บทที่ 98 ครอบครัวพร้อมหน้า
หลิวเหิงกลับมาถึงบ้านในวันที่สิบแปด ของเดือนสิบเอ็ด
นางหวังมองลำห้วยหมิงที่หน้าบ้าน ท่ามกลางอากาศเย็นจัดจนแทบจะจับแข็งเพราะหิมะตกหนักตลอดหลายวันที่ผ่านมา นางเอาแต่คิดว่าอยากให้หลิวเหิงกลับมาถึงเร็ว ๆ ด้วยกลัวว่าถ้าเขาเดินทางจากเมืองถงอันมายังตำบลชิงหลงทางเรือ และน้ำจะจับตัวเป็นน้ำแข็งไปหมดเสียก่อน
ในที่สุด ระหว่างที่หิมะกำลังตกในวันฟ้าโปร่ง ขณะที่นางหวังกำลังซักผ้าอยู่ที่ลานบ้าน และเอ่ยกับเหยียนซีด้วยความกังวลใจ “เหตุใดเขายังมาไม่ถึงอีกนะ” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนมาที่ประตูบ้านพอดี “ท่านแม่ ซีเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”
นางหวังดีใจมาก รีบวางไม้ซักผ้าในมือแล้วลุกไปที่ประตูหน้าบ้าน
หลิวเหิงเดินเข้ามาที่ลานด้านหน้าระหว่างที่นางหวังออกไปหาเขา
“ท่านป้า ให้พี่เอ้อร์หลางวางข้าวของก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“จริงด้วย ข้ามัวแต่ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเสียนี่ เจ้าวางของแล้วดื่มน้ำอุ่น ๆ เสียก่อนเถิด” นางหวังเอาข้าวของจากลูกชายมาถือแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะแปดเซียนในห้องโถง จากนั้นก็รินน้ำอุ่นใส่ถ้วยให้เขา และหันไปเร่งไฟในเตาถ่านด้วยการเป่าเพื่อเพิ่มความอบอุ่น “เพราะอากาศหนาวมากจึงทำให้มาถึงช้าลงอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งจนเรือไม่สามารถแล่นผ่านไปได้ ข้าต้องขึ้นฝั่งกลางทางและเปลี่ยนเป็นรถม้าแทน” หลิวเหิงตอบพลางผิงไฟเพิ่มความอบอุ่น
การนั่งรถม้าท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แม้ว่ารถม้าจะพอมีหลังคาคลุม แต่ลมหนาวก็ปะทะเข้ามามากอยู่ดี ทำเอาทั้งมือทั้งเท้าของเขาแทบจับแข็ง
“ข้าไปที่อำเภอ แวะไปที่บ้านท่านอาจารย์เสียก่อน แล้วจึงรีบกลับมา”
“ดูเจ้าสิ ผอมลงอีกแล้ว” นางหวังบ่นพึมพำอย่างไม่สบายใจ แม้ว่าลูกชายจะโตขึ้นแล้ว แต่นางก็ยังกังวลว่าเขาจะกินดีอยู่ดีหรือไม่ นางมักเอามือจับที่ใบหน้าของหลิวเหิงว่ามีน้ำมีนวลขึ้นบ้างหรือไม่อยู่เสมอ
ทว่าตั้งแต่หลิวเหิงไปศึกษาเล่าเรียนในเมือง เขาได้กลับมาบ้านเพียงสองสามครั้งเท่านั้น เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และจะได้มีเวลาอ่านตำราเพิ่มเติม
นางหวังไม่เคยแยกจากลูกชายเป็นเวลานานเพียงนี้ จนนางรู้สึกว่า ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไรก็คงไม่เพียงพอสำหรับการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับหลิวเหิงให้หายคิดถึง
หลิวเหิงผิงไฟไปสักพัก ร่างกายของเขาก็เริ่มอุ่นขึ้น จึงหันไปเปิดสัมภาระที่ตนเองเอามาด้วย ปรากฏว่าด้านในเป็นของฝากที่ตั้งใจนำมามอบให้นางหวังและเหยียนซี
เขาเอากล่องใบหนึ่งมายื่นให้มารดา “ท่านแม่ นี่ปิ่นปักผมอันใหม่ ข้าซื้อให้ท่าน”
นางหวังเปิดกล่องออกดูพบว่าภายในเป็นปิ่นเงินสลักรูปนกกางเขนเกาะบนกิ่งไม้ นางกำลังจะคลี่ยิ้มออกมา ทว่าก็ยังเอ่ยอย่างเกรงใจ “แม่ไม่ต้องการของพวกนี้หรอก นี่เจ้าลำบากซื้อมันมาให้แม่ ต้องอดออมเงินจนเกินไปหรือไม่”
“ที่สำนักศึกษามีอาหารและที่พักให้ ข้าไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเลยแม้แต่น้อยขอรับ จำได้ว่าตอนเล็ก ๆ ท่านเคยมีปิ่นปักผมลายนกกางเขน แต่ต่อมาไม่รู้ว่าหายไปไหน ปิ่นอันนี้คล้ายกับอันที่ข้าเคยเห็นมาก”
