บทที่ 72 ยามเทศกาลถวิลถึงบ้าน
หลังจากมอบของขวัญแล้ว สองแม่ลูกตระกูลหลิวก็ใช้เวลาในเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างสงบสุข
สำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหยียนซี หรือแม้แต่สองแม่ลูกตระกูลหลิวกว่าจะได้ผ่อนคลายก็ยากนัก
กระนั้นพอได้ว่างจากงาน เหยียนซีก็ไม่ยอมอยู่เฉย เด็กหญิงวางแผนที่จะปรุงอาหารเรียกน้ำย่อยเสียหน่อย
หลิวเหิงเก็บซานจาได้กว่าหนึ่งตะกร้า ซึ่งเหยียนซีก็ใช้ทำวุ้นซานจาไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ส่วนที่เหลืออีกครึ่ง เธอวางแผนที่จะใช้ทำถังหูลู่
เดิมทีก็มาอยู่ในยุคนี้นานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่เคยเห็นถังหูลู่ขายตามท้องถนนเลย สาเหตุคงเป็นเพราะน้ำตาลมีราคาแพงเกินไป ถ้าขายราคาถูกก็ยังพอมีคนยอมเสียเงินซื้อ แต่ถ้าแพง ก็ไม่ค่อยมีใครอยากซื้อแน่นอน
อันที่จริงแล้ว ถังหูลู่นั้นค่อนข้างที่จะทำง่าย เหยียนซีก็เคยลองทำตามสูตร และตอนนั้นยังเป็นช่วงเทศกาลอีกด้วย เธอลองทำได้หนึ่งจานและนำไปที่บริษัทเพื่อแบ่งปันให้ทุกคนได้ชิม
ส่วนซานจาที่หลิวเหิงเก็บมานั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเลือกแต่ลูกที่มีขนาดใหญ่ทั้งหมด
เหยียนซีเทซานจาลงในอ่างไม้ล้างหน้าเพื่อล้างให้สะอาด หลังจากทำความสะอาดแล้วต้องเหลาไม้ไผ่มาเสียบลูกซานจา
แน่นอนว่าการตัดไม้ไผ่เป็นงานหนัก เหยียนซีค้นเจอมีดที่เหมาะจะเหลาไม้ไผ่แล้วไปเลือกไม้ไผ่มาสองสามท่อน จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะเหลาเอง
แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ถูกโรคกับงานฝีมือ ทำให้หลังจากเหลาอยู่นานสองนาน ไม้ไผ่ก็ยังหนาเท่านิ้วก้อยอยู่ดี
หลิวเหิงมองอยู่พักหนึ่ง จึงตัดสินใจเอื้อมมือจะไปหยิบมีดเหลาไม้ไผ่พลางเอ่ย “เจ้าอยากได้ขนาดเท่าไร?”
“ข้าทำเองได้” เหยียนซีกำมีดเหลาไม้ไผ่และไม่ยอมปล่อย
“รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าใช้แรงไปแค่ไหนแล้ว? ข้าทำงานประเภทนี้ได้ดีกว่า” หลิวเหิงจ้องมองนางด้วยความโกรธ “รู้ว่าเจ้าน่ะเก่ง ทว่าจำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมดเลยหรือ?”
