทายผู้ใหญ่ทั้งสอง เมื่อเห็นว่าเหยียนซีไม่กล้ารับอาหารเหล่านั้น แต่ส่งสายตาหาเขาก็เข้าใจว่านางกำลังสงสัยว่าสามารถรับมันมาเองได้หรือไม่
“อาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม เสี่ยงหลิงกับลูกชิ้นทอดของพวกท่านพร้อมหมดแล้วหรือขอรับ” เขารับมันมาทั้งสองชาม “ซีเอ๋อร์ เราก็ทอดของกินเสร็จแล้วเมื่อคืนนี้นี่ ไปเอามาให้อาสะใภ้ทั้งสองด้วยสิ”
เหยียนซีถอนหายใจ เอาชามสองใบเดินออกมาจากในครัว ทั้งสองใบนั้นเต็มไปด้วยปลาชุบแป้งทอด “อาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม บ้านเราทอดปลาตัวเล็ก ๆ ไว้ด้วย พวกท่านลองเอาไปชิมดูนะเจ้าคะ”
นี่เป็นปกติของการแลกอาหารกัน นางเจ้าและอาสะใภ้สามปฏิเสธพอเป็นพิธีก่อนจะยอมรับมันไป
นางจ้าวถามถึงขนมนึ่งว่าที่บ้านนี้เตรียมเอาไว้แล้วหรือยัง เมื่อทราบว่านางหวังกำลังไปโม่แป้งและที่บ้านกำลังวางแผนจะทำแป้งนึ่ง นางกับอาสะใภ้สามจึงขอตัวกลับก่อน
ระหว่างที่เดินอยู่ในลานหน้าบ้านตระกูลหลิว นางจ้าวก็เอ่ยกับอาสะใภ้สามด้วยเสียงเบา “แม่เอ้อร์หลางบอกว่านางดูแลซีเอ๋อร์เหมือนลูกสาว เหตุใดเจ้าถึงได้พูดจาแบบนั้นออกไป ใครได้ยินเข้าจะมองซีเอ๋อร์ไม่ดีเอาได้”
“แม่เอ้อร์หลางบอกว่านางกำลังจะโตเป็นสาว ใครก็รู้ว่าเหยียนซีเป็นเหมือนดาวนำโชค นางจะยอมยกให้ไปเป็นสะใภ้บ้านอื่นได้จริง ๆ หรือ ข้าคิดว่านางก็แค่พูดไปอย่างนั้น” อาสะใภ้สามคิดว่าถ้านางเป็นนางหวัง ก็คงต้องจัดการรวบตัวเด็กคนนั้นไว้ไม่ต่างอะไรกับไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำ
“หัวหน้าตระกูลก็บอกว่าเอ้อร์หลางเป็นเด็กที่มีอนาคตยาวไกล และคู่ครองของเขาต้องไม่ใช่เด็กสาวจากครอบครัวธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น เหยียนซีจะได้เป็นรองใช่หรือไม่ ข้าเคยได้ยินว่าคนใหญ่คนโตก็แต่งงานมีอนุกันทั้งนั้น”
“ข้าก็ไม่รู้” นางจ้าวได้ยินน้องสะใภ้พูดถึงอนุขึ้นมา ก็นึกไปถึงรูปลักษณ์หน้าตาของเหยียนซี และคิดว่าเด็กคนนั้นหน้าตาดีทีเดียว ต่อไปในอนาคตเมื่อโตขึ้นก็จะยิ่งงาม บางทีหลิวเหิงอาจจะถูกใจและรับนางเป็นอนุก็เป็นได้
“น่าสงสารอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นรองก็คงไม่พ้นจะต้องลำบากในอนาคต” อาสะใภ้สามพูดอย่างเสียดาย
“เรื่องที่ไม่รู้ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่อย่างนี้ เจ้าอย่าเอามาพูดมากนักเลย” นางจ้าวแย้ง
เมื่อทั้งสองเดินคุยกันออกไป เหยียนซีและหลิวเหิงก็มีอาการอึดอัดเล็กน้อยระหว่างการตากผ้านวม
หลิวเหิงอธิบายธรรมเนียมของหมู่บ้านหยางซานให้เธอฟัง ตอนนี้เหยียนซีเข้าใจเกี่ยวกับการแลกอาหารกันในช่วงวันตรุษแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเรื่องเหล่านี้
