บทที่ 78 ไม่รู้จักชั่วดีได้หรือ
เนื่องด้วยการมาเยือนของหัวหน้าตระกูลหลิว ส่งผลให้อารมณ์ของเหยียนซีและนางหวังไม่ค่อยดีนัก
แต่ไม่ว่าความคิดของหัวหน้าตระกูลหลิวจะเป็นอย่างไร การก่อสร้างบ้านยังต้องดำเนินต่อไป
เดิมเหยียนซีวางแผนที่จะสร้างบ้านหลังคากระเบื้องขนาดใหญ่สามหลัง เพื่อเป็นโกดังและโรงงาน และสร้างห้องพักแยกอีกสองห้อง
ทว่าตอนนี้เธอได้เปลี่ยนใจแล้ว
นางหวังบอกหลิวต้าจู้ว่าเงินไม่พอ ทำให้เดิมทีสร้างห้าหลัง ตอนนี้สามารถสร้างได้เพียงสามหลังเท่านั้น และสร้างคอกวัวหนึ่งคอกก็เพียงพอแล้ว
หากสร้างเพียงสามหลัง ก็ทำให้ระยะเวลาก่อสร้างลดลงเกือบครึ่ง ส่วนจำนวนอิฐและกระเบื้องที่วางแผนไว้แต่เดิมนั้น หลังจากที่เหยียนซีขอให้หวังชีไปสอบถามเรื่องนี้ในตำบลชิงหลง เธอก็ให้เขาขนมันออกไปขายให้ทันที
หลังจากสงบสติอารมณ์และได้ทบทวนแล้ว เหยียนซีก็รู้สึกอยากหัวเราะอีกครั้ง ตอนนี้การกระทำของเธอกับนางหวังแสดงออกว่ารู้สึกโกรธหัวหน้าตระกูลหลิว ในเมื่อเจ้าไม่ปล่อยให้เราใช้ชีวิตสงบ แล้วเหตุใดเราต้องปล่อยให้หลานชายของเจ้าได้รับเงินมากขึ้น? แต่หลังจากหัวเราะแล้ว เธอก็รู้สึกเศร้าอีกครั้ง เพราะตอนนี้พวกเธอสามารถฝากความหวังไว้ที่หลิวเหิงคนเดียว หากหลิวเหิงสอบผ่านเซียงซื่อ สถานการณ์ก็จะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
อำนาจของจู่เหรินเพียงหนึ่ง ต่อให้ร้อยซิ่วไฉก็เทียบไม่ได้
เข้าสู่เดือนสิบ ก็กำลังจะเริ่มก่อคานบ้าน
สำหรับการสร้างบ้าน การขึ้นคานบ้านก็เป็นงานสำคัญ ว่ากันว่าหากคานดีแล้วความเป็นอยู่ก็จะราบรื่นไปด้วย
แน่นอนว่ายังต้องเลือกฤกษ์มงคลสำหรับก่อคานบ้าน สมควรเป็นวันที่สภาพอากาศแจ่มใสไร้เมฆหมอกบดบัง
คราวนี้ เหยียนซีขอให้หวังชีมาร่วมงานในฐานะผู้จัดการใหญ่ และช่วยท่านอาสามในฐานะเจ้าภาพ นี่คือการบอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าบ้านเหล่านี้จะเป็นของเธอในอนาคต
แม้ว่าหัวหน้าตระกูลหลิวจะโกรธ แต่เขาก็ยังมาดูบ้านของนางหวัง เนื่องจากหลิวเหิงได้กลับมาดูการก่อสร้างบ้านเป็นครั้งคราว และเขาก็ต้องคอยแนะนำว่าจะทำอย่างไรหรือทำอะไรต่อไป
คราวนี้อาสามทำหน้าที่เซ่นไหว้เหมือนเดิม หลังจากจุดธูปสักการะฟ้าดินแล้ว หวังชีก็ขึ้นไปบนคานกับช่างฝีมือ เพื่อโยนหมั่นโถวแจกให้พวกชาวบ้านที่มาดูความคึกคัก
เมื่อถึงเวลาสร้างคาน สำหรับครอบครัวที่ร่ำรวยจะโปรยหมั่นโถวและเงินทองแดง ทว่าครั้งนี้เหยียนซีไม่ใจดีเป็นพิเศษเหมือนเดิมอีก หากครอบครัวอื่น ๆ ในหมู่บ้านแจกแค่หมั่นโถว เธอก็แจกแค่หมั่นโถวตามจำนวนคน และทำขนาดหมั่นโถวเท่าคนอื่น
เมื่อเสียงประทัดดังขึ้น เธอก็คว้าเมล็ดแตงโม ถั่วลิสงและสิ่งอื่น ๆ ยื่นให้พวกแม่จิ้นเป่าแค่สองสามกำมือ แต่คนอื่นให้ลืมไปได้เลย โดยเฉพาะคนแบบแม่เถี่ยต้าน ฮึ คิดว่าเธอเป็นซั่นฉายถงจื่อ*[1]จริงหรือ? กล้าเอาเปรียบเธอแล้ว กล้าที่จะวางแผนใส่ร้ายเธอลับหลัง แล้วหากเธอไม่ให้ คนเหล่านี้จะทำอันใดได้?
