บทที่ 81 นางหวังผู้ไร้สติ
บ้านของหวังชีอยู่ตรงหัวมุมท้ายเมือง หากเดินผ่านถนนสายหลักของตำบลชิงหลง ก็จะพบตรอกหนึ่งที่ทั้งยาวและมืด
“ทางเส้นนี้ออกจะมืดไปเสียหน่อย เจ้านาย ท่านป้า โปรดเดินช้า ๆ ” หวังชีเตือนทั้งสองอย่างอาย ๆ
เหยียนซียังสามารถมองเห็นว่าตรอกนี้มีบ้านทรงเตี้ยทั้งสองฟากของตรอก มีทั้งหลังคาไม้กระดานและหลังคามุงกระเบื้อง แม้แต่หลังคามุงฟางก็ยังมี เด็กหญิงจึงค่อนข้างแน่ใจว่านี่คงเป็นเขตชุมชนแออัดของตำบลชิงหลง
เนื่องด้วยมีหวังชีคอยนำทาง ทุกคนจึงเดินไปจนสุดตรอกได้อย่างรวดเร็ว พวกนางพบว่ามีประตูไม้บานเล็ก ๆ แง้มอยู่ เขาจึงเร่งฝีเท้าไปอีกสองสามก้าว ยื่นมือผลักประตูให้เปิดแล้วร้องเรียก “ท่านแม่” ก่อนจะเดินเข้าไปและหันมาบอกนางหวังกับเหยียนซีให้เดินตามมา
ทันทีที่เดินเข้าประตูมา ก็จะเห็นลานบ้านเล็ก ๆ ตรงเบื้องหน้า แน่นอนว่าลานนั้นเล็กกว่าของบ้านตระกูลหลิวมาก ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านอิฐสีครามสองหลัง และมีร่องรอยของดินโคลนอุดตามผนัง ส่วนหลังคาที่มุงด้วยกระเบื้อง บัดนี้มีการซ่อมแซมด้วยหญ้าคาขาว ส่วนของหลังคาจึงดูปะติดปะต่อไม่เป็นผืนเดียวกัน
ข้าวของในบ้านถูกจัดวางอย่างดี แม่ไก่สองตัวถูกเลี้ยงไว้ที่มุมลานบ้าน มีรั้วไม้ไผ่บาง ๆ ล้อมพวกมันเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันเดินไปทั่วลานบ้าน บริเวณเล้าไก่นี้มีการวางรังบวบไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีรังบวบเก่าสองอันแขวนอยู่
มีถังเก็บน้ำอยู่ตรงมุมลานบ้าน ทั้งยังมีอ่างใส่น้ำ ไม้คานหามและอื่น ๆ ส่วนไม้กวาดเหมือนทำขึ้นเองด้วยกิ่งไผ่ มันวางชิดผนังตรงนั้น
แม้ว่าบ้านของหวังชีจะทรุดโทรมมาก แต่ก็สะอาดสะอ้านมากเช่นกัน
เหยียนซีแอบพยักหน้าพึงพอใจ ตอนนี้เธอไม่แปลกใจเลยที่เสื้อผ้าของหวังชี แม้จะขาดวิ่น ทว่ารอยปะนั้นประณีตมาก มิหนำซ้ำยังปะด้วยแถบผ้าสีเดียวกัน นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าสองแม่ลูกเป็นคนรักความสะอาด
แม่หวังชีได้ยินเสียงดังเอี๊ยดของประตูไม้ จึงตะโกนถามว่า “ผู้ใดหรือ?”
“ท่านแม่ วันนี้เจ้านายกับท่านป้าของเจ้านายที่ข้าเล่าให้ฟัง มาเยือนบ้านของเราแล้ว” หวังชีส่งเสียงตอบพลางถือโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เข้ามาในลานบ้าน แล้วย้ายเก้าอี้อีกสองตัวมาวางข้าง ๆ “ท่านป้า พวกท่านนั่งตรงนี้เถิด มันจะสว่างหน่อย”
วันนี้แดดดีมาก การนั่งในลานบ้านท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาว จะรู้สึกสบายเป็นพิเศษ
ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากในบ้านและเสียงพูดว่า “เจ้าลูกคนนี้ เหตุใดเจ้าไม่บอกล่วงหน้าว่าเจ้านายของเจ้าจะมา” ไม่นานก็มีสตรีนางหนึ่งเดินออกมา
สตรีนางนั้นมีผมขาวแซมบ้างแล้ว ปรางแก้มมีสีคล้ำและซูบ นางหรี่ตาลงเมื่อเดินออกจากประตู จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามาหยุดตรงเบื้องหน้าของเหยียนซีและนางหวัง
“ท่านแม่ นี่คือเจ้านายของข้าที่เคยเล่าให้ท่านฟัง เป็นแม่นางน้อยแห่งบ้านซิ่วไฉ ส่วนท่านนี้คือท่านป้าของนาง” หวังชีผายมือไปทางพวกเหยียนซีพลางแนะนำ
“คารวะท่านป้า” เหยียนซีกล่าวทักทายอีกฝ่าย
