บทที่ 94 ข้าชอบทานเมี่ยนสือ*[1]
เด็กหนุ่มผู้นั้นได้ยินคำพูดของเหยียนซีก็กล่าวออกมาหนึ่งประโยคว่า หากไม่มีริมฝีปาก ฟันก็จะหนาว
คำพูดของเขาเฉียบคมและตรงเข้าประเด็นทันที เหยียนซีจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตนและมารดาบุตรครอบครัวหลิวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดดั่งริมฝีปากและฟันจริง ๆ
เด็กหญิงผลักถ้วยและตะเกียบออกไป เมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่กล่าวอันใดอีก เธอก็รีบหยิบกล่องใส่อาหารขึ้นมา หอบเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดนั้นออกไป
คำถามของเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างกระชับสั้นได้ใจความจริง ๆ หากมิใช่เพราะเขาจำต้องรักษาสีหน้าและคำพูดของตน วิธีการถามของเขา ย่อมไม่สามารถตามทันความคิดที่แล่นอยู่ในหัวของเขาได้
เสื้อผ้าเปื้อนเลือดเหล่านั้น เหยียนซีถือโอกาสขณะที่นางหวังไม่อยู่ในห้องครัว ยัดใส่เข้าไปในเตาไฟแล้วเผามัน
นางหวังเชื่อในภูติผีปีศาจและเทพเช่นเดียวกับผู้คนในยุคนี้ ดังนั้นนางจึงเชื่อมั่นในการมีอยู่ของเทพเจ้าเตาไฟ ในเมื่อมีเทพเจ้าเตาไฟ เช่นนั้นย่อมมิอาจเผาสิ่งสกปรกทุกสิ่งในเตาไฟได้ เพราะหากเกิดการขัดแย้งกันขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า?
ด้วยภาวะทางจิตใจเช่นนี้ ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงมักจะนำของเหล่านี้ไปทิ้ง บ่อยครั้งมักจะเอาไปฝังไว้ในป่าหรือโยนลงน้ำทิ้งไป
ทว่าวิธีการเหล่านี้จะสะดวกสบายไปมากกว่าการเผาได้อย่างไร? อากาศเย็นยะเยือกถึงเพียงนี้ เธอไม่อยากออกไปข้างนอกแม้เพียงก้าวเดียว
ขณะที่เผาเสื้อผ้าเปื้อนเลือด เด็กหญิงก็สัมผัสเนื้อผ้าของชายทั้งสองดู แม้กระทั่งเสื้อผ้าของท่านลุงผู้นั้นยังทำจากผ้าปักดิ้น เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นกลับไม่รู้ว่าทำจากเนื้อผ้าชนิดใด คาดว่าอย่างน้อยคงราคาหลายตำลึงเงินต่อฉื่อ น่าเสียดายนักที่ไม่อาจตัดเก็บไว้ได้
เนื้อผ้าอย่างดี ใช้เวลาเผาไม่นานก็มอดไหม้ไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเผาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดหมดแล้ว เธอก็โยนอบเชยสองสามแท่งเข้าไปในเตาไฟ เปิดหน้าต่างห้องครัวปล่อยให้ลมพัดอากาศให้ถ่ายเทครู่หนึ่ง ร่องรอยทั้งหมดล้วนไม่หลงเหลือแล้ว
เมื่อเธอล้มตัวลงนอนบนเตียง เหยียนซีรู้แค่เพียงตนเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามามากมายไม่รู้จบนี้ เมื่อไหร่จึงจะแล้วเสียที?