ผู้คนในชนบทมักประหยัดอยู่เสมอ สำหรับหมู่บ้านหยางซานเพิ่งมีรายได้จากการขายชาและอื่น ๆ ไม่นาน จึงไม่มีใครกล้าใช้จ่ายตามอำเภอใจ ดังนั้น เมล็ดแตงโม ถั่วลิสง ซาลาเปาไส้ถั่วแดง และหมั่นโถวล้วนเป็นของหายาก แม้แต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ยังหนักใจในการซื้อจำนวนมาก ๆ
เมื่อเริ่มก่อสร้างบ้านหลังนี้ ความเอื้ออาทรของนางหวังและเหยียนซีจึงสร้างประโยชน์ต่อชาวบ้าน
เดิมทีพวกนางคิดว่าเมล็ดแตงโม ถั่วลิสง หรือลูกอมจำนวนหนึ่งกำมือต้องได้อยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าเหยียนซีจะแจกให้แค่ไม่กี่คน เสร็จแล้วก็เก็บของไปทันที
ตอนแรกแม่เถี่ยต้านและคนอื่น ๆ ต้องการเข้าร่วม ส่วนแม่จิ้นเป่าและคนอื่น ๆ ได้รับประโยชน์แล้วจึงมีน้ำใจช่วยเก็บสิ่งของบนโต๊ะบูชา แต่ก็แค่นั้น เพราะไม่มีอะไรให้ขอที่บ้านหลังนี้ได้อีกแล้ว พวกนางจำต้องแยกย้ายกันไปอยู่ดี
ตามธรรมเนียมของที่นี่คือหลังจากสร้างบ้านเสร็จแล้ว จะต้องจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ โดยเชิญญาติและสหายมาร่วมรับประทานอาหารอย่างมีชีวิตชีวา
แต่นางหวังและเหยียนซีจัดเลี้ยงโต๊ะแค่สองสามโต๊ะเท่านั้น โดยบอกกับชาวบ้านว่าไม่ได้ก่อสร้างเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย จุดประสงค์คือใช้เป็นโกดังเก็บของเท่านั้น พวกนางจึงเชิญคนงานก่อสร้างและครอบครัวของอาสามมากินข้าว และไม่ว่าจะรำคาญหัวหน้าตระกูลหลิวสักแค่ไหน ก็ยังต้องเชิญเขามาร่วมงานอยู่ดี
คราวนี้หลิวเหิงเดินทางกลับมา ทำให้หัวหน้าตระกูลหลิวไม่ได้นั่งตำแหน่งแรก เพราะซิ่วไฉไม่ใช่คนธรรมดา แล้วใครจะกล้าตีตนเสมอ? เขานั่งตำแหน่งแรก ส่วนหัวหน้าตระกูลหลิวนั่งถัดไป ด้านหวังชีนั่งตรงตำแหน่งสุดท้ายและเชิญทุกคนกินดื่ม เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาเกินไป
หลังจากกินดื่มเสร็จแล้ว หลิวเหิงก็ทำหน้าที่ส่งแขก ด้านหวังชีพูดกับเหยียนซีอย่างมีความสุขว่า “เจ้านาย ก่อนหน้านี้เจ้าของร้านเฉียนบอกข้าว่าภัตตาคารเฉินจี้ทุกแห่งในหย่งโจวได้ขายปลาต้มผักดอง ดังนั้นควรขนส่งผักดองให้มากขึ้น นอกจากนี้ เถ้าแก่เฉินที่ตัวอำเภอบอกว่ามีผ้าอยู่ชุดหนึ่ง จึงถามว่าท่านต้องการหรือไม่?”
