บทที่ 73 ของขวัญวันเกิดจากต่างมิติเวลา
วันรุ่งขึ้น เข้าสู่วันที่สิบหกเดือนแปด
นางหวังตื่นแต่เช้าตรู่ และกำลังยุ่งอยู่ในครัว
เหยียนซีคิดว่าเพราะวันนี้หลิวเหิงต้องกลับไปเรียนต่อที่ตัวเมือง นางหวังอาจจะยังทำใจแยกจากไม่ได้ ดังนั้นนางจึงตื่นแต่เช้ามาทำความสะอาดเพื่อให้ยุ่งเข้าไว้
หลังจากที่เธอซักผ้าเสร็จแล้วเดินเข้ามา ก็พบว่าบนโต๊ะแปดเซียนในห้องหลักมีชามบะหมี่สามชามฝีมือนางหวังวางไว้แล้ว
ชามของนางหวังและหลิวเหิงมีเส้นบะหมี่ราดหน้าด้วยผักและหมูเส้น
ส่วนในชามของเหยียนซี นอกจากราดด้วยหมูเส้นกับผักแล้ว ยังมีไข่แดงแฝดอีกหนึ่งคู่ ทำให้ในชามใหญ่พูนขึ้นอีกจนเป็นเนินเล็ก ๆ
ไข่แดงแฝดคู่นี้ได้จากแม่เป็ดเมื่อสองสามวันก่อน เธอไปเก็บมันขึ้นมาและแสดงให้นางหวังดู ตอนนั้นนางหวังบอกว่าไข่แดงแฝดดีต่อสุขภาพ เธอจึงเก็บไข่แดงเหล่านั้นไว้ โดยคิดว่ามันดีต่อหลิวเหิง แต่ไม่คาดคิดว่านางหวังจะเอามาทำให้เธอกินวันนี้แทน
นางหวังส่งตะเกียบไปที่มือของเหยียนซีพลางเอ่ย “ซีเอ๋อร์ ลองชิมบะหมี่ฝีมือข้าสิ วิธีทำไข่ดาวนี้ยังได้เรียนรู้จากเจ้า แต่ข้าไม่รู้ว่ามันรสชาติเป็นอย่างไร ในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ก็ต้องกินบะหมี่อายุยืนชามนี้ให้หมดนะ”
เหยียนซีชะงัก เนื่องจากว่างานยุ่ง เธอจึงลืมวันเกิดของตนไปนานแล้ว แต่พอได้ยินคนพูดถึงก็พลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตน
วันเกิดของเธอ บังเอิญเป็นวันเดียวกับเจ้าของร่างเดิมด้วย
หลิวเหิงกล่าวขอโทษ “ท่านแม่ไม่ได้บอกข้าล่วงหน้า ข้าจึงยังไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้เจ้าเลย”
“เจ้าค่อยส่งของขวัญวันเกิดมาจากในเมืองก็ได้” นางหวังเตือนสติแล้วหันไปถามเหยียนซีต่อ “บะหมี่รสชาติเป็นอย่างไร? ฝีมือทำอาหารของป้าไม่ดีเท่ากับเจ้า จึงเกรงว่าบะหมี่จะไม่อร่อยน่ะ”
“ไม่เป็นเช่นนั้นเลย มันอร่อยมาก บะหมี่ฝีมือท่านป้าอร่อยที่สุด” เหยียนซีหยิบตะเกียบคีบบะหมี่ขึ้นมาแล้วยัดเข้าปาก
“อย่ากัดเส้นบะหมี่ให้ขาดก่อน ต้องเอาเข้าปากแล้วถึงจะกัดนะ” เมื่อเห็นนางเริ่มเม้มปาก นางหวังก็รีบออกคำสั่ง
เหยียนซีจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยัดเข้าปากให้เต็มแล้วสูดเส้นเข้าไปทีละน้อย ทว่าเธอสูดเร็วเกินไปจึงส่งเสียงดังเป็นระยะ
แค่บะหมี่ชามเดียวก็อิ่มมากแล้ว แม้ว่าไข่ดาวฝีมือนางหวังจะสุกเกินไปหน่อย แต่เหยียนซีก็ยังกัดทีละคำทีละคำ และในที่สุดก็ซดน้ำซุปบะหมี่หมดเกลี้ยง
นางหวังวางชามและตะเกียบลงอย่างมีความสุข แล้วนางก็หยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมา “ปิ่นปักผมนี้ ข้าซื้อมาจากร้านขายเครื่องเงินเก่าในเมือง เจ้าชอบหรือไม่?”
