บทที่ 8 คำรับรองจากหลิวเหิง
หลิวเหิงกับเหยียนซีกำลังดึงกันไปมา จึงไม่ทันได้สังเกตว่าประตูลานบ้านถูกผลักเปิดอย่างกะทันหัน และผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านเดียวกันก็เดินเข้ามา
เมื่อเห็นคนทั้งสองใกล้ชิดกัน ผู้หญิงคนนั้นก็อุทานออกมา “ไอหยา พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?”
“ท่านย่าสะใภ้สาม เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่?” เมื่อหลิวเหิงหันไปมองและพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสในตระกูล เขาก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้น
โดยไม่คำนึงถึงคนที่ยังเกาะกุมอยู่ เขาก็ปล่อยมือและยืนตัวตรง แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางพูดว่า “ท่านแม่เพิ่งออกไปข้างนอก พวกท่านไม่ได้สวนทางกันหรือขอรับ?”
“โอ้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เอ้อร์หลาง ข้าได้ยินมาว่าแม่ของเจ้าซื้อคนมาด้วยเงินหนึ่งตำลึง ใช่เด็กผู้หญิงคนนี้ไหม?” ย่าสามมองไปทางเหยียนซีพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงอายุแค่แปดเก้าขวบเองกระมัง?”
“คารวะท่านย่าสะใภ้สามเจ้าค่ะ” เหยียนซีสนทนาเหมือนเด็กโต แม้เป็นเรื่องยากที่หญิงสาวจะหยอกล้อใครสักคน แต่เมื่อมีคนมาเห็นเข้า เธอก็อดจะหน้าแดงไม่ได้
ในชาติที่แล้ว หญิงสาวเป็นคนจริงจังและไม่เคยมีแม้แต่ความสัมพันธ์ทางใจ และด้วยวัยของหลิวเหิงก็เป็นแค่เด็กในสายตาของเธอเท่านั้น แต่เมื่อครู่เธอตกใจกลัวเขา จึงรู้สึกเสียหน้า เลยอยากจะแกล้งเขาคืน แต่ถ้ามีใครมาเห็นเข้าแล้วเอาไปนินทามันก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
เพราะในสมัยโบราณ ชายหญิงห้ามใกล้ชิดกัน เธอเองก็ได้ยินมานักต่อนัก หากมันแพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง เธอจะถูกจับถ่วงน้ำหรือไม่?
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นและจับไปที่แขนของหลิวเหิง “พี่เอ้อร์หลาง ท่านป้าบอกว่าสุขภาพของท่านไม่ค่อยดี และไม่สามารถออกมาตากลมข้างนอกได้ ได้โปรดฟังข้าหน่อยเถิด กลับไปที่ห้องแล้วนอนพักเสียนะเจ้าคะ”
“ข้าหายดีแล้ว มีแขกมาเยือน ยังไม่ไปรินน้ำมาอีก!” หลิวเหิงมองเห็นโอกาสอย่างรวดเร็ว เขาดุนางด้วยสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นหันไปหาย่าสามแล้วยิ้ม “ย่าสาม เชิญนั่ง”
ย่าสะใภ้สามมองทั้งสองคนอย่างสงสัย ท่านป้าหรือ? ฟังเช่นนี้แล้วดูไม่เหมือนการซื้อสะใภ้มาให้หลิวเอ้อร์หลางเลย
ตอนที่ทั้งสองจับแขนกัน เพราะความต้องการจะช่วยพยุงเด็กหนุ่มกลับห้อง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมใช่หรือไม่?
เหยียนซีหมุนตัวเข้าไปในห้องครัวเพื่อรินน้ำร้อนหนึ่งถ้วย “ย่าสาม โปรดนั่งรอสักครู่นะเจ้าคะ”
ตระกูลหลิวไม่ได้รับแขกมานานมากแล้ว เหตุใดจึงมีคนมาที่ประตูบ้านในเวลานี้
ย่าสามเดินเข้ามาใกล้หลิวเหิงอย่างรีบเร่ง นางนั่งลงและมองดูเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา “เอ้อร์หลาง เจ้าหายป่วยแล้วหรือยัง?”
