บทที่ 74 ฤกษ์งามยามดีของตระกูลหลิว
หลังจากที่กิจการเย็บปักถุงเงินเริ่มต้นขึ้น นางหวังก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
หวนนึกถึงอดีต นางต้องพยายามหาเงินเพื่อสนับสนุนการศึกษาของหลิวเหิง ต้องคอยกังวลเรื่องเงินไม่พอใช้ในทุกวัน
ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่เรียกว่าร่ำรวย ทว่าความลำบากใจได้มลายหายไปหมดสิ้น แม้ยังต้องทำงานสร้างรายได้ไม่หยุด แต่นางกลับรู้สึกมีความสุขและมีความรู้สึกถึงความสำเร็จอยู่เสมอ
“ซีเอ๋อร์ ตอนนี้ข้ากลับมายุ่งเหมือนเมื่อก่อน แต่ในใจของข้ากลับรู้สึกสบายขึ้นกว่าเดิม และทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉงขึ้นด้วย” ในคืนหนึ่ง ขณะที่นางกำลังแยกสีด้ายอยู่ในห้อง นางก็พูดกับเหยียนซีเช่นนี้
ในอดีตนั้น เพราะเรื่องของหลิวต้าลี่จึงทำให้นางหวังต้องจมอยู่กับความสิ้นหวัง วันแล้ววันเล่านางได้แต่ภาวนาว่าลูกชายจะกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จ นอกจากการไปเยี่ยมครอบครัวของท่านอาสามเป็นครั้งคราวแล้วนางแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเลย
ตอนนี้ได้เดินทางไปไหนมาไหน ได้มีบทสนทนากับผู้คนมากมาย นางจึงแบ่งปันความรู้สึกแก่เหยียนซี
เหยียนซีตักซี่โครงหมูลงในชามของนางหวังพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ย่อมแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ในเมื่อพี่เอ้อร์หลางได้เป็นนายท่านซิ่วไฉแล้ว ท่านป้าก็สามารถเชิดหน้าในหมู่บ้านได้ ใครเห็นต่างก็เรียกว่าท่านแม่ซิ่วไฉ”
“เจ้าเด็กทะเล้น” นางหวังตีนางเบา ๆ “แต่มันผ่านมาหลายปีแล้วจริง ๆ นะ เพิ่งจะมีตอนนี้ที่ข้ารู้สึกสบายใจและไม่รู้สึกผิดต่อพ่อของเอ้อร์หลางขนาดนั้นแล้ว”
“ท่านป้าออกจะพอใจเร็วไปหน่อย เพราะวันดี ๆ ของเรายังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ”
“ถูกต้อง วันดี ๆ ยังมาไม่ถึง กระนั้นก็ยังต้องขอบคุณเจ้า ซีเอ๋อร์ ในใจของป้าคนนี้ไม่รู้ว่าจะขอบคุณเจ้าด้วยคำใดแล้ว” นางหวังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ท่านป้า ข้ารู้สึกโชคดีที่โดนท่านซื้อตัวมาอยู่เสมอ และข้าเองก็ขอบคุณท่านป้ามาก ๆ เช่นกัน” ในความเป็นจริงแล้วเหยียนซีรู้สึกขอบคุณพระเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด ขอบคุณที่ประทานความสัมพันธ์นี้ให้แก่เธอ
“จริงสิ ท่านป้า หลังจากเทศกาลฉงหยาง*[1] ข้าอยากขอที่ดินด้านข้างจากผู้นำตระกูล ขั้นแรกเราควรล้อมกำแพงแล้วสร้างบ้านหลังคากระเบื้องสามหลังเอาไว้ก่อน” เธอยังเต็มเปี่ยมไปด้วยแก่นแท้ของคนยุคใหม่ ซึ่งมักจะมีความหมกมุ่นอยู่กับบ้าน หากมีที่ดินก็ควรสร้างบ้านและสร้างโกดัง ซึ่งมันจะมีประโยชน์แน่นอน
เนื่องจากตอนนี้พวกเธอกำลังทำกิจการระยะยาวถึงสองอย่างด้วยกัน
กิจการเย็บปักถุงเงินของนางหวังสามารถทำกำไรได้สองตำลึงทุกเดือน หากเป็นครอบครัวธรรมดา มีผลกำไรตลอดครึ่งปีก็เพียงพอแล้ว