ภายในกล่อง มีปิ่นปักผมหุ้มด้วยเงินที่ปลายทั้งสองด้าน ตรงปลายของปิ่นนั้นแกะสลักลวดลายดอกโบตั๋นสีเงิน ซึ่งดูแวววาวมาก
“สวยมาก สวยมาก ๆ เลย”
“ลองปักดูสิ” นางหวังช่วยปักปิ่นลงไปที่มวยผมของเหยียนซีพลางมองพิจารณา “มันดูล้าสมัยไปบ้าง คราวหลังป้าจะซื้อปิ่นหยกให้ ข้าเคยเห็นฮูหยินรองของตระกูลหนิวใช้ปิ่นปักผมหยก มองแล้วให้ความรู้สึกอ่อนเยาว์สดใสเป็นพิเศษ”
“เจ้าหาเงินเข้าครอบครัวมากขนาดนี้ ข้าก็ควรจะซื้อปิ่นที่ดีกว่านี้ให้ด้วย อย่างไรหญิงสาวก็ควรจะสวมใส่เครื่องประดับบ้าง” เมื่อนึกถึงเงินที่เหยียนซีหามาได้จากการทำงานหนัก นางหวังก็รู้สึกผิดไม่น้อย เพราะเงินที่นางใช้ ก็เป็นเงินที่ซีเอ๋อร์มอบให้ทั้งสิ้น
“ท่านป้า ปิ่นปักผมนี้ก็สวยมากแล้ว ข้าชอบมาก ๆ ” เหยียนซีสัมผัสปิ่นปักผมและเอนกายเข้าไปซบแขนของนางหวัง “ขอบคุณท่านป้า ข้าไม่เคยมีปิ่นปักผมที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลย”
หลิวเหิงจำได้ว่าเมื่อคืนนางสะอื้นไห้เพราะคิดถึงมารดา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของเหยียนซีอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทั้งนางหวังและเหยียนซีกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง เขาจึงแสร้งบ่น “ท่านแม่ วันนี้ข้าต้องออกเดินทางแล้ว ทว่าท่านมัวแต่ยุ่งกับการฉลองวันเกิดของซีเอ๋อร์ ท่านไม่ช่วยจัดกระเป๋าให้ข้าด้วยซ้ำ”
เหยียนซียืดตัวขึ้นจากแขนของนางหวังอย่างเขินอาย เธอพบว่ามือของหลิวเหิงอยู่บนศีรษะของตนอีกครั้ง เดิมทีวันนี้เธอตั้งใจทำทรงผมแบบมวยห่วง แต่เขากลับสัมผัสราวกับลูบขนลูกแมวหรือลูกสุนัข ทำให้ผมเธอยุ่งเหยิงไปเลย
หลิวเหิงโดนเหยียนซีจ้องเขม็ง เขาจึงชักมือออก และในจังหวะที่เขาดึงมือกลับไปก็เผลอเกี่ยวปลายผมของนางด้วย
เมื่อเห็นพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ ของเขา นางหวังก็รีบตีหลังมือของบุตรชาย “วันนี้ผมของซีเอ๋อร์งดงามมาก ห้ามทำให้ยุ่งเด็ดขาด ส่วนกระเป๋าสัมภาระของเจ้าถูกเก็บเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อีกทั้งหวังชีต้องเข้าเมืองเพื่อส่งสินค้าทุก ๆ สิบวัน หากเจ้าต้องการอันใด ก็แค่ส่งข้อความกลับมาพร้อมเขาก็พอ”