การสร้างบ้านได้ใช้เงินไปจำนวนมาก แน่นอนว่าต้องหาเงินมาทดแทน
เหยียนซีได้ยินหวังชีเอ่ยถึงสถานการณ์ผ้าจากเถ้าแก่เฉิน เธอก็รู้สึกว่ากิจการนี้สามารถไปต่อได้ กระนั้นก็ยังขาดแคลนแรงงานอย่างแท้จริง
หวังชีเกาศีรษะของตนและพูดอย่างเขินอายว่า “เจ้านาย แม่ของข้าเก่งเรื่องงานเย็บปักและยังสามารถตัดเสื้อผ้าได้ด้วย หากให้โอกาสนาง ก็จะมีคนทุ่นแรงได้เช่นกัน”
“แม่ของท่านน่ะหรือ?” เหยียนซีรู้สึกแปลกใจ เพราะเธอได้ยินว่ามารดาสูงวัยของหวังชีสายตาไม่ดีไม่ใช่หรือ?
“ก็ตั้งแต่ข้าหาเงินได้ ก็สามารถเชิญหมอเก่ง ๆ มาปรุงยารักษา เมื่อได้พักฟื้นแล้วสุขภาพของท่านแม่ก็หายดี สายตาก็ไม่มีปัญหาแล้ว งานตัดเย็บเสื้อผ้าจึงไม่มีปัญหา” เขาเห็นว่าพวกหลิวเหิงและทั้งสามกำลังมองมา จึงโบกมืออีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการให้นางทำเงินเพิ่มจากเจ้านายหรอก หากเจ้านายมีตัวเลือกอื่นแล้ว โปรดอย่าใส่ใจเลย…”
หากเป็นงานระยะสั้น เหยียนซีย่อมจะตกลงโดยไม่ลังเลเพื่อเห็นแก่หน้าของหวังชี ทว่าผ้าที่เถ้าแก่เฉินกล่าวถึงนั้น เหยียนซีมักจะบอกให้เขาช่วยดูให้เป็นพิเศษ หากเธอทำได้ดีก็วางแผนที่จะทำกิจการเสื้อผ้านี้ไปอีกนาน ดังนั้นการเลือกผู้ช่วยคนแรกต้องรอบคอบมาก หากในอนาคตมีความจำเป็นจริง ๆ ก็สามารถจ้างผู้ช่วยมาเพิ่มได้
“อาชี จะว่าไปแล้วข้าก็เดินทางเข้าเมืองบ่อยครั้ง ทว่าไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านเจ้าเลยสักครั้ง รออีกสองวันข้าจะไปตลาด แล้วจะไปเยี่ยมแม่ของเจ้าที่บ้านนะ” เมื่อเห็นว่าเหยียนซีเงียบไป นางหวังจึงพูดทำลายบรรยากาศ
หวังชีเข้าใจได้ว่านี่คือการไปสังเกตท่าทีมารดาของตน อีกทั้งเจ้านายเหยียนก็เป็นคนที่ระมัดระวังมาก ๆ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย
หลิวเหิงกลับมาพักที่บ้านเพียงหนึ่งวัน และในวันรุ่งขึ้นเขาก็เดินทางกลับเข้าเมือง
เหยียนซีส่งเขาออกเดินทางในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่นำของว่างไปด้วย ยังมีหมูเส้นและอาหารอื่น ๆ ด้วย เด็กหญิงได้มอบสำเนาหนังสือตี่เป้า*[2]ให้หลิวเหิงอีกจำนวนหนึ่งด้วย
เธอขอให้เถ้าแก่เฉียนช่วยหาคนคัดลอกสิ่งนี้ เนื่องจากในการทำข้อสอบจะต้องเขียนทฤษฎีนโยบายและอื่น ๆ ผู้เข้าสอบจึงจะต้องเข้าใจอุปนิสัยของผู้เขียนคำถามเสมอ หรือที่เรียกว่า ‘ซื้อใจผู้อื่น’ เช่นเดียวกับการเขียนบทความ หากผู้ตรวจข้อสอบชื่นชอบผู้มีวาทศิลป์ ก็จะทำให้ผู้เขียนคำตอบด้วยถ้อยคำราบเรียบนั้นโดนปัดตก
