บทที่ 71 ผู้ที่คุ้มกายจากลมฝน
เหยียนซีโรยแป้งข้าวเหนียวลงบนพิมพ์อย่างสม่ำเสมอทั่วกัน จากนั้นนำก้อนแป้งที่ยัดไส้แล้วใส่ในพิมพ์พร้อมกับออกแรงกดพอดี ๆ
แป้งสีขาว แดง เหลือง และดำ เรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ไส้ข้างในมองเห็นได้อย่างเลือนรางผ่านผิวที่บางใสราวกับน้ำแข็ง มองดูแล้วหน้าตาสวยงามน่าทานเป็นอย่างมาก
เหยียนซีเลือกขนมไหว้พระจันทร์ไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็มขึ้นมาผ่าครึ่ง จากนั้นแบ่งกับนางหวังทาน
นางลองชิมดูหนึ่งคำ ถึงแม้จะขาดรสชาติของนมไป ทว่ารสชาติของไข่แดงเค็มมีกลิ่นหอมมาก นับว่ารสชาตินี้อร่อยเป็นอย่างมาก
นางหวังสังเกตดูรอบ ๆ ผิวของขนมไหว้พระจันทร์ จากนั้นลองชิมดูคำเล็ก ๆ หนึ่งคำ “ผิวของขนมนี้หน้าตาสวยงามจริง ๆ ” ว่าแล้วก็ลองชิมดูอีกคำ “เดิมทีข้านึกว่ามันมีทั้งรสหวานและเค็ม คงไม่เข้ากันนัก ที่ไหนได้อร่อยไม่เบาเลย ซีเอ๋อร์ฉลาดจริง ๆ ต้องขอบคุณเจ้าที่คิดค้นไส้เช่นนี้ออกมาได้”
เหยียนซีได้เพียงแค่หัวเราะไปหนึ่งที รับความชอบไว้เสียเอง
น่าเสียดายที่นี่ไม่มีกล่องขนมไหว้พระจันทร์ที่ประณีตงดงาม ดังนั้นเด็กหญิงจึงทำได้เพียงเลือกกล่องกระดาษที่ดูสวยงามมากล่องหนึ่ง ข้างในใส่ใบงาขี้ม้อนลงไปชั้นหนึ่ง จากนั้นก็นำถุงเงินที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกหอมหมื่นลี้แขวนไว้บนตะกร้า
ถือขึ้นมาไว้ในมือ เด็กหญิงถามนางหวังอย่างภาคภูมิใจ “ท่านป้า เป็นอย่างไร? สวยหรือไม่?”
“สวย สวย ที่ขายอยู่ข้างนอกไม่ประณีตเช่นนี้” นางหวังชมเปาะ
หลิวเหิงกลับมาพร้อมกับซานจาที่เก็บมาหนึ่งตะกร้า เข้าประตูมาก็ได้ยินคำพูดของนางหวังเข้าพอดี “ท่านแม่ ในสายตาท่านซีเอ๋อร์เคยทำสิ่งใดไม่ดีหรือ? ท่านน่ะเป็นยายหวังขายแตง*[1]โดยแท้……”
“ข้าว่าเจ้าน่ะพูดมากเกินไปแล้ว” นางหวังรับตะกร้าในมือเขามา ลูบคลำอย่างน้อยอกน้อยใจ “ของที่ซีเอ๋อร์ทำสวยจริง ๆ ไม่เชื่อเจ้าก็ดูเอาเอง ข้าไม่ได้คุยโวเสียหน่อย”
หลิวเหิงมองดูแล้วให้ประหลาดใจเล็กน้อย “นี่หรือขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ ดูใสราวกับน้ำแข็งจริง ๆ ”
นางหวังนำไส้ถั่วแดงกวนมายื่นให้เขาลองชิมดู
หลิงเหิงหยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมาชิมหนึ่งคำ “อร่อย หวานแต่ไม่เลี่ยน” เขากินหนึ่งชิ้นหมดภายในไม่กี่คำ เอ่ยถามว่าทำทั้งหมดกี่ไส้ จากนั้นจึงเลือกไส้เม็ดบัวไข่แดงเค็มมากิน “ไข่แดงเค็มนี้นำมาทำเป็นไส้ นึกไม่ถึงว่าจะอร่อยมาก เม็ดบัวมีรสหวานชัดเจน ไข่แดงเค็มมีรสเค็มหอมอ่อน ๆ นำมาจับคู่กันแล้วอร่อยยิ่งนัก”
เขาไม่ใช่นักชิม ก่อนหน้าก็ไม่เคยทานอาหารว่างมากนัก หลังจากคิดอยู่นาน ยังมีแค่เพียงคำว่า ‘อร่อย’ ออกมา
อย่างไรก็ตาม หากตัดสินจากความจริงที่ว่าเขาทานขนมไหว้พระจันทร์ห้าไส้ในคราวเดียว เขาคงคิดว่ามันอร่อยจริง ๆ
เหยียนซีเห็นทั้งนางหวังและหลิวเหิงเห็นพ้องต้องกัน จึงทำที่เหลือรวดเดียว จากนั้นจึงบรรจุลงในกล่องกระดาษหลายกล่อง
นอกจากนี้เธอยังต้องไปส่งของขวัญของปีนี้แล้ว
เถ้าแก่เฉินจากร้านค้าผ้าเฉินจี้ในอำเภอหมิงสุ่ยดูแลตนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด กล่าวได้ว่าหากเขาไม่ให้โอกาส ก็ไม่รู้ว่าตนจะมีหม้อทองคำก้อนแรก*[2]เมื่อไร
เจ้าของร้านเฉียนจากเมืองถงอัน ภายหน้าจะกลายเป็นผู้ร่วมมือทางการค้า แน่นอนว่าก็ต้องส่งของขวัญไปให้เช่นกัน