เพราะความคิดเช่นนี้วนเวียนอยู่ในหัว เดิมทีจึงคิดว่าคงนอนไม่หลับ นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ปิดเปลือกตาลงเธอก็จมลงสู่การหลับใหลในทันที เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ข้างนอกฟ้าก็สว่างแล้ว เธอลุกขึ้นผลักประตูหน้าต่างให้เปิดออก ด้านนอกเต็มไปด้วยผืนหิมะที่ปกคลุมเป็นชั้น ๆ บนหลังคา บนต้นไม้ แม้กระทั่งยอดเขาห่างไกลออกไปล้วนแต่กลายเป็นสีขาวโพลน
หิมะแรกของปีนี้ร่วงหล่นลงมาแล้ว อีกเพียงไม่กี่วันหลิวเหิงคงกลับมาหยุดพักผ่อนแล้ว ได้ยินนางหวังกล่าวว่า เมื่อถึงเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ ลำห้วยหมิงจะกลายเป็นน้ำแข็ง ถึงตอนนั้นแล้วเรือจะไม่สามารถแล่นออกลำน้ำได้ จากเมืองถงอันมาถึงอำเภอหมิงสุ่ย สามารถใช้ได้เพียงถนนสายหลักเท่านั้น
หิมะหยุดตกแล้ว ทว่าท้องฟ้ายังคงหม่นครึ้ม ไม่รู้ว่าวันนี้จะตกลงมาอีกครั้งหรือไม่ ลมเหนือส่งเสียงหวีดหวิว บางครั้งบางคราก็มีเสียงต้นไม้ลั่นบนภูเขาลอยมาตามลม
ไม่รู้ว่าสองคนที่อยู่บ้านข้าง ๆ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ เหยียนซีก็มิอาจโอ้เอ้อยู่นาน เธอรีบลุกขึ้นจัดการตัวเอง
นางหวังกวาดหิมะบนพื้นในลานหลังบ้านเรียบร้อยแล้ว กวาดรวมกันกลายเป็นหิมะกองหนึ่ง จากนั้นจึงถือไม้กวาดจะไปที่ลานหน้าบ้าน “ซีเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ?”
“ท่านป้า ท่านตื่นเช้ายิ่งนัก” หลังจากเหยียนซีล้างหน้าล้างตาบ้วนปากด้วยน้ำอุ่นจากเตาไฟแล้ว เธอจึงโกยขี้เถ้าออกมาจากเตาเพื่อที่จะต้มน้ำร้อน “ท่านป้า อาหารเช้าพวกเราทานข้าวหมากไข่ตุ๋น*[2]ดีหรือไม่?”
“ดี ๆ เพิ่มไข่สักใบ” นางหวังตอบ แน่นอนว่าไข่ที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งใบนั้นย่อมให้คนสองคนที่อยู่บ้านข้าง ๆ
ทางฝั่งตำบลชิงหลง แทบไม่มีผู้ใดทานข้าวหมาก บางทีอาจเป็นเพราะสิ้นเปลืองอาหารมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะไม่เคยคิดว่าสามารถทานเช่นนี้ได้ ในชาติก่อนของเธอ เหยียนซีชอบทานข้าวหมากไข่ตุ๋นหนึ่งถ้วยเป็นอาหารเช้ามากที่สุด ในฤดูหนาวเมื่อได้ทานลงไปสักถ้วย ทั้งร่างกายก็จะอบอุ่น อีกทั้งยังได้บำรุงร่างกาย
ดังนั้น เมื่อคราหนึ่งเธอเห็นคนขายส่าเหล้า เธอจึงคิด ข้าวหมากมิใช่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปของเหล้าหรือ เธอจึงซื้อกลับมาที่บ้านและลองทำกับข้าวเหนียวสองครั้ง เธอพบว่ามันได้ผลจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่ข้าวเหนียวที่สามารถทำเป็นข้าวหมาก ข้าวจ้าว และข้าวจิ้งหมี่ล้วนสามารถทำได้เช่นกัน