“เดิมทีอาการป่วยของข้าเกิดจากการโดนลมเย็นเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วขอรับ ขออภัยที่ทำให้ท่านย่าสะใภ้เป็นห่วง” หลิวเหิงยืนขึ้นและโค้งคารวะ
“ไอโหยว จะมีมารยาทไปทำไม ดีแล้ว ดีแล้วที่เจ้ายังสบายดี” หญิงชราโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเอื้อมมือไปฉุดให้เขานั่งลง
“ย่าสะใภ้ ข้าได้ยินมาจากท่านแม่ว่านางรีบไปเชิญหมอ และขอยืมเงินจากท่านมาสามร้อยอีแปะ”
“ใช่ ๆ ตอนนั้นข้าเห็นแม่ของเจ้าร้อนใจเหลือเกิน ครอบครัวของข้าเพิ่งจะขายไข่และได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ตอนนี้เจ้าก็…”
“ท่านย่าสะใภ้ ท่านแม่ยังรู้สึกขอบคุณที่ท่านให้ยืมเงินยามฉุกเฉิน ตอนนี้ก็เดือนสี่และได้เวลาไถพรวนนาแล้ว เราจะรีบคืนเงินให้ท่านโดยเร็วที่สุด”
“เฮ้อ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทวงเงินหรอก…” ย่าสามโบกมือไปมาแล้วพูดจากใจออกมา “ดีเหลือเกินที่เจ้าสบายดี ข้าเองก็โล่งใจ”
นางลังเลที่จะให้นางหวังยืมเงิน เพราะหากลูกชายหายไป ก็เท่ากับว่าเงินที่ให้ไปจะสูญเปล่า แต่นางหวังเที่ยวไล่ยืมเงินชาวบ้านทั้งหมด และยังมาขอร้องถึงบ้านของนางอีก ตาเฒ่าที่บ้านของนางพูดว่าความรู้ของหลิวเหิงนั้นได้รับคำชื่นชมจากเหล่าซิ่วไฉ*[1] ของสำนักศึกษาในเมืองหลายครั้ง ถ้าสามารถช่วยได้ก็ควรจะช่วย
ต่อมา เมื่อมีคนบอกว่าหลิวเอ้อร์หลางป่วยหนัก นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายและมาที่บ้านตระกูลหลิวอีกหลายครั้ง แม้จะไม่ได้มาทวงหนี้ก็ตาม แต่วันนี้นางได้ยินว่านางหวังรีบออกจากบ้านพร้อมตะกร้าในมือ อีกทั้งยังซื้อลูกสะใภ้มาเพื่อขจัดเสนียดจัญไรด้วยเงินหนึ่งตำลึง ทำให้นางอดรนทนไม่ไหวจนเดินมาที่ตระกูลหลิวแห่งนี้
ตอนที่นางผลักประตูเข้ามาโดยพลการ เพราะคิดว่านางหวังไม่อยู่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู แต่นางไม่คาดคิดว่าทันทีที่ผลักประตู จะเห็นหลิวเหิงยืนอยู่ที่ลานบ้าน เขาสามารถลงมาเดินเองได้แล้วเช่นนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกโล่งใจ
ตราบใดที่คนยังอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าหนี้จะลอยหายไป
หลิวเหิงยังคงมีไหวพริบที่ดี และก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไร เขาก็แสดงจุดยืนของตนเองทันที ทำให้ย่าสะใภ้สามรู้สึกโล่งใจ และหลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอีกเล็กน้อย เมื่อนางเห็นว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มยังคงซีดอยู่บ้าง นางจึงจากไปพร้อมด้วยรอยยิ้มเพื่อให้เด็กหนุ่มได้พักผ่อน
เหยียนซีกล่าวขอบคุณนางครั้งแล้วครั้งเล่า และส่งหญิงชราออกไปอย่างสุภาพ เมื่อเห็นแขกเดินออกไปแล้วก็ปิดประตูบ้าน จากนั้นเธอก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย “ครอบครัวเป็นหนี้จำนวนมากเลยหรือ?”
“ข้าได้ยินจากท่านแม่แล้ว พวกเราน่าจะยืมเงินนางรวมทั้งหมดเกือบสิบตำลึงเงินได้” ในบรรดาเงินเหล่านี้ บางส่วนเป็นค่าเดินทางที่เตรียมไว้ให้เขาไปสอบฝู่ซื่อ แต่มันถูกใช้ไปกับการรักษาอาการป่วยของเขาแล้ว
‘สิบตำลึงเงิน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าหนึ่งตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ สิบตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งหมื่นอีแปะ!’ หญิงสาวได้ยินนางหวังพูดว่าไข่หนึ่งฟองขายในราคาสองอีแปะ ถ้าเงินหนึ่งหมื่นอีแปะจะซื้อไข่ได้ห้าพันฟอง… เหยียนซีคำนวณในหัว และมองไปที่แม่ไก่สองตัวตรงมุมลานบ้านตระกูลหลิว…รู้สึกได้ถึงแรงกดดันในการปลดหนี้ก้อนโต!
ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะในยุคที่เธอจากมา การไปหาหมอก็ใช้เงินเยอะเช่นกัน ส่วนในสมัยโบราณ การพาใครสักคนไปพบหมอถือเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยมาก
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านแม่หักหลังเจ้า!” หลิวเหิงให้สัญญาอย่างเด็ดขาด
เหยียนซีสงสัยว่าเขาทำเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง หลังจากได้ยินคำรับรองของเขา เธอกลับรู้สึกกังวลมากขึ้น เธอจะไม่ใช่เด็กสาวผมขาวที่โดนลากออกไปเพื่อชำระหนี้ใช่ไหม?