แม่หวังชีถึงขั้นผงะเมื่อเห็นเหยียนซี เพราะนางได้ยินจากลูกชายว่าเจ้านายเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ และยังเด็กมาก แต่ไม่คาดคิดว่าจะเด็กถึงเพียงนี้
“เจ้านาย นี่คือแม่ของข้าเอง” หวังชีกล่าวแนะนำอีกครั้ง
“นี่คือ เอ่อ คารวะนายหญิง เชิญนั่ง ท่านรีบนั่งลงเถิด”
แม่หวังชีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและต้องการจะเช็ดเก้าอี้อีกครั้ง แต่เหยียนซีรั้งแขนนางไว้อย่างรวดเร็ว “ท่านป้าอย่าสุภาพเกินไปเลย แท้จริงแล้วพี่หวังชีช่วยงานข้าได้มาก ข้าน่าจะมาเยี่ยมท่านเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ” ขณะที่พูด ก็วางห่อของว่างสองจิน ไว้บนโต๊ะ “ท่านป้าก็นั่งลงด้วยเถิด”
แม่หวังชีถอนหายใจ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเหยียนซีโดยเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนไปด้วย “ข้าได้ยินอาชีเอ่ยถึงท่าน โดยบอกว่าถึงแม้ท่านจะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่ก็เก่งกาจในการทำค้าขายและทำบัญชี จึงนับเป็นโชคดีของเขาที่ท่านไว้วางใจให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ ให้ เพราะตั้งแต่ติดตามท่าน เขาก็อ้วนขึ้นและไม่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานอีกเลย”
แม่หวังชีดูเหมือนจะพูดตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงที่ดังและเฉียบคมขึ้น “ข้าได้ยินเขาพูดว่าท่านยังเด็ก แต่ข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะเด็กขนาดนี้ ข้ามักจะบอกเขาว่าต้องทำงานหนักเพื่อท่าน เพราะหายากที่จะมีคนเต็มใจใช้งานเขาเช่นนี้ ดังนั้นต้องโหมทำงานหนัก เขาน่ะมีดีก็แค่ตัวสูง แต่ไม่มีสมอง เป็นแค่คนโง่คนหนึ่งเท่านั้น”
“อาชี อย่ามัวแต่ยืนโง่อยู่ทำไม รีบไปรินชามาให้นายหญิงและท่านป้าของนางสิ”
หวังชีรีบพยักหน้ารับ ไม่นานน้ำชาสองถ้วยก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ
หวังชีวางถ้วยชาไว้เบื้องหน้าเหยียนซีหนึ่งใบ แล้วเขาหยิบอีกใบมาวางตรงเบื้องหน้าของนางหวัง “ท่านป้าของเจ้านาย ท่านดื่มหน่อยเถิด”
นับตั้งแต่ที่แม่หวังชีเดินออกมา นางหวังไม่เคยเปิดปากพูดเลย
เหยียนซีก็รู้สึกแปลก ๆ เด็กหญิงจึงหันศีรษะไปมอง ก็เห็นว่านางหวังกำลังจ้องมองแม่หวังชีอย่างตั้งใจ ทว่าสีหน้ากลับเปลี่ยนไป โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านป้า ท่านดื่มชาหน่อยเถิด” เหยียนซีสัมผัสนางหวังเพื่อเรียกสติ
นางหวังหลุดอุทาน “อ่า” คำหนึ่ง ก่อนที่นางจะกลับมามีสติ ก็ยังมองไปที่แม่หวังชี แล้วค่อยมองมาที่ถ้วยชาตรงเบื้องหน้า “เอ้อ ข้าดื่ม ๆ ” นางก้มหน้าลงและจิบ ทว่าชากำลังร้อน พอนางจิบเข้าปากก็รู้ว่าร้อนเกินไป นางจึงเผลอเบือนหน้าหนีแล้วสำลักไอออกมาสองสามที
“ท่านป้า ระวังสำลัก” เหยียนซีไม่รู้ว่าเหตุใดนางหวังจึงสูญเสียความสงบไปอย่างกะทันหัน เด็กหญิงลุกขึ้นอย่างว่องไวเพื่อช่วยทุบหลังให้
แม่หวังชีเห็นว่านางหวังสำลัก จึงรีบรินน้ำเย็นอีกถ้วยแล้วส่งให้นางหวัง
เมื่อครู่ได้เห็นเหยียนซี ทำให้นางประหลาดใจเกินไป จึงทำเพียงจ้องไปที่เจ้านายตัวน้อยและไม่ได้สนใจนางหวังเลย
ขณะที่นางเข้าไปใกล้ ก็ปรับสายตามองนางหวังอย่างพิจารณา “ท่านป้าของเจ้านาย ข้ารู้สึกคุ้นหน้าท่านเหลือเกิน ท่านดูเหมือนญาติผู้พี่คนหนึ่งของสามีข้าจริง ๆ ”
“จริง…จริงหรือ?” นางหวังไม่ยอมสบตากับแม่หวังชี