จากนั้นเขาก็เอากล่องทรงกลมเล็ก ๆ อีกกล่องขึ้นมาส่งให้เหยียนซี “ซีเอ๋อร์ นี่สำหรับเจ้า”
เหยียนซีเปิดออกดู พบว่าเป็นกระจกส่องหน้าทรงกลม มีขนาดประมาณฝ่ามือ แต่เป็นกระจกใสที่ส่องเห็นภาพอย่างชัดเจนมากกว่ากระจกมัว ๆ สีเงินในห้องของนางหวังที่ภาพบิดเบี้ยวเป็นไหน ๆ
นางหยิบมันขึ้นมาส่องหน้าซ้ายขวา นอกจากใบหน้าอวบอิ่มดูเจ้าเนื้อในตอนนี้แล้ว ยังพบว่าหญิงสาวคนนี้ยังมีผิวขาวอมชมพูบอบบางเหลือเกิน
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่สวยงามของร่างนี้อย่างชัดเจนและยังได้รับของขวัญอีก นางก็มีความสุขมากไม่ต่างจากท่านป้าหวัง “ขอบคุณพี่เอ้อร์หลางมากเจ้าค่ะ”
กระจกบานเล็กที่หลิวเหิงมอบให้ดูไม่ได้เป็นของมีราคาอะไรนัก แต่ด้านหลังมีลวดลายดอกรักและผีเสื้อน่ารัก เมื่อขยับไปมาจะเห็นภาพคล้ายผีเสื้อกระพือปีกขึ้นลงอย่างน่ามองและสวยงาม เห็นได้ชัดว่าคนที่ซื้อมาเป็นคนช่างเลือกเพียงใด
ตอนนี้เขาเป็นหนุ่มวัยแรกรุ่น ระหว่างที่ไปเลือกเครื่องประดับและกระจกที่ร้านค้า คงไม่พ้นจะถูกล้อเป็นแน่
นางได้ยินจากหวังชีว่าหลิวเหิงใช้เงินอย่างประหยัดระหว่างเรียนหนังสือ ไม่ค่อยใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมนอกจากที่สำนักศึกษาจัดให้ เว้นแต่เพื่อซื้อกระดาษและหมึกพู่กันเท่านั้น
และยังพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเงินเพิ่ม รับจ้างเขียนจดหมาย คัดลอกตำรา และงานอื่น ๆ ที่พอจะทำได้
ดังนั้นนางจึงเก็บกระจกบานนี้ไว้ในห้องของตนเองอย่างดี “พี่เอ้อร์หลาง ข้าจะทำไข่หวานน้ำขิงอุ่น ๆ ให้ท่านเองเจ้าค่ะ” นางลุกขึ้น ก้าวเท้ากึ่งกระโดดไปที่เตา หลังเดินไปได้สองก้าวก็นึกขึ้นมาได้ว่าจังหวะการเดินเช่นนี้ช่างไร้เดียงสาจนทำเอาต้องชะงักไปชั่วขณะ นี่มันดูสดใสเกินไปแล้ว
ส่วนหลิวเหิงที่เห็นน้องสาวกระโดดขึ้นลงอย่างร่าเริงก็หัวเราะชอบใจ
ช่วงมื้อค่ำ เหยียนซีนึกถึงเป็ดที่ถูกเชือดไว้แล้ว จึงเอาเป็ดหนึ่งตัวมาทำเป็ดอบขิง
ลูกเป็ดที่เคยซื้อมาก่อนหน้านี้โตเป็นเป็ดรุ่นแล้ว และมีเป็ดตัวผู้อยู่ถึงสามตัว ถือว่ามีตัวผู้มากเกินไป ซึ่งไม่สามารถเอาไปทำอะไรต่อได้ เดิมทีนางหวังต้องการเอามันไปขายที่ตลาดนัด แต่เหยียนซีมองว่าอย่างไรเสียที่บ้านก็ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อหาเนื้อสัตว์มาทำอาหารกินกันอยู่แล้ว เป็ดตัวผู้สองตัวขายไม่ได้เงินมากเท่าไรนัก จึงเก็บมันไว้กินเป็นอาหารเอง
นางหวังจัดการเชือดเป็ดสองตัวและใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นของหมู่บ้านหยางซานในการเก็บมันเอาไว้ มีคำกล่าวที่มักได้ยินเสมอว่า ‘ปากเป็ดห้ามไหว้เจ้า’ ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถใช้เป็ดเป็นเครื่องเซ่นบูชาได้ เป็ดสองตัวจึงถูกแขวนไว้นอกบ้านไม่ต่างอะไรจากการแช่แข็ง ให้คนในบ้านวางแผนจะใช้ทำมันเป็นอาหารหลังจากนั้น
เมื่อหลิวเหิงกลับมาบ้าน พวกนางยังไม่ทันได้เตรียมซื้อของมาทำอาหาร จึงได้เอาเป็ดมากินไปก่อน
เป็ดอบขิงมีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ลวกเป็ดเอาไว้ก่อน จากนั้นเอาขิงฝานไปผัดจนเหลืองหอม ใส่เนื้อเป็ดลงไปผัดด้วย เติมเครื่องเทศ อย่างโป๊ยกั๊ก อบเชย เติมเหล้าทำอาหาร และน้ำเล็กน้อย จากนั้นอบด้วยไฟอ่อน
เหยียนซีรู้สึกว่าอาหารจานนี้เหมาะอย่างมากในการกินช่วงหน้าหนาวเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