ประเพณีเช่นนี้อาจจะมีขึ้นเพราะครอบครัวใหญ่อาจจะไม่ค่อยมีฐานะ การให้ญาติ ๆ แลกอาหารวันตรุษประการแรกก็เพื่อให้ทุกคนได้ติดต่อพูดคุยกัน และประการที่สองก็คือเป็นการช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจน ประการสุดท้ายก็คือเพื่อแลกเปลี่ยนของจำเป็นและอาหารที่หลากหลาย
…
นางหวังกลับมาบ้านพร้อมแป้งสำหรับนึ่งขนม ทั้งสามจึงเริ่มช่วยกันนึ่งแป้ง
ช่วงก่อนสิ้นปีเป็นช่วงของการเตรียมอาหารและกินข้าวร่วมกัน เมื่อวันส่งท้ายปีเก่าสิ้นสุดลง หลังทุกคนทานข้าวด้วยกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็คุยกันเกี่ยวกับการสอบเซียงซื่อในปีหน้า
ตั้งแต่หลิวเหิงกลับมาที่บ้านเขาก็อ่านตำราทุกวัน และอาจารย์ที่สำนักศึกษาของเขาได้มอบโจทย์พิเศษให้กลับมาหาคำตอบอีกด้วย เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมสำหรับการสอบในปีหน้า
“พี่เอ้อร์หลาง การสอบเซียงซื่อนี่ไปสอบที่เมืองถงอันหรือไม่”
“ไม่ใช่ การสอบเซียงซื่อต้องไปที่หย่งโจว เมืองถงอันอยู่ในเขตของหย่งโจว เช่นเดียวกับเมืองเจียวโจวและชู่โจว ทุกคนที่จะสอบต้องไปที่หย่งโจว”
“แบบนี้ต้องมีคนไปรวมกันเยอะมากแน่” เมื่อได้ยินว่าจะมีซิ่วไฉจำนวนมากไปรวมตัวกันที่หย่งโจวนางหวังก็อดตื่นเต้นไม่ได้
“คำถามของการสอบเซียงซื่อกับการสอบเยวี่ยนซื่อต้องต่างกันแน่ ๆ จะยากกว่าเยอะหรือไม่” เหยียนซีรู้อยู่แล้วว่าหลิวเหิงตั้งใจสอบอย่างเต็มที่ แต่ด้วยจำนวนผู้เข้าสอบที่ไม่น้อยเลยก็รู้สึกได้ว่านี่น่าจะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือด ต่างจากการสอบเยวี่ยนซื่อที่มีคนเข้าสอบมากน้อยแล้วแต่โอกาส
หลิวเหิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เพียงแค่ทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว อาจารย์เผยเป็นคนบอกให้ข้าเข้าสอบในปีหน้า เขาคาดว่าข้าจะผ่านมันไปได้”
ความจริงแล้วอาจารย์เผยยังพูดมากกว่านั้น เขากล่าวว่าได้คุยกับเจิ้งเยี่ยนจางจากสำนักศึกษาประจำเมืองเกี่ยวกับการเรียนของหลิวเหิงผ่านทางจดหมาย ซึ่งอาจารย์เจิ้งมองคาดหวังว่าหลิวเหิงจะทำได้ดี และน่าจะสอบเซียงซื่อผ่านในปีหน้า
อีกทั้งปีหน้ายังเป็นโอกาสที่ดีอีกด้วย อย่างเรื่องที่หยางซูถาจะยังเป็นหัวหน้าเสวียนเจิ้งที่หย่งโจวอยู่ และเขาจะเป็นกรรมการในครั้งนี้ด้วย หลิวเหิงผ่านการสอบเหยี่ยนซื่อมาจากมือของเขา แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการเขียนของหลิวเหิงนั้นสอดคล้องกับรสนิยมของอาจารย์หยาง ดังนั้นระหว่างที่อาจารย์หยางยังประจำอยู่ที่หย่งโจวอาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสอบ และหากพลาดปีหน้าไปแล้วจะต้องรออีกสามปีซึ่งอาจจะทำให้โอกาสต่าง ๆ หลุดลอยไป