แม่หวังชีวางถ้วยน้ำเย็นลงพลางนั่งหันหลังให้นาง จากนั้นก็ถอนหายใจและพูดด้วยอารมณ์ว่า “ถูกต้อง ญาติผู้พี่คนนั้นเป็นคนขยันขันแข็ง ข้าเคยพบนางครั้งหนึ่งตอนที่ข้าแต่งงานเข้าตระกูลหวัง ส่วนนางก็เป็นภรรยาของจู่เหริน ทางครอบครัวได้เชิญนางกลับมาร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของข้า ท่านก็คงทราบว่าภรรยาของจู่เหรินนั้นมีเกียรติ การเชิญนางกลับมาร่วมฉลองก็เป็นการสร้างหน้าสร้างตาให้ตระกูลเช่นกัน”
“ตอนนั้นข้าเป็นเจ้าสาวและรู้สึกกลัวมาก ทว่านางก็อยู่กับข้าตลอดเวลา และบอกสามีของข้าว่าในวันข้างหน้าจะมีลูกสาวเพิ่มในครอบครัว ทว่าญาติผู้พี่คนนี้มีชีวิตที่ยากลำบาก เพราะนางสู้ทำงานหนักเพื่อสนับสนุนสามีให้เรียนหนังสือ กลับกลายเป็นว่าเมื่อเขาได้เป็นจิ้นซื่อและปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงได้สำเร็จ เขาก็กลับมาเพื่อหย่ากับนาง พี่สาวท่านนั้นก็ใจกล้าเช่นกัน ข้าได้ยินว่านางตัดสินใจจบชีวิตที่บ้านสามี ส่วนพ่อแม่ของนางเสียชีวิตไปก่อนนานแล้ว เหลือเพียงพี่ชายที่พอได้รับเงินห้าตำลึงแล้วก็ไม่คิดติดใจเอาความ พวกท่านคิดว่านี่ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?”
แม่หวังชีกัดฟัน ถ่มน้ำลายและพูดว่า “สามีของข้าบอกว่าตอนยังเด็กนั้นเขากำลังจะอดตาย แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้เพราะการช่วยเหลือลับ ๆ ของญาติผู้พี่คนนี้ ต่อมาเขาอยากเรียนวิชาช่างไม้ และในเวลานั้นญาติผู้พี่ของเขาเพิ่งกลายเป็นสตรีของจู่เหริน เขายังขอยืมเงินจากนางเพื่อเอามาเรียนช่างไม้ เขามักจะทำงานช่างไม้อยู่ข้างนอก และเมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ได้ยินว่าญาติผู้พี่หย่าร้างและเสียชีวิต เขาจึงขอให้หัวหน้าตระกูลออกหน้าเพื่อทวงความยุติธรรมให้นาง แต่หัวหน้าตระกูลกลับปฏิเสธ แม้ว่าเขาอยากไปเคารพศพนาง แต่ครอบครัวของสามีนางไม่ทำแม้แต่หลุมฝังศพให้ ช่างน่าเวทนา…”
“ท่านแม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้านายและท่านป้าของนางมาเยือนบ้านเรา เหตุใดท่านจึงมัวแต่พูดเรื่องอดีตกันเล่า?” หวังชีได้ยินเรื่องนี้จากมารดานับครั้งไม่ถ้วน เพราะมารดาจะพูดถึงมันทุกครั้งที่นางได้ยินเกี่ยวกับครอบครัวที่พยายามอย่างหนักเพื่อสนับสนุนให้ผู้ชายได้เรียนหนังสือ เมื่อเห็นว่าบทสนทนานี้เริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาจึงมองไปที่เหยียนซีและนางหวังอย่างกระดากอาย แล้วรีบปรามมารดา
“ไอโหยวปากของข้านี่นะ พูดไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว ได้โปรดอย่าขัดเคืองใจเลย เพราะท่านโชคดีมาก ตอนนี้ท่านได้เป็นแม่ของนายท่านซิ่วไฉ พอปีหน้านายท่านซิ่วไฉก็จะได้เป็นจู่เหริน ถึงตอนนั้นท่านก็จะเป็นแม่ของนายท่านจู่เหริน เมื่อนายท่านจู่เหรินได้เป็นจิ้นซื่อและกลายเป็นขุนนางใหญ่ ท่านก็จะได้เป็นเหล่าเก้ามิ่งที่มักจะได้ยินในบทละครงิ้ว” แม่หวังชีตบหน้าขาของตนแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“มันไม่ง่ายเหมือนที่ท่านพูดหรอก” ตอนแรกที่นางหวังได้ฟังคำพูดของแม่หวังชี นางก็ก้มหน้าลง แต่เมื่อได้ยินคำเยินยอของแม่หวังชี นางจึงเงยหน้าขึ้นและยิ้ม จากนั้นก็มองสำรวจไปรอบลานบ้านของอีกฝ่ายแล้วถามว่า “ท่านมาที่ตำบลชิงหลงได้อย่างไร?”
MANGA DISCUSSION