บทที่ 91 คำนิยามของคนกันเอง
เหยียนซีเพิ่งได้รู้สึกวิเศษจากการรอดชีวิต แต่ทันใดนั้นประตูลานบ้านหลังใหม่กลับเปิดออกพร้อมเสียงเอี๊ยดอ๊าด โดยมีนางหวังผลักประตูและดึงเจ้าวัวมายืนที่ประตูด้วย
ประตูลานบ้านใหม่จะอยู่ตรงกับประตูบ้านหลังกลาง เหยียนซียืนอยู่หน้าประตูบ้านและประตูข้างหลังยังคงเปิดอยู่ หากตอนนี้เธอขยับหลีกทางก็จะทำให้นางหวังสามารถเห็นเด็กหนุ่มและองครักษ์ในห้องได้ทันที ทว่าเสื้อผ้าของบุรุษทั้งสองขาดวิ่นและเต็มไปด้วยเลือด พวกเขาจึงดูน่ากลัวมากตั้งแต่แรกเห็น
หากนางหวังไม่สามารถระงับอารมณ์ได้แล้วส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมา เธอคิดว่าบุรุษทั้งสองที่อยู่ด้านหลังจะลงมือทันที
เด็กหนุ่มได้บอกใบ้ถึงตัวตนไปแล้วเมื่อครู่ เหยียนซีคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ในใจว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้จักนายอำเภอหง
เนื่องจากทั้งสองคนน่าจะมีความสัมพันธ์กับนายอำเภอหงได้มากสุด เสื้อผ้าบนร่างกายของเด็กหนุ่มก็ดูแพง หากสองคนนี้ไม่ใช่โจรผู้ร้าย ก็น่าจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มตระกูลผู้ร่ำรวยและมีอำนาจ
เท่าที่หัวใจของเหยียนซีได้ไตร่ตรอง สถานการณ์นี้ไม่ได้เกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกอาชญากร จึงไม่สำคัญว่าผู้ใดจะดีหรือร้าย ใครจะถูกหรือผิด เพราะขึ้นอยู่กับจุดยืนของตนว่าเลือกยืนข้างฝ่ายใดมากกว่า
หลังจากที่เธอพิจารณาแล้วว่าทั้งสองไม่ใช่คนชั่ว แต่เด็กหญิงก็ไม่ต้องการให้ตัวเองพลอยเปื้อนมลทินไปด้วย ดั่งคำกล่าวที่ว่า เทพเทวาต่อสู้กัน มนุษย์โลกต้องทนทุกข์ทรมาน การอยู่ให้ห่างจึงเป็นหนทางแห่งราชา
ทว่าบัดนี้บุรุษทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในบ้านของพวกเธอ แล้วหากพวกที่ปิดกั้นถนนสายหลักผิดสังเกตขึ้นมา…
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สังหารเธอและนางหวัง แต่หากพวกเขาถูกจับในบ้านของพวกเธอ หากนายอำเภอหงทราบเรื่อง เขาก็อาจจะปักใจเชื่อว่าเธอและนางหวังได้ทรยศต่อทั้งสองคน แล้วนายอำเภอหงจะทำอย่างไรต่อพวกเธอ?
ตอนนี้สถานะของหลิวเหิงในฐานะซิ่วไฉยังคงเป็นกุ้งฝอยเมื่อเทียบกับนายอำเภอ หากว่าท่านนายอำเภอผู้ทรงเกียรติต้องการกำจัดชาวบ้านผู้หาเช้ากินคำสองคน ที่อยู่ภายใต้การปกครอง นั่นก็เทียบกับการใช้สามนิ้วมือบีบหอยทาก…ช่างง่ายแสนง่าย
เหยียนซีได้แต่ยืนอยู่หน้าประตู โดยไม่กล้าหันหลังกลับไปปิดประตูด้วยซ้ำ
“เจ้าเด็กคนนี้ มัวแต่ยืนทำอันใดอยู่หน้าประตู? ลูกเห็บตกแล้ว รีบกลับบ้านเถิด” เมื่อเห็นว่าเหยียนซีเอาแต่จ้องมองมาอย่างว่างเปล่า นางหวังจึงตำหนิเบา ๆ จากนั้นก็หันหลังไปดึงวัวตัวใหญ่เข้าประตู เนื่องจากมีเกวียนเล่มใหญ่อยู่บนหลังของวัว จึงต้องดึงออกแล้วปรับตำแหน่งก่อนที่จะลากเกวียนเข้าประตูได้
ลูกเห็บหรือ? จากนั้นเหยียนซีก็เพิ่งได้ยินเสียงเปาะแปะ มันเป็นเสียงของลูกเห็บที่ตกกระทบกระเบื้องหลังคา แต่เด็กหญิงไม่รู้ว่ามันเริ่มตกตั้งแต่เมื่อใด เพราะภายใต้ความตึงเครียดทางจิตใจนั้น เธอจึงไม่ทันได้สังเกต