ระหว่างที่หม้อใบใหญ่ด้านนอกกำลังปรุงเนื้อเป็ดอยู่นั้น ข้าวสวยก็ถูกหุงอยู่ที่หม้อด้านใน จากนั้นนางก็เริ่มเอาหัวไชเท้าฝอยมาทำเป็นไชเท้าฝอยผัดไข่
หลิวเหิงที่กินแต่อาหารของสำนักศึกษาเป็นเวลานานสองสามเดือนติดกัน ระหว่างที่เห็นว่าเหยียนซีทำอาหารก็พอจะคาดเดาได้ว่าต้องเป็นมื้อที่ดีมาก เขามีความสุขล้นระหว่างที่รับชามข้าวมาถือแล้วเริ่มกิน อาหารที่สำนักศึกษาไม่มีทางอร่อยเท่าอาหารที่บ้าน และหลังจากเปรียบเทียบในใจแล้วก็ยังรู้สึกว่าร้านอาหารใหญ่ ๆ ในตัวเมืองก็ยังเทียบรสมือของเหยียนซีไม่ติด
เหยียนซีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของจ้าวเจี่ยวที่ฟุ้งออกมาจากตัวหลิวเหิง ทุกอย่างล้วนน่ายินดีเมื่อชายหนุ่มกลับมาที่บ้าน แม้จะดูเหมือนว่าเขาแทบไม่ได้ช่วยเหลืออะไรที่บ้านนัก แต่เมื่อทั้งสามนั่งรวมกันอย่างพร้อมหน้าที่โต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องครัว ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็พบว่าหลังจากไม่ได้เจอกันมาสองสามเดือน หลิวเหิงก็ตัวสูงขึ้นมาก ลูกกระเดือกเริ่มเห็นชัด ใบหน้าดูเรียวคมเล็กน้อย ความเป็นเด็กชายเริ่มจางหายไป แทนที่ด้วยชายหนุ่มซึ่งยังคงไว้ด้วยความหล่อเหลาดูดี เพียงแต่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตอนเด็ก
ช่วงที่เหยียนซีกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหาร นางหวังกับหลิวเหิงก็พูดคุยกันระหว่างซักผ้า ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามคำถามมากมายจนเหนื่อย ดังนั้นระหว่างมื้ออาหารนางหวังจึงกินอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรมากนักนอกจากคีบกับข้าวให้ลูกชายเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ต่างจากเหยียนซีที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับชีวิตในสำนักศึกษาของหลิวเหิงเป็นอย่างมาก และถามไถ่กับเขาระหว่างกินข้าวไปด้วย “พี่เอ้อร์หลาง ตำราที่ท่านเรียนยากหรือไม่”
“จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ยากกว่าเล่มก่อน ๆ มากนัก เพียงแค่ท่านอาจารย์อธิบายเยอะขึ้น และยังมีเรื่องเกี่ยวกับการบ้านการเมืองปัจจุบันด้วย”
ในการสอบจู่เหริน ไม่ได้เพียงแค่ใช้ความรู้ในตำราเท่านั้น แต่ยังต้องรอบรู้เรื่องการบ้านการเมืองที่เกิดขึ้นด้วย
“ต้องขอบคุณหนังสือตี่เป้าที่เจ้าไปขอจากผู้จัดการเฉียนด้วย หนังสือนั่นทำให้ข้ามีความรู้มากมาย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเข้าใจเรื่องที่ท่านอาจารย์อธิบายยกตัวอย่างได้เท่านี้” ระหว่างที่เขาเล่าเรื่องการเรียน หลิวเหิงก็รู้สึกว่าเหยียนซีเป็นคนหลักแหลมมาก ใช่ว่าจะหาหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปที่รู้จักหนังสือตี่เป้าได้ง่าย ๆ นางไม่เพียงแค่รู้จักเท่านั้น แต่ยังช่วยหามันมาได้อีกด้วย
ในสำนักศึกษา เด็กที่มาจากครอบครัวยากจนอย่างเขาไม่ง่ายที่จะได้อ่านหนังสือตี่เป้า
เฉินโหย่วฝูที่เห็นว่าเขาอ่านหนังสือพวกนี้ยังชมเชยว่าช่างเป็นคนที่มองกาลไกลเหลือเกิน
“พูดถึงหนังสือตี่เป้า ข้ายังไม่ได้อ่านเลย พี่เอ้อร์หลาง ที่หย่งโจวนี้มีท่านอ๋องอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ” เหยียนซีไม่ได้มีเวลาอ่านหนังสือตี่เป้านัก และนางก็ไม่คุ้นเคยกับอักษรโบราณที่ยุคนี้ใช้กัน และเรื่องราวการบ้านการเมืองก็สามารถถามจากหลิวเหิงได้
MANGA DISCUSSION