ในอากาศอบอุ่นก็ทำได้ อากาศเย็นก็ทำได้ สามารใช้เตาไฟทำได้ เมื่อในบ้านมีข้าวเหลือ เหยียนซีจะใช้ชามใบใหญ่ใส่ข้าวเหลือลงไป เติมน้ำเย็น เติมส่าเหล้าลงไปเล็กน้อย วางมันลงในหม้อบนเตา จากนั้นก่อไฟในเตา หม้อใหญ่สามารถใช้ต้มน้ำได้ อุณหภูมิจะถูกส่งผ่านไปยังหม้อข้างใน กลางคืนหากไฟดับแล้ว ไฟจากถ่านจะยังคงอุ่นไปอีกชั่วขณะหนึ่ง หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน ข้าวหมากก็พร้อมแล้ว
ข้าวหมากไข่ตุ๋นนี้ นางหวังคิดว่าคงอร่อยมากเช่นกัน
เหยียนซีเทข้าวหมากลงไปในหม้อ เติมน้ำลงไปต้ม จากนั้นจึงนำไข่สี่ใบออกมา ตีไข่ให้แยกจากกัน ทันทีที่น้ำเริ่มเดือดจึงค่อย ๆ เทลงไปในหม้อโดยเทวนเป็นวงกลม พลันมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของเหล้าโชยขึ้นมา เด็กหญิงคว้าเม็ดเก๋ากี้ขึ้นมาจำนวนหนึ่งโยนลงไป
เม็ดเก๋ากี้เป็นของที่ซื้อมาจากร้านสมุนไพร เดิมทีนางหวังไม่ยอมให้ซื้อ กล่าวว่าไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยจะซื้อยาอันใด ไม่อาจทานยาสุมสี่สุ่มห้าได้ ทว่าเหยียนซีเอ่ยว่ายาและอาหารมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน เช่นเดียวกับเก๊กฮวยป่าที่บ้าน เหมือนกับเห็ดเยื่อไผ่ ที่เป็นได้ทั้งยาและอาหาร เถ้าแก่ร้านสมุนไพรยังชื่นชมความรอบรู้ของเธอ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขัดขวางอีก
เมื่อโยนเม็ดเก๋ากี้หนึ่งกำมือลงในข้าวหมากแล้วก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น ข้าวหมากสีขาวนวล เม็ดเก๋ากี้สีแดง ช่วยเพิ่มความสวยงามของหน้าตาอาหารขึ้นหลายส่วน
หลังจากทำข้าวหมากไข่ตุ๋นเสร็จแล้ว เหยียนซีวางชงฮัวปิ่ง*[3]ลงไปในกล่องใส่อาหารแล้วถือไปที่บ้านข้าง ๆ
“มีเหล้าหรือ?” ชายร่างใหญ่ผู้นั้นได้กลิ่นหอม จึงกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ดูเหมือนเขาจะชื่นชอบการดื่มเหล้าเป็นอย่างมาก เขารีบเติมถ่านลงไปในอ่างถ่าน จากนั้นจึงวางแผ่นกระดานลงไปอีกรอบ
เด็กหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะตื่นได้สักพักแล้ว พยักหน้าให้เหยียนซีเป็นการทักทาย
บาดแผลสาหัสถึงเพียงนั้นนึกไม่ถึงว่าจะไม่เป็นไข้? เหยียนซีนับถือความแข็งแรงของร่างกายสองคนนี้ยิ่งนัก หรือบางทีพวกเขาอาจจะพกยาขนานวิเศษอะไรบางอย่างติดตัวมา อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่มีไข้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยตนจะได้กังวลน้อยลงหน่อย
“ท่านลุง นี่คือข้าวหมาก ทำมาจากเหล้าส่า ทว่ามีรสชาติหวาน” เด็กหญิงนำถ้วยออกมาสองถ้วยวางลงไปบนไม้กระดาน อธิบายภายในหนึ่งประโยค
ชายร่างใหญ่ผู้นั้นเห็นว่าไม่ใช่เหล้า อีกทั้งได้ยินว่ามีรสชาติหวาน จึงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“ข้าวหมากไข่ตุ๋น ทานตอนอากาศเย็นเช่นนี้อร่อยนัก” เหยียนซีนำชงฮัวปิ่งออกมาอีกครั้ง “ข้าจะมาเก็บถ้วยและตะเกียบภายหลัง”