สำหรับยอดขายผักดองของเหยียนซีก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เถ้าแก่เฉียนค่อนข้างกล้าได้กล้าเสีย หลังจากที่เขาพบว่ามันขายดีในตัวเมือง เขาก็หยิบยกต้มปลาผักดองเป็นจานยอดนิยมทันที และให้ภัตตาคารเฉินจี้ทุกสาขาในหย่งโจวมีอาหารจานนี้เป็นหลัก
ผลลัพธ์เช่นนี้ ทำให้จากเดิมทีที่เหยียนซีวางแผนส่งออกผักดองสิบไหทุกสิบวัน กลับไม่เพียงพอต่อความต้องการ และตอนนี้เธอได้จัดส่งยี่สิบไหทุกห้าวัน กระนั้นเจ้าของร้านเฉียนยังบ่นว่าน้อยเกินไปและไม่พอขาย
เหยียนซีไม่กล้าแนะนำให้เจ้าของร้านเฉียนคิดค้นอาหารจานใหม่ เพราะไม่อาจรับประกันปริมาณการขนส่งในปัจจุบันได้เลย บัดนี้ลานบ้านของตระกูลหลิวได้ถูกครอบครองแน่นทุกอัตรา ในทุกวันเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็จะเห็นไหผักดองกองพะเนิน ทำให้เธอรู้สึกว่าหัวแทบระเบิด
ในยุคนี้ ผักดองหนึ่งไหมีราคาสี่สิบอีแปะ ผักดองยี่สิบมีมูลค่าแปดร้อยอีแปะ และเธอสามารถทำกำไรได้เกือบห้าตำลึงต่อเดือน ทว่าในฤดูหนาวจะมีผักสดสำหรับให้ดองน้อยลง ส่งผลให้ตอนนี้ต้องตุนสินค้าเอาไว้
ดังนั้น จำเป็นต้องสร้างโกดังสินค้าให้เร็วที่สุดเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต
และนอกจากการร่วมมือกับเจ้าของร้านเฉินและร้านค้าผ้าเฉินจี้ เธอยังนึกถึงการหาหุ้นส่วนใหม่ ๆ รวมถึงสถานที่ด้วย
เหยียนซีต้องการซื้อวัวและซื้อเกวียนเทียมวัว เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อขายสินค้าและขนส่งสินค้า
เมื่อเธอคิดได้เช่นนี้ เด็กหญิงก็รู้สึกว่ายังมีหลายอย่างที่ต้องทำ และทุกสิ่งก็จำเป็นต้องมีสถานที่ที่เอื้ออำนวย
เดิมทีนางหวังคิดว่าการสร้างบ้านจะต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่หลังจากได้ยินการคำนวณของเหยียนซีแล้ว นางกลับกังวลมากกว่าเหยียนซี “เมื่อที่ดินเป็นของเจ้าแล้ว ก็จะก่อสร้างได้ตามใจชอบ เอาไว้ข้าจะไปที่บ้านของหัวหน้าตระกูลแล้วเอ่ยปากเรื่องนี้เอง”
หากเป็นก่อนหน้านี้ นางหวังเป็นเพียงหญิงม่ายตัวคนเดียว นางจะกล้าไปที่บ้านของหัวหน้าตระกูลเพื่อพูดคุยได้อย่างไร ทว่าตอนนี้เมื่อนางไปที่บ้านของหัวหน้าตระกูลหลิว เขากลับไร้ทัศนคติที่ว่าสตรีไม่สามารถพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินว่านางหวังบอกว่ากำลังจะสร้างบ้านบนที่ดินนั้น หัวหน้าตระกูลหลิวจึงหยิบปฏิทินโหราศาสตร์ขึ้นมา หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน เขาก็ช่วยเลือกฤกษ์วันที่สิบสองเดือนเก้าให้นาง “วันที่สิบสองเดือนเก้า เหมาะสำหรับการทุบพื้นกระทุ้งพื้น แต่เจ้าและเหยียนซีอยู่ที่บ้านแค่สองคน ถึงเวลานั้น ข้าจะให้น้องสามของข้ามาดูแล เจ้าก็เพียงเลือกคนในบ้านจำนวนหนึ่งไปทำงาน”
“ต้องรบกวนหัวหน้าแล้ว การมาทำงานให้กับพวกเราก็เหมือนกับการไปทำข้างนอก มีอาหารเลี้ยงทุกวัน และคนงานหยาบจะได้รับค่าแรงยี่สิบอีแปะต่อวัน ต้าจู้ก็เชี่ยวชาญงานด้านนี้ที่สุด เหตุใดไม่ให้เขานำการก่อสร้างเล่า?”