“ซีเอ๋อร์ ยากนักที่เขาจะมีโอกาสได้อยู่บ้าน เจ้าก็ปล่อยให้เขาทำงานหยาบแบบนี้ไปเถิด ไม้ไผ่มีเสี้ยนมาก จงระวังมือของเจ้าก็พอ” นางหวังพูดอยู่ข้าง ๆ
เหยียนซีจึงไร้ทางเลือกอื่นนอกจากยอมปล่อยมือพลางอธิบายต่อหลิวเหิงว่าควรเหลาไม้ไผ่ให้ได้อย่างไร
หลิวเหิงเป็นคนเข้าใจง่าย เขาพยักหน้าแล้วไปนั่งข้าง ๆ พลางเริ่มเหลาไม้ไผ่
แน่นอนว่าเขามีเรี่ยวแรงมากกว่า ขั้นตอนของการตัดไม้ไผ่นั้นจึงรวดเร็วและเรียบร้อย ซึ่งเร็วกว่าเหยียนซีมาก
เหยียนซีจึงย้ายไปที่เตาเพื่อเคี่ยวน้ำเชื่อม โดยเด็กหญิงเคี่ยวน้ำตาลให้เกือบจะเดือด แล้วจึงรีบหยิบไม้เสียบขึ้นมาเสียบซานจาสองลูก จากนั้นนำลงไปกลิ้งคลุกกับน้ำเชื่อม เมื่อเห็นว่าซานจาถูกเคลือบด้วยน้ำเชื่อมหมดแล้ว เธอก็หยิบขึ้นมาวางบนจานด้านข้าง
น้ำเชื่อมเย็นและแข็งตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อปล่อยให้แห้งสักครู่ ถังหูลู่เสียบไม้ก็พร้อมรับประทานแล้ว
เหยียนซีเคลื่อนไหวว่องไว จึงใช้เวลาไม่นานในการทำถังหูลู่ได้เต็มจาน
นางหวังลองชิมแล้วออกความเห็นว่า “มีรสเปรี้ยวไม่น้อยเวลากิน ทว่าก็อร่อยเช่นกัน” นางหลับตาลงขณะเคี้ยว เห็นได้ชัดว่ารู้สึกเปรี้ยวเกินไป “วุ้นซานจานั้นรสดีกว่า ทว่าเจ้านี่ก็อร่อยอยู่นะ”
นางกลัวว่าจะทำให้เหยียนซีผิดหวัง จึงบอกว่ามันอร่อยถึงสองครั้งสองคราและกินซานจาเคลือบทั้งสองผลอย่างรวดเร็ว
แต่โดยพื้นฐาน นางหวังก็ไม่ชอบของเปรี้ยวเกินไปอยู่แล้ว
เหยียนซียิ้มเอ็นดูและรู้สึกประทับใจในคราวเดียวกัน “ท่านป้า ถ้าเช่นนั้นท่านก็กินวุ้นซานจาให้เยอะ ๆ เลย”
หลิวเหิงยังได้ลองชิมถังหูลู่เข้าไปหนึ่งคำ “รสเปรี้ยวและหวาน เรียกน้ำย่อยได้ดีนัก”
การวิจารณ์นี้ค่อนข้างเป็นกลาง และเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นที่นิยมเท่าขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ
ในยามราตรี กระต่ายหยกนำโชคปรากฏขึ้นบนดวงจันทร์ทิศตะวันออก และทุกครัวเรือนจุดธูปไหว้พระจันทร์
นางหวังเตรียมโต๊ะเครื่องหอมเพื่อให้เหยียนซีได้บูชาในลานบ้าน
เล่าขานกันว่า ในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ หากสตรีนางใดบูชาพระจันทร์ นางจะมีความเฉลียวฉลาดและยังสามารถขอลูกเขยผู้สูงศักดิ์ได้ด้วย
แม้ว่าเหยียนซีจะไม่เชื่อ แต่เด็กหญิงก็ไม่สามารถขัดขวางความเชื่อของนางหวังได้ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากคุกเข่าลงบนฟูกพร้อมกับธูปสามดอกในมือพลางนั่งฟังนางหวังสวดมนต์อยู่ด้านข้าง เสร็จแล้วก็คำนับแล้วคำนับอีก จากนั้นลุกขึ้นไปปักธูปในกระถางธูป
เมื่อโต๊ะเครื่องหอมถูกนำออกไปแล้ว ก็จัดการวางขนมไหว้พระจันทร์และขนมอบต่าง ๆ เหยียนซียังไปชงชาหอมหมื่นลี้กลิ่นหอมหวาน และทั้งสามคนก็นั่งชมพระจันทร์ในลานบ้านด้วยกัน
สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ในลานบ้านต้องมีจิ้งหรีดตัวหนึ่งซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง และมันยังส่งเสียงร้องระงมไม่หยุด