ยังมีครอบครัวของหวังชี นึกดูแล้วครอบครัวของเขามีเพียงเขาและแม่ที่แก่เฒ่า ย่อมไม่รู้จักทำขนมไหว้พระจันทร์เองเป็นแน่ ตนที่เป็นเจ้านายควรแสดงน้ำใจมิตรไมตรีอันดี
ตกบ่าย หลิวเหิงสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นจ้างเกวียนเทียมวัวบนเส้นทางสายหลัก เดินทางออกไปพร้อมกับกับกล่องขนมไหว้พระจันทร์ เริ่มจากส่งให้ผู้คนที่อยูใกล้เคียงเสียก่อน
วันถัดมาวันที่สิบสี่เดือนแปด ตำบลชิงหลงมีตลาดนัดเล็ก ๆ อีกครั้ง
ทั้งสามคนเข้าไปในเมือง นางหวังแยกไปหาท่านลุงเกาและท่านป้าเกา มอบตำรับชาคลายร้อนให้พวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ท่านลุงเกาและท่านป้าเกาไม่รู้จะต้องตอบแทนอย่างไรดี ท่านป้าเกาจึงนำเงินที่ได้จากการขายแป้งทอดวันนั้นออกมามอบให้นางหวัง แน่นอนว่านางหวังปฏิเสธที่จะรับ ทั้งสองคนยื้อยุดกันไปมาอยู่ครึ่งวัน ต่อมาจึงเป็นนางหวังที่กล่าวว่ายังต้องรีบไปในอำเภอ เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันภายหลัง สุดท้ายเรื่องจึงจบลงเช่นนี้
ครั้งนี้ไปที่ตำบลชิงหลง จุดประสงค์หลักเพื่อไปที่ที่อำเภอหมิงสุ่ย
นางหวังเคยได้ยินหลิวเหิงเคยเอ่ยถึงเผยซิ่ว ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เผยซิ่วหลายปีมานี้สอนสั่งโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อีกทั้งท่านอาจารย์หญิงเผยก็ดูแลหลิวเหิงเป็นอย่างดี
นางหวังพึมพำกับตนเอง หากไม่ได้รับการเอาใจใส่จากเผยซิ่ว หลิวเหิงจะสามารถสอบได้ซิ่วไฉได้อย่างไร ภายหน้าเขาต้องไปสำนักศึกษาของทางการแล้ว ถือโอกาสที่ไปส่งของขวัญในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ นางตั้งใจจะไปโขกศีรษะขอบคุณด้วยตนเองเสียหน่อย
ด้วยนิสัยใจคอของนางหวัง หากนางได้รับน้ำใจแม้เพียงหยดเดียว นางแทบอดทนรอที่จะตอบแทนด้วยน้ำทั้งบ่อไม่ไหว
เหยียนซีรู้สึกว่า ด้วยการสั่งสอนเช่นนี้ของนางหวัง หลิงเหิงภายหน้าย่อมเป็นผู้ที่เป็นที่พึ่งพิงที่สามารถไว้ใจได้ที่สุดของตน
โชคไม่ดีนัก ครอบครัวเผยซิ่วทั้งครอบครัวไปมอบของขวัญให้สกุลเดิมของอาจารย์หญิงเผยแล้ว หลิวเหิงไม่มีทางเลือกได้แต่ส่งขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะให้ชายชราที่เฝ้าประตูสำนักศึกษา ฝากให้เขามอบให้ท่านอาจารย์
เมื่อเหยียนซีมาถึงร้านค้าผ้าเฉินจี้ เถ้าแก่เฉินอยู่ในร้าน เมื่อได้ยินว่าเหยียนซีมาที่นี่เพื่อมอบของขวัญให้โดยเฉพาะ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ท่านอาเฉิน ขอบคุณที่ดูแลข้ามาโดยตลอด” เหยียนซีคารวะด้วยท่าทีจริงจัง
“ขอบคุณเถ้าแก่เฉิน หากไม่มีท่านคอยเกื้อหนุน ซีเอ๋อร์ของพวกเราคงไม่มีลู่ทางหาเงินเช่นนี้” ในฐานะผู้อาวุโส นางหวังก็เข้ามาขอบคุณเช่นกัน “นางเป็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่ง ไม่ง่ายดายเลยจริง ๆ”
นางหวังคิดว่าเหยียนซีนั้นเพื่อขายเสื้อผ้าแล้ว นางตระเวนไปทั่วสิบหลี่แปดหมู่บ้านมาแล้ว พื้นรองเท้าล้วนสึกไปหลายคู่
เมื่อเหยียนซีได้ยินคำพูดของนางหวัง ก็เห็นหนังตาของเถ้าแก่เฉินกระตุก ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เธอไม่ได้โกหก เพียงแค่ปิดบังเพศของตนเท่านั้น
ทว่าเถ้าแก่เฉินปฏิบัติต่อเธออย่างเมตตา การปิดบังตนเองจะทำให้เขาผิดหวังหรือไม่?