ชีวิตของหัวหน้าตระกูลหลิวนั้นเรียบง่าย นอกจากครอบครัวมีที่ดินสะสมแล้ว ลูกชายและหลานชายของเขาก็เป็นช่างก่ออิฐ ซึ่งหลิวต้าจู้เป็นหลานชายของเขา หลังจากเรียนรู้งานฝีมือจากบิดา ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว
สำหรับช่างก่ออิฐจะได้รับค่าแรงห้าสิบอีแปะต่อวัน รวมเลี้ยงอาหาร
ด้วยทักษะนี้ จึงทำให้ครอบครัวของหัวหน้าตระกูลมีรายได้มากมายตลอดทั้งปี
หัวหน้าตระกูลหลิวได้ยินข้อเสนอของนางหวังในการจ้างหลิวต้าจู้เป็นหัวหน้าช่าง เขาจึงคำนวณเวลา “อืม ข้าจะบอกให้เขาเร่งทำงานปัจจุบันให้เสร็จก่อนวันเหมายัน*[2] เพื่อที่เขาจะได้รับงานนี้”
นางจ้าวยิ้มอย่างมีความสุขและกระตือรือร้นพูดว่า “หากพวกเจ้าไม่มีเวลาทำอาหาร ก็แค่มาเรียกข้าไปช่วย อย่างไรข้าก็อยู่บ้านว่าง ๆ ทุกวัน”
“ขอบคุณหัวหน้า ขอบคุณอาสะใภ้รอง แล้วพวกเราจะมารบกวนท่านแน่นอน”
ขึ้นชื่อว่าการสร้างบ้าน ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ทุกขั้นตอน
กำหนดการเริ่มต้นได้รับมาแล้ว หลังจากหาหัวหน้าช่างฝีมือดีและคนงานหยาบได้แล้ว พวกนางยังต้องเตรียมวัสดุ
โชคดีที่หัวหน้าตระกูลหลิวมีความรอบคอบ เขาบอกให้หลิวต้าจู้มาที่บ้านตระกูลหลิวในวันรุ่งขึ้น หลังจากสอบถามอย่างชัดเจนก็ได้ความว่านางหวังและเหยียนซีวางแผนที่จะสร้างบ้านหลังคากระเบื้องสามหลังเอาไว้เป็นโกดัง เขาจึงเดินไปรอบ ๆ พื้นที่เปิดโล่งด้านข้าง เพื่อคำนวณว่าต้องใช้อิฐกี่ก้อนและกระเบื้องกี่แผ่น จากนั้นจึงไปยังโรงงานเตาเผาที่คุ้นเคยเพื่อนัดหมายวันส่งวัสดุ
เหยียนซีรู้สึกว่าอิฐสีครามสำหรับปูพื้น ผนังสีขาวและกระเบื้องสีเทาคือที่อยู่อาศัยของชาวชนบทตามความคิดของเธอ ดังนั้นเด็กหญิงจึงบอกหลิวต้าจู้ว่าต้องการสั่งอิฐสีคราม
หลิวต้าจู้กลับส่ายหัว “ซีเอ๋อร์ จากมุมมองของข้า คือเราไม่ต้องการอิฐสีครามสำหรับปูทางเดิน ดังนั้นควรสั่งหินแร่สีเขียวก้อนใหญ่ซึ่งมีราคาถูกและใช้งานได้จริง เราเพียงหาคนที่จะขุดเจาะหินได้โดยตรง ซึ่งราคาจะถูกลงสองเท่า”
เมื่อเหยียนซีได้คำนวณบัญชีแล้ว เธอก็สามารถล้มเลิกความคิดที่จะปูทางเดินด้วยอิฐสีครามไปเลย เพราะหากไม่มีเงินเพียงพอ ก็สามารถลดความต้องการลงได้
