บทที่ 97 แรงบันดาลใจจากการเล่นซ่อนหา
เหยียนซีเห็นว่าคนเหล่านั้นเริ่มพากันกระจายตัวค้นหา เธอไม่ได้ติดตามดูอย่างใกล้ชิด แต่ย้อนกลับไปมองเห็นว่ามีสองคนกำลังเฝ้าอยู่ที่ลานหน้าบ้าน อาจสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนหากมีคนลอบวิ่งออกไป
เธอกลัวจนต้องถอยกลับเข้าไปข้างในบ้าน และพบว่าประตูที่ลานด้านหน้าปิดลง หญิงสาวรีบไปที่ประตูบานนั้น “ข้า…ข้าไม่อยากให้ปิดประตู!”
คนจากจวนทั้งสองมองมาที่เหยียนซีด้วยสายตาว่างเปล่า รังเกียจเกินกว่าจะพูดคุยกับหญิงสาวชาวบ้านที่กำลังหวาดกลัว เพียงจ้องมองการเคลื่อนไหวรอบ ๆ อย่างสงบนิ่ง
หลังจากค้นจนทั่วครัวและสวนหลังบ้านแล้ว คนเหล่านั้นก็ค้นด้านในบ้านต่อ พวกเขามองไปทางห้องฝั่งตะวันออกที่หลิวเหิงอาศัยอยู่ และกำลังจะเข้าไปค้นห้องของนางหวังที่อยู่ด้านหลัง นางหวังก็กรีดร้องออกมาจากในห้อง
“ท่านป้า” เหยียนซีร้องลั่น รีบเข้าไปในบ้านแล้วยืนขวางประตูเอาไว้ “ท่าน…ท่านรอให้ท่านป้าของข้าออกมาก่อนจะเข้าไปค้นได้ไหมเจ้าคะ”
“งั้นก็เร็วเข้าสิ”
เหยียนซีเข้าไปช่วยนางหวังหารองเท้าแล้วสวมให้นาง และยังหาผ้าพันคอมาพันให้อีก
นางหวังใบหน้าซีดเซียวและมีอาการสั่นกลัว กุมมือบางของเหยียนซีเอาไว้แน่น
“แม่เอ้อร์หลาง เจ้า…” หัวหน้าตระกูลหลิวเห็นว่านางหวังกำลังจะเป็นลม จึงเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง “ทหารรักษาการณ์พาพวกเขามาที่นี่ คนเหล่านี้มาจากจวนอ๋อง ไม่ต้องห่วง พวกเขามาเพื่อตามหาคนที่หนีออกมาเท่านั้น”
ปรากฏว่าคนจากจวนอ๋องเหล่านี้ใช้คำสั่งจากหลวงมาขอให้ทหารรักษาการณ์ประจำเมืองมานำการค้นหา ด้วยเหตุผลว่าต้องการจับกุมคนที่หลบหนีออกมาจากจวน
หัวหน้าตระกูลหลิวพูดปลอบประโลมอยู่อีกสองสามคำ ก่อนหน้านี้เขาไปช่วยอำนวยการค้นหา และคอยสังเกตการณ์การค้นหาตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน และพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ยุ่งกับสิ่งของหรือเงินในบ้านก็เบาใจได้ว่าสถานการณ์จะดีกว่าการค้นโดยพวกเจ้าหน้าที่อื่น ๆ มาก
ดังนั้นเขาจึงกล้าพูดปลอบประโลมให้นางหวังไม่ตื่นตระหนกเกินไปนัก
คนกลุ่มนี้ทำงานอย่างว่องไว และบ้านตระกูลหลิวไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก พวกเขาจึงค้นจนทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบเสร็จสิ้นในพริบตา
เหยียนซีเห็นว่าพวกเขาพบเงินที่ซ่อนเอาไว้ในห้อง จึงได้เอาเงินพวกนั้นออกมาตรวจสอบ โชคดีที่นางซ่อนเงินที่ได้รับจากชายร่างใหญ่ไว้ที่ตัว แม้ว่าจะมีน้ำหนักมากไปหน่อยแต่ก็ทำให้ไม่ถูกพบ
หลังจากค้นจนทั่วแล้ว พวกเขาก็เดินออกมาจากห้อง มองไปรอบ ๆ เห็นว่าประตูเหล็กที่เชื่อมไปสู่บ้านหลังใหม่เปิดเอาไว้ “ประตูนั่นเชื่อมไปที่ไหน”
“นั่นคือบ้านใหม่ที่ครอบครัวของเราสร้างขึ้น ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ข้าทำงานอยู่ที่ห้องข้าง ๆ นี่เองเจ้าค่ะ” เหยียนซีรีบก้าวเข้าไปเอ่ยตอบ
ผู้นำกลุ่มโบกมือให้ลูกน้องคนอื่น ๆ เดินผ่านประตูบานนั้นไปยังบ้านหลังใหม่ด้านข้าง ที่นั่นใหญ่กว่าบ้านหลังแรก คนกลุ่มหนึ่งค้นหาที่คอกวัวก็ยังไม่พบอะไร จึงเดินผ่านประตูกลับมาที่ลานบ้านและถามกับหัวหน้าตระกูลหลิว “หมู่บ้านของเจ้ามีกี่ครอบครัว”