เธอกำลังลังเลใจว่าจะอธิบายเช่นใด หลิวเหิงกลับก้าวออกไปอธิบายแทนเธอเสียก่อน “เถ้าแก่เฉิน ซีเอ๋อร์ทำการค้าก็เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว อีกทั้งยังช่วยให้ข้าได้ศึกษาเล่าเรียนเข้าร่วมการสอบขุนนาง สตรีทำการค้าไม่ราบรื่นมาโดยตลอด พวกเราขอให้นางแสร้งทำเป็นเด็กชาย ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเปิดเผยตัวตน จำเป็นต้องปิดบัง หวังว่าจะไม่ตำหนินาง”
เขาเอ่ยเรื่องปิดบังตัวตนออกมาแล้ว เหยียนซีอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้ เด็กหญิงหลบไปข้างหลังหลิวเหิงโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่กระทำเช่นนี้ออกไป เธอถึงกับตกใจเสียจนผงะ
เธอมักจะพึ่งพาเพียงตนเองเสมอ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นก็จะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ เผชิญหน้ากับมันโดยไร้ซึ่งความกลัว
ตอนนั้นที่เธออยู่ในที่ทำงาน จัดงานโรดโชว์เป็นครั้งแรก ในยามที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก ผู้อื่นล้วนหลบซ่อนอยู่ข้างหลัง มีเพียงเธอที่ยืนอยู่ด้านหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยตัวสูงใหญ่สองสามคนเพียงลำพังเพื่อเผชิญหน้ากับมัน โดนพวกเขาทั้งเบียดทั้งดัน มีเพียงหลังจากตำรวจมาแล้วเท่านั้นเธอจึงจะยอมถอย ในตอนนั้นเธอไม่ยอมล่าถอยแม้เพียงก้าวเดียว
เมื่อมองแผ่นหลังโปร่งบางที่อยู่ข้างหน้า เหยียนซีอดรู้สึกละอายใจไม่ได้ ตนมีนิสัยหลบหลังผู้อื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? อีกทั้งเป็นการหลบข้างหลังชายหนุ่มเยาว์วัยผู้หนึ่ง?
หรือว่าภายในใจตนนั้น แท้จริงแล้วเธอเฝ้ารอคนผู้หนึ่งที่จะมาปกป้องตนจากลมฝนมาโดยตลอด?
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอารมณ์อันอ่อนไหวเปราะบางนี้ เด็กหญิงก้าวออกไปสองก้าว ไปยืนเคียงข้างหลิวเหิง
หลิวเหิงยิ้มแย้มมอบความมั่นใจให้เธอ จากนั้นจึงค้อมตัวคารวะเถ้าแก่เฉิน “ถึงแม้ซีเอ๋อร์จะปกปิดตัวตนสตรีของนาง ทว่าความซาบซึ้งใจของนางที่มีต่อเถ้าแก่เฉิน มาจากใจจริงของนางทั้งสิ้น”
เถ้าแก่เฉินเห็นหลิวเหิงสวมเครื่องแต่งกายคอกลมของบัณฑิตที่เตรียมสอบขุนนาง เขาจะยินยอมรับการคารวะของเขาได้อย่างไร รีบร้อนถอยหลบไปสองก้าวทันที
ฟังหลิวเหิงกล่าวจบแล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จะตำหนินางได้อย่างไร ข้าเห็นว่านางเฉลียวฉลาดอดทนต่อความยากลำบาก คิดว่าบุรุษทำมาค้าขายที่หาตัวจับยากเช่นนี้ ภายหน้าเขาจะต้องมีบทบาทที่สำคัญเป็นแน่ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง”
จากนั้นเขาจึงเอ่ยล้อเหยียนซี “พี่ชายน้อยกลายเป็นแม่นางน้อยเสียแล้ว หากเจ้าอยากทำการค้านี้ต่อไป พวกเราย่อมร่วมมือกันต่อได้”
เหยียนซีรู้สึกตัว จึงพยักหน้าอาย ๆ “ขอบคุณที่ท่านอาเฉินเข้าใจ”
[1] ยายหวังขายแตง หมายถึง ยกย่องสินค้าของตนว่าเลิศเลอ
[2] หม้อทองคำก้อนแรก หมายถึง เงินก้อนแรกที่ได้รับจากการประกอบกิจการ
MANGA DISCUSSION