บทที่ 7 เล่นสงครามจิตวิทยา
“ไม่ต้องกลัว หากเจ้าถูกลักพาตัว ก็พูดออกมาได้เลย ท่านแม่ของข้าใจดีที่สุด แม้จะไม่สามารถส่งเจ้ากลับบ้านได้ในทันที แต่เราจะพยายามติดต่อครอบครัวของเจ้าให้มารับตัวกลับได้” ยิ่งหลิวเหิงพูดมากเท่าไร ดวงตาของเขาก็ยิ่งมีความหวังมากขึ้นเท่านั้น ราวกับยิ่งพูดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของตนสมเหตุสมผล
เนื่องจากเหยียนซีสามารถท่อง ‘คัมภีร์เต้าเต๋อจิง’ ได้ นางจึงมีความรู้อย่างเห็นได้ชัด แล้วครอบครัวจะยอมขายบุตรของตนเองง่ายดายเช่นนี้ได้หรือ? หากเป็นเด็กสาวจากตระกูลร่ำรวยที่ถูกจับมาค้ามนุษย์ การส่งตัวกลับย่อมเป็นเรื่องดี
เมื่อฟังคำโน้มน้าวที่จริงจังของหลิวเหิงแล้ว เหยียนซีก็อดยิ้มไม่ได้ ‘เกรงว่าจะต้องผิดหวังแล้วล่ะพ่อหนุ่มน้อย! จะมีผู้สูงศักดิ์ตกทุกข์ได้ยากมากมายรอให้เจ้าช่วยเหลือได้อย่างไร?’
“ข้า…ไม่ได้ถูกลักพาตัวมาจริง ๆ!” เมื่อเห็นว่าหลิวเอ้อร์หลางยังคงพยายามวิ่งเต้น เด็กหญิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “พี่เอ้อร์หลาง ข้าถูกครอบครัวขายมาจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ถูกลักพาตัวมาจริง ๆ หรือ?” หลิวเหิงถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
“ไม่ใช่ ไม่ใช่จริง ๆ” ตื่นเสียเถิด แล้วลืมเรื่องขนมตกลงมาจากฟากฟ้า*[1] ไปได้เลย
เหยียนซีรู้สึกว่าหลิวเหิงอายุเพียงสิบสี่ปี เขาจึงหลีกหนีความคิดในจินตนาการไม่ได้ หญิงสาวในร่างเด็กจึงหมุนตัวกลับไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบชามไข่ตุ๋น ที่นางหวังตุ๋นไว้เมื่อเช้าออกมาวางบนโต๊ะหิน “พี่เอ้อร์หลาง อากาศวันนี้ไม่ค่อยหนาวแล้วก็ไม่ร้อนมากนัก เหตุใดท่านไม่กินข้าวเช้าที่ลานบ้านล่ะเจ้าคะ?”
เมื่อหลิวเหิงหยิบชามไข่ตุ๋น ความหวังอันไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ก็เลือนหายไป
ทุกวันนี้เหยียนซีใช้ชีวิตและรับประทานอาหารในบ้าน เขามองนางกินเมล็ดธัญพืชและกลืนโจ๊กผักโดยไม่อิดออด หากเป็นลูกของครอบครัวเศรษฐีจริง แม้จะได้รับความทุกข์ทรมานจากการค้ามนุษย์ แต่ในช่วงสองสามวันแรกก็จะแสดงนิสัยเดิมออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งนางยังดูแลคนป่วยได้ดีมาก แล้วทักษะเช่นนี้จะมีในเด็กที่มาจากครอบครัวร่ำรวยได้อย่างไร?
แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางของนางแล้ว เขาจึงพบว่านางต้องการหลบหนี แล้วเด็กที่ถูกขายจากครอบครัวยากจนจะยังต้องการหนีออกไปทำไม ในเมื่อที่นี่มีอาหารและเสื้อผ้าให้อย่างดี?