“ใต้เท้า หมู่บ้านของเรามีประมาณสิบหกครัวเรือน ท่านตรวจดูจนครบทุกหลังในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้แล้วขอรับ”
ในตอนนั้นเอง สองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็รายงานขึ้นมา “นายท่าน มีร่องรอยบนถนนตรงนี้”
หมู่บ้านทั้งหมดถูกตรวจค้นทุกซอกทุกมุม ครบทั่วทั้งถนนทุกสาย มีเพียงเส้นทางที่นำไปสู่ถนนหลักนี่เท่านั้นที่มีร่องรอยคนเดิน ในขณะที่ทางอื่น ๆ สะอาดราวกับกระดาษขาว
ผู้นำของกองกำลังนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเรียกทหารรักษาการณ์เมืองมา บอกให้พวกเขานำทางไปยังหมู่บ้านอื่นที่อยู่ตามทาง มุ่งไปถนนหลักเพื่อค้นหาต่อ
หัวหน้าตระกูลหลิวเอ่ยปลอบนางหวังอีกครั้ง โดยบอกนางว่าไม่ต้องกลัว ก่อนจะตามคนเหล่านั้นออกจากบ้านไป
นางหวังพาเหยียนซีออกไปด้วยกัน หลังจากส่งหัวหน้าตระกูลหลิวถึงหน้าประตูแล้ว หญิงสาวก็ปิดประตูทันทีที่ทุกคนกลับไปกันหมด นางหวังรู้สึกว่าตัวเองแข้งขาอ่อนแรงไปหมด จึงเท้าตัวกับโต๊ะหินหน้าบ้านแล้วเอ่ยปากถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ซีเอ๋อร์…พวกเขา…ไปไหนแล้ว”
เหยียนซียืนพิงประตูหน้าบ้านและเงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินว่าคนเหล่านั้นจากไปหมดแล้ว เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ท่านป้า พวกเขาจากไปแล้วเจ้าค่ะ”
ประตูห้องเตาถูกแง้มเปิด เด็กหนุ่มและชายร่างใหญ่นั่งอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ในห้องครัว ชายร่างใหญ่เอ่ยอย่างพอใจด้วยเสียงแผ่วเบา “พวกนั้นไปแล้ว”
“หา!” นางหวังสะดุ้งตัวโยนจนเกือบจะกระโดดขึ้น
เหยียนซีรีบเข้าไปพยุงนางทันที “ท่านป้า ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พวกนั้นไปหมดแล้ว”
“พวกเขา มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
เหยียนซีพยุงคนเป็นป้าให้นั่งลงที่ห้องอย่างรวดเร็ว ขยับอ่านถ่านให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น และอธิบายเสียงเบา
แผนการของเธอค่อนข้างเสี่ยง ก่อนหน้านี้จึงไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน
ทีแรกเด็กหนุ่มและชายร่างใหญ่หลบกันอยู่ที่ข้างกำแพงเชื่อมระหว่างบ้านใหม่และบ้านเก่า ระหว่างที่คนเหล่านั้นพากันค้นห้องครัวและสวนหลังบ้าน และเข้าไปในห้องต่าง ๆ เพื่อค้นหา เหยียนซีก็เข้าไปในห้องเพื่อช่วยนางหวังออกมาจากห้อง เธอใช้เวลานั้นทำเสียงดังตกใจเพื่อดึงความสนใจ และถ่วงเวลาให้ชายร่างใหญ่และเด็กหนุ่มกระโดดข้ามกำแพงไปซ่อนที่สวนด้านหลัง
เมื่อคนเหล่านั้นไปที่ประตูเชื่อมบ้านทั้งสอง เข้าไปตรวจสอบบ้านหลังใหม่ ทั้งสองก็เดินจากสวนหลังบ้านไปทางฝั่งตะวันออกแล้วซ่อนตัวในห้องครัวเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนหนาวอยู่ภายนอก
เนื่องจากประตูลานบ้านเก่าถูกเหยียนซียืนบังอยู่เล็กน้อย แต่ไม่ได้ขยับตัวทำอะไร สองคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกจึงวางใจที่จะมองออกไปทางด้านนอกเท่านั้น