เด็กหญิงบอกกล่าวหนึ่งประโยค แล้วเดินไปที่คอกวัวด้านหลังเพื่อเติมฟางให้กับวัวสีน้ำตาลเหลืองตัวใหญ่ จากนั้นจึงคว้าไม้กวาดมากวาดหิมะข้างบ้านใหม่เพื่อให้เดินได้สะดวก
เมื่อเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วกลับมา ทั้งสองคนก็ทานอาหารเช้าหมดแล้ว
“ข้าวหมากไข่ตุ๋นอร่อยมาก เป็นของที่ตกทอดมาจากตระกูลของเจ้าเช่นเดียวกันหรือ?” นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะเอ่ยคำถามที่ยืดยาวเช่นนี้ออกมา
“นี่มิใช่ นี่ได้มาจากการที่ข้าเห็นผู้อื่นทำเหล้าหวานน่ะ” เหยียนซีสงสัยขึ้นมาว่าในยุคนี้มีวิธีการทำข้าวหมากไข่ตุ๋นขึ้นมาแล้วหรือไม่ แต่เธอเห็นคนซื้อเหล้าหวานในโรงสุรา
อีกทั้งยังได้ยินนางหวังเล่าเรื่องตลกให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีเจ้าของที่ดินผู้หนึ่งหมักเหล้าอยู่ที่บ้าน ไม่อยากโยนกากเหล้าทิ้ง จึงใช้เลี้ยงหมู จากนั้นหมูคอกหนึ่งก็วิ่งอุตลุดออกมาจากคอกหมู เดินโซซัดโซเซไปมา
“ข้าอยู่ในตัวเมืองล้วนมิเคยได้ยิน ยังมีขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะนั่นอีก เจ้ามีความคิดในการทำอาหารออกมาสร้างสรรค์จริง ๆ ” ชายร่างใหญ่ยกนิ้วโป้งให้ “ของทานเล่นและอาหารของบ้านเจ้า ภัตตาคารใหญ่ทั่วไปยังเทียบมิได้”
“ท่านลุงชอบทานก็ดีแล้ว ข้าชอบทำอาหารทานเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกชนิด หากท่านชอบทาน ข้าจะไม่ทำกับข้าว แต่จะทำอาหารทานเล่นมาให้พวกท่านทานเป็นอาหารจานหลัก” เหยียนซีค่อนข้างอารมณ์ดีที่จะอวดฝีมือตนเอง
ชายร่างใหญ่ผู้นั้นพยักหน้าซ้ำ ๆ “พวกเราชอบทางเมี่ยนสือ เจ้าทำหมั่นโถวกับผักดองเค็มมาให้พวกเราทานได้ทั้งสิ้น”
เหยียนซีพยักหน้าตกลง จากนั้นจึงเก็บถ้วยไปล้าง
ตอนนี้ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าออกไปข้างนอก เช่นนั้นก็ทานอาหารรอคอยให้เวลาผ่านพ้นไป ถือเสียว่าหาความสุขในความทุกข์
นางหวังได้ยินว่าชายร่างใหญ่ข้างบ้านอยากกินหมั่นโถว จึงเริ่มนวดแป้งทันที เหยียนซีให้นางช่วยผสมแป้งหมี่ขาวและแป้งข้าวโพด ผสมอย่างนี้ก็จะได้แป้งที่มีสีเหลืองอ่อน ๆ ออกมา
จากนั้น เด็กหญิงจึงปั้นแป้งเป็นลูกกลม ๆ เล็ก ๆ แล้วม้วนเป็นแผ่นแบนกลม ๆ วางซ้อนกันหกแผ่น ต่อไปก็ม้วน ผ่าตรงกลาง วางคว่ำหน้าลง จัดแต่งหน้าตาเล็กน้อยด้วยดอกไม้หนึ่งดอก
[1] เมี่ยนสือ คืออาหารหลักของคนจีน เป็นอาหารที่ทำจากแป้งสาลีหรือแป้งหมี่ เช่น บะหมี่ หมั่นโถว เกี๊ยว ซาลาเปา ขนมแป้งทอด เป็นต้น
[2] ข้าวหมากไข่ตุ๋น ไข๋ตุ๋นที่ใส่ข้าวหมากและน้ำตาลทรายแดงลงไป
[3] ชงฮัวปิ่ง คือ แผ่นแป้งที่วางซ้อนทับกันสองแผ่น โดยใส่ต้นหอมซอยไว้ระหว่างแผ่นแป้ง นำไปทอดให้สุก
MANGA DISCUSSION