“แล้วเจ้าจะหนีทำไม? ไม่กลัวหรือว่าเมื่อหลบหนีไปแล้ว จะเจอพวกค้ามนุษย์เหล่านั้นอีก?” ทันใดนั้น หลิวเหิงก็พูดโพล่งพร้อมกับใบหน้าใสซื่ออีกครั้ง
“ข้ากลัว…ก็ข้าได้ยินคนพูดว่าหากโดนขายเป็นทาสแล้วจะถูกเจ้านายตีจนตาย ข้า…ข้ากลัว…ข้าไม่อยากเป็นทาส ข้าอยากกลับบ้าน” เมื่อเผชิญกับความคิดแปลก ๆ ของอีกฝ่ายในตอนนี้ ความระแวดระวังของเหยียนซีที่มีต่อเขาก็ลดลง ไม่ว่าเขาจะช่างสังเกตแค่ไหนก็ยังเป็นเด็ก เธอจึงตั้งใจพูดให้สมเหตุสมผลมากขึ้น
“เป็นเช่นนี้เอง” เด็กหนุ่มพยักหน้าและถอนหายใจออกมา “โชคดีที่ตอนนั้นเจ้าไม่หนีไปไหน เพราะหากทาสที่หลบหนีถูกจับได้ ก็จะพบกับจุดจบที่เลวร้าย”
“โดนทุบตีหรือเจ้าคะ?”
“ทางการมีหน้าที่จัดการกับทาสที่หลบหนี โทษสถานเบาคือโดนเฆี่ยนร้อยที ในกรณีที่ร้ายแรงก็หักขาทิ้งหนึ่งข้าง…ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นทาสที่หลบหนีในตำบลหมิงสุ่ย แม้จะยังอายุน้อยก็ถูกเฆี่ยนหน้าประตูศาลาว่าการ นับร้อยที แส้ทำจากหนังวัวฟอกทั้งเส้น หลังจากเฆี่ยนไปสิบที หนังก็จะขาดออกจากกัน และเมื่อเฆี่ยนได้ยี่สิบที ข้าเห็นกระดูกสันหลังของทาสที่หลบหนีเต็มสองตา หลังจากถูกเฆี่ยนห้าสิบที เลือดก็ไหลนองทั่วพื้นเหมือนน้ำไหล เนื้อสีแดงกระเซ็นเหมือนขี้เลื่อย…”
“หยุดพูดเถอะ!” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำให้ตนกลัว เหยียนซีก็รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย หลิวเหิงผู้นี้ เธอไม่รู้ว่าเขาเห็นจริง ๆ หรือแต่งขึ้นมา ทว่าคำอธิบายก็ละเอียดมาก…
“หากโชคดีก็จะไม่ถูกทางการจับได้ แต่ก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปตลอด แล้วจะไปซ่อนที่ไหนได้เล่า? ทั้งหมาใน เสือโคร่งและเสือดาวต่างก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในภูเขาลึกและป่าไม้…อีกทั้งตามท้องถนนก็มีผู้คนมากมายที่จับจ้องเด็กสาว มีพวกโจรเด็ดบุปผาที่เชี่ยวชาญในการขายผู้หญิงให้กับสถานที่เลวทรามเหล่านั้นอีกมาก…”
คำพูดเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เหยียนซีกำลังคิดอยู่เช่นกัน
ถ้าเธอวิ่งหนีไปอย่างหุนหันพลันแล่นแล้วเจอกับพวกค้ามนุษย์จนถูกขายให้หอนางโลม…หรือจะถูกขายให้กับครอบครัวที่ร่ำรวยก็ไม่เป็นไร เพราะยังสามารถใช้แรงงานได้ แต่ในกรณีที่เจ้านายมีความผิดปกติ…เมื่อนึกถึงรายการโทรทัศน์และหนังสือที่ได้อ่านก่อนหน้านี้ หญิงสาวก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แม้ว่าตระกูลหลิวจะยากจนกว่า แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่เคยทุบตี ดุด่า หรือทารุณเธอเลย