เมื่อตรวจสอบบ้านใหม่แล้วไม่พบอะไรคนเหล่านั้นจึงจากไป และหาที่อื่นต่อ
นางหวังรู้สึกทั้งโล่งใจและหวาดกลัว เพราะนี่เป็นแผนการที่เสี่ยงเกินไปมากจริง ๆ
“เหยียนซี แผนการและการแสดงออกของเจ้าช่างแยบยล ไม่ต่างอะไรจากการวางกลยุทธ์ในช่วงศึกสงคราม” ชายร่างใหญ่ตบขาของตนเองด้วยความชื่นชม แม้จะสะดุ้งเมื่อถูกบาดแผลเข้าแต่ก็กลับมายกยิ้มอีกครั้ง
“ท่านลุง ข้าคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้จากการเล่นซ่อนหากับคนอื่น ๆ ตอนเป็นเด็ก ข้าพบว่าคนเรามักจะไม่ค่อยหาในสถานที่เดิมซ้ำเป็นครั้งที่สอง” เหยียนซีอธิบายอย่างแผ่วเบา “และจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านด้วย เพราะท่านมีทักษะที่ยอดเยี่ยม สามารถกระโดดข้ามกำแพงได้อย่างเงียบเชียบจนพวกนั้นไม่รู้ตัว”
เป็นวิธีที่ฟังดูง่าย แต่น้อยคนนักที่จะสามารถคิดมันขึ้นมาได้อย่างว่องไวในเวลาเพียงชั่วครู่ เด็กหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เมื่อเหยียนซีนำอาหารไปยังบ้านใหม่ตามปกติ ก็พบว่าชายทั้งสองจากไปแล้ว แต่ทิ้งจี้หยกและแท่งเงินสิบตำลึงไว้ข้างอ่างถ่าน
หลังจากเห็นว่าพวกเขาจากไปในที่สุด หญิงสาวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะมอบจี้หยกและเงินเหล่านั้นให้นางหวัง
นางหวังมองดูแล้วรีบเอ่ย “ป้าจะนอนหลับลงได้ยังไงถ้ารับของพวกนี้เอาไว้” จากนั้นนางก็หันออกไปมองฟ้าข้างนอก “อากาศหนาวอย่างนี้ พวกเขาจะหนีรอดไปได้ไหม”
“ท่านป้าไม่ต้องกังวล พวกเขาต้องหนีรอดแน่นอน”
ก่อนหน้านี้ถนนสายหลักถูกปิดกั้น ชายทั้งสองสมควรจะซ่อนตัวมากกว่าหนีออกไป แต่ตอนนี้หมู่บ้านทั้งหมดถูกตรวจค้นเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว เส้นทางไม่ได้ถูกปิดกั้นอีกต่อไป คงจะปลอดภัยมากขึ้นสำหรับการหลบหนี
“พวกเขาเป็นใครก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เลือดและร่องรอยการต่อสู้นั่น…” นางหวังเอ่ยด้วยความหวาดกลัวอีกสองสามคำ นางและเหยียนซีควรจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขา ให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน
เหยียนซีมองไปที่แท่งเงินทั้งสองเป็นเวลานาน แต่ไม่พบว่ามันมีรอยประทับใด ๆ แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ เธอจึงทุบเหรียญทั้งหมดทิ้งไป
หลังจากเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้น วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลางเดือนสิบเอ็ดล่วงเข้ามา อากาศหนาวเย็นของฤดูหนาวก็พัดมาในพริบตา
หลิวเหิงให้คนส่งข่าวมาในตอนเช้า ว่าสำนักศึกษาของเขากำลังอยู่ในช่วงหยุดภาคเรียน และเขาจะกลับมาก่อนถึงช่วงวันไหว้บัวลอย
วันไหว้บัวลอย วันแรกของเก้าวันที่หนาวเย็นในฤดูหนาวไม่ใช่วันธรรมดาทั่วไป ผู้คนต่างรู้กันดีว่า วันไหว้บัวลอยเป็นวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ว่ากันว่าในบางพื้นที่ วันไหว้บัวลอยสำคัญยิ่งกว่าวันตรุษเสียอีก
หมู่บ้านหยางซานเองก็ถือให้วันไหว้บัวลอยเป็นวันสำคัญเช่นกัน
MANGA DISCUSSION