“เราต้องหาเงิน!” เด็กหญิงกล่าวกับหลิวเหิงอย่างหนักแน่น
“เมื่อข้ากลับไปตำบล ก็จะสามารถคัดลอกตำราสำหรับร้านหนังสือได้” หลิวเหิงเรียนรู้วิธีการทำเงินในแบบของตนเอง
“ข้า…ข้าไม่สามารถคัดลอก…” เหยียนซีอยากจะบอกว่าเธอก็ทำได้เช่นกัน แต่เมื่อนึกถึงพู่กันที่ใช้ในสมัยโบราณแล้วก็ต้องใจสลายทันที น่าเสียดายที่หญิงสาวจบการศึกษาจากวิทยาลัย แต่ในสมัยโบราณเช่นนี้ เธอรับประกันได้เลยว่า เธอจะไม่แสร้งตาบอดแน่นอน เพราะการคัดอักษรน่ากลัวมาก หญิงสาวเคยได้อ่านลายมือของหลิวเหิง หากเขาอยู่ในยุคปัจจุบันเขาคงเป็นนักประดิษฐ์ตัวอักษรชั้นยอดได้อย่างแน่นอน
“พรุ่งนี้ข้าจะไปเดินเล่นข้างนอก ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่า ตราบใดที่ไม่มีเรื่องด่วนก็จะไม่มีใครมาทวงหนี้ก่อนเดือนสิบสอง” หลิวเหิงยังคงมั่นใจมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในที่สุดเหยียนซีก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าของปัญญาชนได้ด้วยตนเอง หากมีบัณฑิตที่มีแนวโน้มจะก้าวหน้าในครอบครัว แม้จะเป็นนักสะสมหนี้ก็สามารถออกไปข้างนอกตอนกลางคืนได้
“ข้าจะไปที่ลำห้วยเพื่อดูว่าจะจับปลาจับกุ้งได้ไหม น้ำแกงปลามีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายได้ดีมาก” เนื่องจากเธอต้องการอยู่ในบ้านตระกูลหลิว หญิงสาวจึงต้องแบ่งเบาความทุกข์ยาก แม้จะไม่สามารถออกไปหาเงินได้ในตอนนี้ แต่อย่างน้อยก็หาทางปรับปรุงคุณภาพอาหารก่อนได้ การกินในสิ่งที่ดีก็จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้ หญิงสาวก็ไม่ใช่คนมักง่าย ในเมื่อนางหวังนั้นปฏิบัติต่อเธอดีมาก เช่นนั้นเหยียนซีก็หวังจะทำตัวเป็นประโยชน์ต่อตระกูลหลิวได้บ้าง
เหยียนซีหยิบที่ตักผงที่อยู่ด้านหลังประตูบ้าน แล้วก็หยิบตะกร้าใบเล็กอีกใบที่วางอยู่ข้าง ๆ กันขึ้นมา หญิงสาวพบเชือกป่านอยู่ภายในนั้น จากนั้นเธอจึงถือของทั้งสามชิ้นเดินออกไปนอกบ้าน บ้านตระกูลหลิวอยู่ใกล้กับลำห้วยหมิงมาก ทำให้พวกเธอสามารถจับสัตว์ทะเลมาทำอาหารได้
หลิวเหิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นนางเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง เห็นเช่นนี้แล้ว นางอาจไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยจริง ๆ แต่ที่นางมีความสามารถเช่นนี้ คงเพราะเคยทำงานบ้านมาก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะอยากทำให้จุดประสงค์ของมารดาไม่สูญเปล่า เขาก็คงไม่พยายามข่มขู่และบีบบังคับเหยียนซีให้อยู่ต่อเพียงนี้หรอก เพราะถึงอย่างไร ท่านแม่ก็ซื้อนางด้วยเงินตั้งหนึ่งตำลึง
เขาปิดประตูอีกครั้ง แล้วเดินกลับเข้าบ้าน จากนั้นก็หยิบตำราบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน
เขาพลาดสอบฝู่ซื่อในปีนี้ไปแล้ว ทำให้ปีหน้าเขาต้องสอบทั้งฝู่ซื่อและเยวี่ยนซื่อติดต่อกัน หากเขาสอบผ่าน ก็จะได้รับตำแหน่งซิ่วไฉ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสอบจอหงวน
[1] ซิ่วไฉ คือ บัณฑิตที่สอบผ่านการทดสอบระดับท้องถิ่นทั้งสามระดับ แม้จะไม่ใช่ขุนนาง แต่จะได้รับการยกเว้นภาษี
MANGA DISCUSSION