รอยยิ้มของนางหวังอาบไล้ไปทั่วใบหน้า “ข้าไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้มีวันที่แสนผ่อนคลายเช่นนี้”
“เพื่อลูกชาย ท่านแม่จึงทำงานหนักมาหลายปีแล้ว” หลิวเหิงคิดว่าเพื่อที่จะผลักดันการศึกษาของเขา นางหวังจึงทำงานหนักชนิดหามรุ่งหามค่ำ
นางหวังยิ้มตอบ “ขอเพียงเจ้าตั้งใจเรียน แม่ก็เต็มใจเหนื่อย ทว่าเจ้าควรขอบคุณซีเอ๋อร์มากกว่า เพราะหากไม่มีนาง ถึงแม่จะยอมให้เจ้าเรียนก็เถิด แต่เกรงว่ามันจะไม่ง่ายแบบนี้เลย”
“ขอรับ ขอบคุณเจ้ามากนะซีเอ๋อร์ ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของเจ้า” หลิวเหิงมองไปที่เหยียนซีแล้วกล่าวขอบคุณ
เหยียนซีกำลังดื่มชาหอมหมื่นลี้ เมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของหลิวเหิงแบบกะทันหัน เธอก็สำลักออกมา “แค่ก แค่ก…” เด็กหญิงไอติดต่อกันหลายครั้ง
นางหวังช่วยทุบหลังให้เบา ๆ “เหตุใดจึงสะเพร่านัก รีบจิบน้ำตามเร็วเข้า”
หลังจากที่เหยียนซีจิบน้ำเสร็จแล้ว นางหวังก็จับไหล่ของนางแล้วพูดว่า “ตอนนี้ซีเอ๋อร์มีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างแล้ว จำได้ว่าตอนเจ้ามาที่นี่ครั้งแรก มือของข้าจะสัมผัสได้ถึงกระดูกบนหลังเจ้าชัดเจนนัก”
ใช่แล้ว เพราะหลังจากได้กินอิ่มนอนหลับ เหยียนซีก็ดูไม่ซีดเซียวและผอมแห้งอีกต่อไป ตอนนี้ใบหน้าของนางมีความอิ่มเอิบ ผิวพรรณขาวใสและอ่อนนุ่มขึ้น ความสูงก็มากตาม สำหรับเสื้อผ้าที่นางหวังเปลี่ยนให้เมื่อมาที่นี่ครั้งแรก ในตอนนี้พอนางสวมแล้วก็จะเผยมือและเท้าให้เห็นชัดเจน
“ท่านป้า ในอนาคตพวกเราจะมีชีวิตที่ราบรื่นขึ้นแน่นอน และเมื่อพี่เอ้อร์หลางได้รับเลือกให้เป็นจิ้นซื่อ ท่านก็จะได้เป็นเก้ามิ่งเหล่าฮูหยินแล้ว*[1]”
“ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก” นางหวังยิ้มพลางส่ายศีรษะ “เจ้าดูละครงิ้วมากไปแล้ว บรรดาศักดิ์เก้ามิ่งได้มาง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? อย่างไรก็เถิด หากเอ้อร์หลางสามารถเป็นจิ้นซื่อได้จริง ก็อย่าลืมสร้างหลุมศพของท่านพ่อเจ้าใหม่และขยายให้ใหญ่ขึ้นด้วย”
บัดนี้ หลุมฝังศพของหลิวต้าลี่อยู่ที่สุสานบรรพบุรุษ ทว่าหลุมฝังศพมีขนาดเล็ก และนางหวังก็รู้สึกผิดอยู่เสมอ
ส่วนหลิวเหิงย่อมพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อเข้านอนตอนกลางคืน เนื่องจากเข้านอนช้ากว่าปกติ ทำให้เหยียนซีรู้สึกนอนไม่หลับ เธอจึงนั่งหมอบอยู่ข้างหน้าต่างห้องพลางทอดมองไปที่ดวงจันทร์สว่างไสวบนท้องฟ้า ทอแสงสว่างราวกับเป็นเวลากลางวันที่ลานบ้าน
ได้เงยหน้ามองจันทรา พลันก้มศีรษะและคิดถึงบ้านเกิด
ช่างน่าเสียดายที่เธอไม่สามารถหวนคืนบ้านเกิดได้อีกต่อไป
ทว่านอกจากวิถีชีวิตที่สะดวกสบายแล้ว ในยุคสมัยนั้นก็ไม่มีเรื่องใดให้เธอได้ถวิลหา ยังมีภาพหลุมฝังศพของมารดาที่ถูกฝังในหมู่บ้าน แล้วเช่นนั้นในทุกเทศกาลเชงเม้ง ใครจะคอยทำหน้าที่เติมดินหนึ่งกำมือลงบนหลุมฝังศพของมารดา รวมถึงการกำจัดวัชพืชเหล่านั้นเล่า?