หลิวเหิงขอคำแนะนำจากอาจารย์หลายท่านในสำนักศึกษา และพูดคุยกับเพื่อนร่วมศึกษาอย่างเฉินโหย่วฝูก็รู้สึกว่าตัวเองมีความหวังที่จะสอบเซียงซื่อผ่านได้
หลิวเหิงมักเอ่ยอย่างถ่อมตน แต่ก็ยังไม่วายจะมีความมั่นใจซ่อนอยู่ในคำพูดเหล่านั้น
เหยียนซียกถ้วยชาขึ้นอย่างมีความสุขแทนสุรา เพื่อดื่มอวยพรให้เขา “วันนี้เป็นวันตรุษ บรรยากาศใหม่ ๆ ปีหน้าเรามาเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมคอกลมกันเถิดเจ้าค่ะ”
เสื้อคลุมคอกลมสีเขียวที่เธอกล่าวถึงเป็นชุดของบัณฑิตจู่เหริน
หลิวเหิงที่ได้ยินเช่นนั้นดื่มชาด้วยรอยยิ้ม “ข้าคงต้องเชื่อซีเอ๋อร์เสียแล้ว เพราะคำพูดของเจ้ามักเกิดขึ้นจริงเสมอ”
“หลังวันตรุษ เจ้าจะอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี และซีเอ๋อร์ก็จะอายุสิบปี” นางหวังนั่งนับเวลาอยู่ด้านข้าง “หลังจากที่อายุสิบปี เจ้าก็จะเริ่มมองหาคู่ได้แล้ว ซีเอ๋อร์ เจ้าชอบคนแบบไหนหรือมองใครเป็นพิเศษหรือไม่”
ดูตัวตอนอายุสิบปีอย่างนั้นหรือ หัวข้อสนทนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เหยียนซีตามไม่ทัน “ท่านป้าเจ้าคะ ท่านกับท่านลุงเจอกันตอนอายุสิบสองหรือสิบสามไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
การถามกลับอย่างไม่เขินอายของเด็กสาวทำให้นางหวังระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ซีเอ๋อร์ เจ้ามีแผนจะดูตัวตอนอายุสิบสองหรือไม่”
“ข้ายังเป็นเด็กอยู่เลยเจ้าค่ะ ตั้งใจหาเงินไปก่อนดีกว่า” เหยียนซีกลัวว่านางหวังจะเริ่มพูดอะไรขึ้นมาอีก เธอจึงรีบหันหน้าหนี “แต่เมื่อพี่เอ้อร์หลางผ่านการสอบในปีหน้า ท่านอาจจะต้องช่วยให้เขาดูตัวก่อนนะเจ้าคะ”
เป้าหมายของหัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนเป็นหลิวเหิง แต่เขากลับส่ายหน้าไปมาและเอ่ยว่าตนยังไม่รีบร้อน นั่นทำให้นางหวังหัวเราะออกมาอีกครั้ง
หลิวเหิงชำเลืองมองเหยียนซี ลอบดูว่านางจะคิดหรือยังว่าอยากจะเลือกผู้ชายแบบไหน เพราะทุกครั้งที่เห็นนาง เด็กน้อยคนนี้ก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องการทำมาหากิน ไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนมาก่อน
ถึงขนาดที่ว่าเฉินโหย่วฝูยกย่องเหยียนซีว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม และตอนนี้ยังมีเงินหลายร้อยตำลึงอยู่ในกระเป๋า คนที่นางจะแต่งงานด้วยย่อมต้องผ่านการเลือกอย่างพิถีพิถัน แต่เหยียนซีจะอยากแต่งงานกับคนแบบไหนกันนะ?
หลิวเหิงอดไม่ได้ที่คิดถึงคำพูดเหล่านั้นของเฉินโหย่วฝู
MANGA DISCUSSION