เมื่อเห็นนางหวังหันไปดึงวัวเข้ามา เด็กหญิงก็รีบยื่นมือไปข้างหลังแล้วดันที่ขอบประตู ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เธอก็ต้องดึงประตูที่อยู่ด้านหลังแล้วปิดให้สำเร็จ จากนั้นก็เดินมาที่ลานบ้าน “ท่านป้า ข้ามาที่นี่เพื่อรอดึงเจ้าหวงเหมาเข้าบ้านนี่แหละ”
หลังจากที่วัวสีน้ำตาลเหลืองตัวใหญ่มาอยู่ที่บ้านตระกูลหลิวแล้ว เหยียนซีก็ตั้งชื่อให้มันว่า หวงเหมา นางหวังก็คิดว่าการตั้งชื่อสัตว์เป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบทำอยู่แล้ว จึงให้นางเรียกได้ตามใจ
นางหวังยื่นเชือกจูงวัวให้เหยียนซี จากนั้นเหยียนซีก็ตะโกนเร่งให้หวงเหมาเดินเข้าประตู ส่วนนางหวังไปจับเพลาเกวียนเพื่อปรับตำแหน่งแล้วลากเกวียนเข้ามาในบ้าน
จากนั้นนางก็หยิบของสองสามห่อออกจากเกวียน เห็นได้ชัดว่าวันนี้นางหวังซื้อของมากมาย และนางยังเอาแป้งทอดออกมาด้วย “วันนี้ข้าได้พบท่านลุงเกาและท่านป้าเกาของเจ้าด้วย พวกเขาสุภาพเกินไปและยืนกรานที่จะให้แป้งทอดแก่ข้า แต่ข้ากินไปหนึ่งชิ้นแล้ว อีกสองชิ้นนี้เจ้ากินเถิด”
เหยียนซีรับแป้งทอดและวางไว้บนแผ่นหินข้างรางบ่อน้ำ จากนั้นหันหลังกลับมาช่วยนางหวังกางผ้าคลุมเกวียน
“ท่านป้า ข้าเอาหญ้าแห้งใส่คอกวัวแล้ว ยังมีเมล็ดหญ้าสดอีกหนึ่งห่อ ปล่อยให้หวงเหมากินมันไปเถิด ส่วนท่านก็รีบไปพักผ่อน ข้าเองไม่ทันได้สังเกตว่าลูกเห็บตกแล้ว”
หากเป็นยามปกติ เหยียนซีจะรีบจูงหวงเหมาเข้าคอก ทว่าตอนนี้เธอไม่กล้าออกจากเขตลานบ้านแม้แต่ก้าวเดียว
นางหวังไม่ได้รู้สึกผิดสังเกต ทว่าอยู่ ๆ ก็อุทาน ‘หืม’ ออกมา เพราะในจังหวะที่นางก้มหน้าและปลดเพลาออก มือก็เผลอไปสัมผัสมือของเหยียนซี “เหตุใดมือเจ้าเย็นเพียงนี้ มาที่นี่โดยไม่เอาอ่างถ่านมาด้วยหรือ? รีบกลับบ้านเถิด หากอาการบวมน้ำเหลืองกำเริบแล้วเจ้าจะทรมานเอาได้” จากนั้นนางก็แย่งเชือกไปจากมือของเหยียนซี
ในฤดูกาลนี้ลมเหนือจะพัดมาค่อนข้างแรง จึงได้ยินเสียง “หวีดหวิว” พัดมา ทำให้ประตูของบ้านหลังกลางที่เหยียนซีปิดไว้เปิดออก จากนั้นตามมาด้วยเสียง “ปัง” จากบานประตูที่กระทบกับผนังโดยตรง เมื่อประตูเปิดออก แล้วเด็กหนุ่มกับชายร่างใหญ่ที่นั่งข้างอ่างถ่านก็เงยหน้าขึ้นมองออกมาที่ลานบ้านพร้อมกัน
ในเวลานี้ นางหวังเพิ่งได้ยืดหลังตรง และเมื่อได้ยินเสียงดัง นางก็มองไปทางประตู
เป็นจังหวะที่ทั้งสามสายตาสบประสานกัน
สีหน้าของเด็กหนุ่มยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังยกมือข้างหนึ่งแตะที่เอว
นางหวังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแสงในห้องมืดกว่าด้านนอก อ่างถ่านกำลังส่งเสียงแตกเปรี๊ยะ มีบางสิ่งถูกเผาไหม้และมีประกายไฟกระเด็นออกมาเล็กน้อย ในที่สุดนางหวังก็เห็นคราบเลือดบนตัวของคนทั้งสอง โดยเฉพาะเลือดบนใบหน้าและมือของพวกเขา ตามมาด้วยเสียงอื้ออึงในสมองของนาง ทำให้นางเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “พวกเจ้าคือ…”
นางอยากตะโกนถามว่า “พวกเจ้าคือใคร” ด้านเหยียนซีไม่คาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ เด็กหญิงตกตะลึงไปไม่น้อย ทว่าขณะเดียวกันเธอก็ยังเป็นเด็กหัวใส เมื่อได้ยินเสียงของนางหวัง เธอก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้วรีบยกมือปิดปากนางหวังทันที “ท่านป้า อย่าตะโกนนะ!”