“ซีเอ๋อร์ แม่ไม่สามารถอยู่เห็นลูกเติบโตได้แล้ว หลังจากนี้ ลูกต้องดูแลตัวเอง…”
ในตอนที่มารดากำลังจะตาย ยังคงกังวลว่าลูกสาวจะใช้ชีวิตอย่างไรเพราะยังเด็กเหลือเกิน ในตอนนั้นทุกสรรพเสียงเงียบงัน มีเพียงคำสั่งเสียสั้น ๆ ดังขึ้นมา “แม่…” เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ แต่เธอก็ต้องยกมือปิดปากไว้ให้แน่นเพื่อกลบเสียงสะอื้นทั้งหมด
หลิวเหิงตื่นขึ้นมากลางดึกและได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ จากห้องปีกตะวันตก พลันสงสัยว่าเหยียนซีกำลังร้องไห้หรือ? ทว่าสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะนางมักจะยิ้มอยู่เสมอและดูเหมือนไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด
“ซีเอ๋อร์…” เขาเดินมาอยู่ริมหน้าต่างและเรียกอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
เหยียนซีที่ฟุบอยู่กับแขนก็เงยหน้าขึ้นมา ปลายจมูกของนางแดงเล็กน้อย และเห็นหลิวเหิงยืนอยู่หน้าหน้าต่างห้องตน เด็กหญิงจึงพึมพำตอบเสียงเบา
“เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด?”
“ข้าคิดถึงท่านแม่” เหยียนซียังคงตอบเสียงแผ่ว
หลิวเหิงเอื้อมมือไปแตะศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “อย่าร้องไห้เลย”
ความเห็นอกเห็นใจและความเวทนาเอ่อล้นในหัวใจของเขา เพราะเขากับซีเอ๋อร์ไม่แตกต่างกันเลย ล้วนเคยได้ลิ้มรสความเจ็บปวดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักไป นางยังน่าสงสารยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก เพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีบิดาแล้ว ทว่าก็ยังมีมารดาคอยอยู่เคียงข้างและมอบความรักอย่างสุดซึ้งให้
เขาลูบศีรษะของนางอีกครั้งพลางเอ่ย “อย่าร้องไห้เลย พ่อแม่ของเจ้าก็ย่อมหวังจะได้เห็นเจ้ามีชีวิตที่ดี นับจากนี้ไป ที่นี่คือบ้านของเจ้า และแม่ของข้าก็ยกให้เป็นแม่ของเจ้าครึ่งหนึ่งด้วย”
คำนี้ ถ้าได้ฟังในเวลาปกติ เหยียนซีจะต้องหัวเราะเยาะในความเป็นเด็กของเขาแน่นอน ทว่าการได้ฟังตอนนี้ กลับรู้สึกเหมือนเป็นการไถ่ถอนและปลอบโยน
บ้านที่ไม่มีอยู่ในยุคที่เธอจากมา ทว่ามีอยู่ในสมัยโบราณ เช่นนี้ จะเรียกว่าความสมบูรณ์แบบได้หรือไม่?
กระนั้นเหยียนซีก็พยักหน้า
“ดึกแล้ว รีบเข้านอนเถิด” หลิวเหิงดันหลังของนางให้ออกไปจากริมหน้าต่าง
คืนนี้ เหยียนซีรู้สึกว่านอนหลับสบายมากเป็นพิเศษ
[1] สตรีบรรดาศักดิ์
MANGA DISCUSSION