หลิวเหิงโอดครวญสองสามครั้ง เมื่อรอจนกระทั่งหวังชีมาถึงหน้าบ้าน ทั้งสามคนก็ช่วยกันยกสัมภาระและส่งเขาออกจากบ้าน
เจ้าของร้านเฉียนส่งเรือมาสำหรับขนส่งผักดองอยู่แล้ว หลิวเหิงจึงไม่จำเป็นต้องนั่งเรือโดยสารอีกต่อไป เพียงแค่นั่งเรือบรรทุกสินค้าเข้าตัวเมืองหลักก็พอ
เมืองถงอันตั้งอยู่ไกลจากบ้าน คราวนี้เขาต้องเตรียมสัมภาระมากขึ้น และนางหวังยังเตรียมเครื่องนอนให้เป็นสองชุด
นางหวังกอดผ้านวม เหยียนซีถือห่อเสื้อผ้าของเขา ส่วนหลิวเหิงสะพายกล่องหนังสือไว้บนหลัง จากนั้นก็เดินไปยังเกวียนเทียมวัวที่มีหวังชีขับไปขนส่งสินค้า
หวังชีรีบกระโดดลงจากเกวียนเพื่อช่วยเหลือ “นายจ้าง ข้าช่วยเอง” เขาหยิบห่อเสื้อผ้าในมือของเหยียนซี จากนั้นรับผ้านวมจากมือของนางหวัง ส่วนหลิวเหิงกำลังกอดกล่องหนังสือและนั่งลงที่มุมหนึ่งของเกวียนเทียมวัวแล้ว
คราวนี้เหยียนซีไหว้วานให้หวังชีนำผักดองอีกหกไหไปด้วย มาดูกันว่ายอดขายของภัตตาคารเฉินจี้จะเป็นอย่างไรบ้าง หากไม่เป็นไปตามเป้า เธอก็วางแผนที่จะสอนพ่อครัวทำอาหารเพิ่มเติมอีกสองสามชนิดเพื่อเพิ่มยอดขายผักดอง
เด็กหญิงยืนอยู่ริมถนน พร้อมกำชับหวังชีว่าควรจะคุยกับเจ้าของร้านเฉียนอย่างไร
ด้วยความสูงของเหยียนซีอยู่เหนือเอวของหวังชีเท่านั้น และเพื่อจะได้ยินคำพูดของเด็กหญิงอย่างชัดเจน หวังชีก็ก้มจนแทบจะหมอบ
ยามที่หลิวเหิงทอดมองภาพนั้น กลับรู้สึกว่าเหยียนซีช่างบอบบาง คล้ายว่าจะสลายไปเหมือนหมอกควัน ทว่าในพริบตาเดียวเขาก็สงบลงและกลับมามีสมาธิอีกครั้ง
นางหวังยังขอให้หวังชีช่วยส่งหลิวเหิงให้ถึงสำนักศึกษา พร้อมกำชับให้หลิวเหิงเขียนจดหมายส่งกลับบ้านบ่อยขึ้น
หัวหน้าตระกูลหลิวและคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านได้ยินว่าหลิวเหิงกำลังจะกลับเข้าเมืองแล้ว พวกเขาจึงรีบวิ่งมาส่ง พอเห็นว่ามีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลิวเหิงจึงเร่งเดินทางทันที
การที่สมาชิกคนหนึ่งหายไปจากครอบครัวอย่างกะทันหัน จึงทำให้ทั้งนางหวังและเหยียนซีรู้สึกเคว้งเล็กน้อย
ความจริงแล้ว คือหลังจากที่หลิวเหิงหายป่วยในปีนี้ เขาก็ไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากนัก อดีตต้องศึกษาเล่าเรียนอยู่ในอำเภอหมิงสุ่ย ส่วนนางหวังกับเหยียนซีก็ยุ่งกับกิจการ ในตอนนั้นจึงไม่มีเวลาที่จะรู้สึกเศร้ายามจากลา
เหยียนซีนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่กับงานเย็บปักถักร้อยของนางหวังเป็นเวลาครึ่งวัน จากนั้นก็กระโดดลุกขึ้นมา เด็กหญิงคิดว่าการพวกเธอไม่สามารถร่ำรวยและยึดอาชีพนี้ได้ เนื่องจากพื้นฐานของครอบครัวยังค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ยังต้องทำงานหนักกว่านี้
เธอไปคัดแยกเศษผ้าที่นำกลับมาจากร้านเย็บปักเฉินจี้ในตัวเมืองหลัก และตัดผ้าแต่ละชิ้นตามขนาดของผ้าที่จำเป็นสำหรับทำถุงเงิน จากนั้นก็หารือกับนางหวังและวางแผนที่จะจ้างคนมาเย็บปักถุงเงิน
แม้นางหวังจะไม่ค่อยได้ออกไปไหน ทว่าเรื่องที่ภรรยาบ้านไหนเย็บปักถักร้อยได้ดี หรือคนจากครอบครัวใดที่ขยันและไม่พูดมาก นางย่อมชัดแจ้งอยู่ในใจ ทั้งสองจึงตกลงกันและเลือกสตรีออกเรือนแล้วได้จำนวนหลายคน
สำหรับถุงเงินหนึ่งใบ สามารถขายได้ราคาห้าอีแปะ หากงานปักมีความประณีตเป็นพิเศษก็จะราคาสูงขึ้น กล่าวอีกนัยคือราคาแปรผันตามคุณภาพงาน
เหยียนซีตั้งใจว่าจะจ้างช่างปักถุงผ้าในราคาสองอีแปะ เธอได้กำไรสามอีแปะ เช่นนี้จะเบาแรงได้มากทีเดียว
นางหวังเก่งการเย็บปักถักร้อยอยู่แล้ว นางจึงจับคู่ของสีผ้าและเส้นด้ายงดงามนัก จากนั้นก็ออกแบบลวดลายให้บรรดาแม่บ้านทำตาม
ถุงเงินขนาดเล็กเช่นนี้ สามารถปักได้สามถึงสี่ใบต่อวัน สำหรับผู้ที่มือเท้าว่องไวก็จะสามารถทำเงินได้สิบกว่าอีแปะโดยไม่ต้องออกไปไหน ภายในสองวันก็สามารถซื้อเนื้อสัตว์สักหนึ่งชั่ง ซึ่งสำหรับชาวบ้านแล้วนี่ไม่ใช่รายได้เล็กน้อยเลย
หลังจากทำผักดองแล้ว ตระกูลหลิวก็หาช่องทางสร้างรายได้มาสู่ครอบครัวอีกหนึ่งทาง
สำหรับบางครอบครัวที่ไร้ฝีมือจนไปปักถุงเงินไม่ได้ ก็ทำได้แค่นินทาแสดงความอิจฉาลับหลัง โดยทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ คนอื่นนำหน้าไปหลายก้าวแล้ว
เนื่องจากผลประโยชน์ที่จับต้องได้เช่นนี้ จึงทำให้ชาวบ้านทวีความเคารพตระกูลหลิวมากขึ้น และเต็มใจที่จะเข้าหามากกว่าเดิม
หลังจากที่นางหวังได้ตั้งแผงขายน้ำชาแล้ว บัดนี้นางก็พบความหลงใหลในการทำงานและสร้างรายได้อีกครั้ง วันนี้นางสนทนาเรื่องการปักถุงเงิน พรุ่งนี้คิดเกี่ยวกับวิธีการจับคู่สี เรียกได้ว่ายุ่งมากจนเท้าไม่แตะพื้น ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่คลาย
MANGA DISCUSSION