หลิวเหิงก็ได้ยินเรื่องนี้จากคนในสำนักศึกษาของทางการเช่นกัน และเขายังได้อ่านหนังสือตี่เป้าฉบับหลัง ๆ จากเฉินโหย่วฝู ทว่ากองหนังสือตี่เป้าที่เหยียนซีมอบให้นั้นมีฉบับย้อนหลังเกือบทั้งหมดในช่วงสามปีที่ผ่านมา ต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะรวบรวมได้มากเช่นนี้
หากเป็นในอดีต เขาคงอดประหลาดใจไม่ได้ ทว่าตอนนี้เขาไม่แปลกใจเลย เพราะดูเหมือนว่าเหยียนซีต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อนางรู้วิธีซื้อใจคนในการทำกิจการ จากนั้นยังรู้เรื่องการสอบไม่น้อยเลย ซึ่งมันก็ดูสมเหตุสมผล ทว่านางรู้จักหนังสือตี่เป้าได้อย่างไร?
เหยียนซียิ้มและพูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองถงอัน ข้าเคยได้ยินคนเอ่ยถึงหนังสือตี่เป้าในโถงต้อนรับของโรงเตี๊ยมน่ะ”
เธอปรารถนาให้หลิวเหิงสอบผ่าน แต่ไม่สามารถช่วยเรื่องความรู้ที่ลึกซึ้งกว่านั้นได้ ทว่าการช่วยในแง่มุมนี้จะทำให้เขามีพื้นฐานแน่นขึ้น
เหตุผลที่เถ้าแก่เฉียนเต็มใจช่วยมาก ๆ ก็เพราะเธอเสนอตำรับอาหารจากผักกาดดองและถั่วฝักยาวดอง อีกหลายหลายชนิดแก่เขา ซึ่งการที่เขากลายเป็นผู้จัดการใหญ่ของตระกูลเฉิน เขาย่อมมีการติดต่อกับผู้คนมากมาย และมีเส้นสายมากด้วย
คราวนี้นางหวังและเหยียนซีส่งหลิวเหิงไปที่ตำบลชิงหลงเพื่อนั่งเรือโดยสาร เมื่อหลิวเหิงกำลังเดินขึ้นเรือ เขาก็จำจดหมายที่นายอำเภอหงเขียนถึงตนได้ “ซีเอ๋อร์ เจ้าช่วยทำขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะได้หรือไม่? นายอำเภอหงกล่าวว่าครอบครัวของเขาชอบมันมาก”
แม้นายอำเภอหงจะเอ่ยปากว่าต้องการขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะไม่กี่ชิ้น แต่คนแบบเหยียนซีจะไม่รู้จักชั่วดีได้อย่างไร เด็กหญิงจึงสัญญาว่าจะทำมากขึ้นแล้วส่งให้ถือมือผู้รับอย่างแน่นอน
[1] ซั่นฉายถงจื่อ คือ สุธนกุมารที่ช่วยเหลือกวนอิมโพธิสัตว์โปรดสัตว์
[2] หนังสือตี่เป้า คือ หนังสือข่าวที่มีการจดบันทึกพระราชโองการล่าสุด รวมถึงข่าวสำคัญในพระราชสำนัก การปรับเปลี่ยนแต่งตั้งโยกย้ายขุนนาง ข่าวสถานการณ์ศึก เป็นต้น
MANGA DISCUSSION