เด็กหญิงหยิบเงินห้าตำลึงออกมาแล้วมอบให้หลิวต้าจู้ “อาต้าจู้ ตอนนี้พี่เอ้อร์หลางของข้าไม่อยู่บ้าน ข้ากับท่านป้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จึงขอให้ท่านช่วยจ่ายค่าวัสดุที่โรงงานเตาเผา หากว่าเงินเหลือ ท่านช่วยสั่งโอ่งขนาดใหญ่สองสามใบจากเตาเผาให้ข้าด้วยเถิด”
หลิวต้าจู้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของเหยียนซีมีค่าเท่ากับเงินห้าตำลึงเลยทีเดียว “พอสิ พอแน่นอน จะสั่งโอ่งใหญ่อีกสิบใบก็พอ เพราะข้าคุ้นเคยกับโรงงานเตาเผาและราคาของที่นั่นก็ต่ำกว่าท้องตลาด” ในขณะที่พูด เขาก็ต้องการที่จะแยกเงินออกและส่งคืนให้กับเหยียนซี
“อาต้าจู้ อย่าเพิ่งรีบคืนเงิน ถ้ามีอันใดเพิ่มเติมหลังจากเริ่มก่อสร้างแล้วจะทำอย่างไร ท่านรับห้าตำลึงไปก่อน แล้วเราค่อยมาคำนวนหลังจากที่สร้างบ้านเสร็จแล้ว ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
หลิวต้าจู้ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าการคำนวณของตนแม่นยำ เมื่อได้ยินคำพูดของเหยียนซี เขาก็รู้สึกโล่งใจมาก จึงพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ท่านปู่ของเขากำชับเอาไว้แล้วว่าต้องทำงานให้ดี และการเดินทางมายังตระกูลหลิวครานี้ เขาจะคิดแค่เรื่องหาเงินไม่ได้
เหยียนซีส่งมอบเรื่องสำคัญนี้เสร็จ นับเป็นการแบ่งเบาภาระของเธอและนางหวังได้มาก จากนั้นก็ได้ทำตามคำแนะนำของหลิวต้าจู้ โดยจ้างชายหนุ่มที่แข็งแกร่งจากหกหมู่บ้านใกล้เคียงมาทำงานหยาบ ส่วนหลิวต้าจู้เป็นหัวหน้าช่าง เขายังนำเด็กฝึกงานสองคนมาช่วยอีกด้วย
ทุกครั้งที่ท่านอาสามจะมานั่งคุมงาน โดยช่วยดูเรื่องความคืบหน้าของการสร้างและดูแลแรงงาน
นางหวังไม่คิดจะรบกวนผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์ นางจะพาเหยียนซีไปเตรียมอาหารเสมอ
ในวันเทศกาลฉงหยาง หลิวเหิงไม่สามารถกลับบ้านได้ เขาจึงเขียนจดหมายถึงหัวหน้าตระกูลหลิวโดยตรง เนื้อหาระบุอย่างชัดเจนว่าเขาไม่สามารถกลับบ้านเพื่อช่วยงานได้ จึงขอฝากให้หัวหน้าตระกูลหลิวช่วยดูแลบ้านแทนตน ซึ่งหลังจากที่หัวหน้าตระกูลหลิวได้รับจดหมายแล้ว เขาก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของตนกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก
[1] วันผู้สูงอายุ 9 เดือน 9
[2] กลางคืนยาวนานที่สุด
MANGA DISCUSSION