คำพูดที่เหลือของนางหวังจึงถูกปิดกั้นอยู่ในปากทันควัน
เด็กหนุ่มชำเลืองมองนิ่ง ๆ ส่วนชายร่างใหญ่ก็ค่อย ๆ วางมือที่แตะมีดไปได้ครึ่งหนึ่งลงมา
“ท่านป้า อย่าตะโกนเด็ดขาด!” เหยียนซีเตือนอีกครั้งแล้วลดเสียงลงพูดว่า “พวกเขาเป็นคนของนายอำเภอหง”
นางหวังพึมพำรับคำสองครั้ง จากนั้นเหยียนซีก็เอามือที่ปิดปากของนางออก ทว่าเมื่อครู่ใช้แรงมากเกินไป จึงทำให้แผลมืออักเสบปริออก
“พวกเขาคือคนที่ผู้คนบนถนนสายหลักกำลังตามหาอยู่หรือเปล่า? เหตุใดพวกเขาจึงมาอยู่ในบ้านเรา? เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า หรือเจ้าโดนทำร้าย?” ขณะที่นางหวังพูด ก็ดึงเหยียนซีมามองสำรวจ
เหยียนซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะตราบใดที่นางหวังไม่ตะโกนก็จะไม่เป็นไร
เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เธอก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่ว่าตอนใด นางหวังก็นึกถึงเธอก่อนเสมอ
“ท่านป้า ข้าปลอดภัยดี แต่เขาทั้งสองได้รับบาดเจ็บ คงเพราะโดนคนเหล่านั้นไล่ล่าจนรีบร้อนเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรา ดังนั้นเราแค่ทิ้งอ่างถ่านไว้ให้พวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะใช้ชีวิตได้สะดวกหน่อย ประเดี๋ยวตอนค่ำ ๆ พวกเขาออกไปก็คงจะหมดปัญหาแล้ว”
“คนของท่านนายอำเภอ เช่นนั้นเรา…เตรียมอาหารให้กินดีไหม?” หลังจากที่นางหวังทราบตัวตนของอีกฝ่าย ก็มีความกระตือรือร้นอีกครั้ง “ใต้เท้าเป็นคนดี ตอนที่เขามาบ้านเราก็ไม่ถือตัวเลย เขายังเมตตาต่อเอ้อร์หลางมาก ๆ ด้วย เราต้องปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของเขาเหมือนเป็นแขกเราเองนะ”
เวลานี้คงแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิดของคนโบราณและคนสมัยใหม่ได้ชัดเจน
จากมุมมองของเหยียนซี คนของตนย่อมจำกัดอยู่แค่ตัวเธอและสองแม่ลูกตระกูลหลิว ส่วนคนแบบหวังชีถือได้ว่าเป็นสหาย แต่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าเมื่อใดเธอก็จะปกป้องตัวเองและครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรก หากมีพละกำลังเหลือก็ค่อยดูแลสหายและคนรู้จัก ส่วนทั้งสองคนนั้นที่อ้างตัวว่าเป็นคนของผู้มีอำนาจ ไม่นับว่าเป็นคนรู้จักด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกเขาไม่พูดความจริง แค่ให้ที่ซ่อนก็ถือว่าเมตตามากแล้ว
แต่สำหรับนางหวังที่เกิดและเติบโตในยุคโบราณ คำจำกัดความของนางเกี่ยวกับคนกันเองนั้นกว้างกว่ามาก ยกตัวอย่างเช่น นายอำเภอหงดูแลหลิวเหิงเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในคนของตน และในเมื่อบุรุษสองคนนี้เป็นคนของนายอำเภอหง พวกเขาจึงเป็นคนกันเองด้วยเช่นกัน
ทันทีที่เหยียนซีได้ยินคำพูดของนางหวัง เธอก็แอบถอนหายใจและรีบลดเสียงลงเพื่อเกลี้ยกล่อม “ท่านป้า ยังมีคนปิดถนนสายหลักอยู่ ซึ่งเราไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร นอกจากนี้ สิ่งที่ข้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนของใต้เท้านายอำเภอ ก็เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น แท้จริงพวกเขาอาจจะไม่ใช่ ดังนั้นเราแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วให้พวกเขายืมที่พักชั่วคราวก็พอแล้ว”
MANGA DISCUSSION