แต่สัญญาการซื้อขายอยู่ในมือของผู้อื่น ก็เท่ากับถูกอีกฝ่ายควบคุมไปโดยปริยาย
“ครอบครัวของข้ายากจน แต่แม่ของข้าเป็นคนใจดีที่สุด นางเคย…เอาเถิด ทุกวันนี้นับว่าโชคดีที่มีเจ้าคอยชี้แนะ ทำให้ท่านแม่ของข้าไม่เหงาและอาการป่วยของข้าก็รักษาให้หายได้เร็วขึ้น ท่านแม่พูดมากกว่าหนึ่งครั้งว่าเจ้าเป็นผู้พลิกชะตาของข้า เป็นดาวนำโชคของครอบครัวเรา จึงสมควรทำดีกับเจ้า”
เมื่อพบว่าเด็กหญิงดูสะเทือนใจเล็กน้อย หลิวเหิงจึงเข้าใจว่าคำพูดเหล่านี้สะท้อนใจนาง “อันที่จริง ครอบครัวเราก็เป็นเช่นนี้ การซื้อขายคนเป็นเรื่องน่าขันและการพูดถึงเรื่องทาสยิ่งรู้สึกว่าเพ้อเจ้อ”
เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกฝ่าย และเริ่มระแวดระวังในใจ หญิงสาวมีสมาธิและทักษะการสังเกตติดตัวมาด้วย ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากชีวิตการทำงานเมื่อชาติก่อน หลิวเหิงผู้นี้มีอายุเพียงสิบสี่ปี แล้วเขาจะพูดถึงสิ่งที่แยบยลเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เดิมทีท่านแม่หวังว่าข้าจะเข้าร่วมการสอบฝู่ซื่อ*[2] ได้ในปีนี้ และหากข้าสอบผ่านเยวี่ยนซื่อ ในปีหน้าข้าจะได้รับทุนสำหรับตำราที่จะใช้อ่านสอบได้ หากครอบครัวได้รับการสนับสนุนด้านนี้ก็จะแบ่งเบาภาระไปได้มาก แต่ตอนนี้ก็เดือนสี่เข้าไปแล้ว ปีนี้ข้าต้องพลาดการสอบเยวี่ยนซื่อไปโดยปริยาย แต่ตอนนี้อาการป่วยของข้าหายแล้ว เมื่อท่านแม่กลับมา ข้าจะบอกให้นางส่งเจ้ากลับไปที่ตำบลชิงหลง…”
“ส่งข้ากลับไปที่ตำบลชิงหลง?”
“ใช่ ข้าจะขอให้ท่านแม่ส่งเจ้ากลับตำบลชิงหลง ตอนนั้นนางซื้อเจ้ามาจากไหน ก็ส่งเจ้ากลับที่นั่น”
“ท่านอยากให้ท่านป้าขายข้าออกไปอีกหรือ?”
“มันจะไม่เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด แต่ครอบครัวของข้ายากจน เจ้าคงไม่อยากอยู่บ้านเรา ดังนั้นข้าจึงจะขอให้ท่านแม่พาเจ้ากลับไป พยายามคุยกับคนผู้นั้นและขอให้เขาพาเจ้ากลับบ้าน เราไม่ต้องการเงินคืนหรอก ให้เอาไว้เป็นค่าเดินทางตอนพาเจ้ากลับบ้านย่อมดีกว่า”
“ไม่เอา ข้าไม่อยากกลับบ้าน”
หลิวเหิงยังคงมีใบหน้าที่ใสซื่อ แต่น่าเสียดายที่ความหมายเบื้องหลังคำพูดนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เหยียนซีกำลังร้อนใจ ความเมตตานี้คืออะไร มันกลายเป็นภัยคุกคามต่อตัวเธอ และการส่งตนเองกลับไปหาพวกค้ามนุษย์ก็เท่ากับปล่อยให้เธอถูกขายอีกครั้ง
กระนั้นเมื่อหลิวเหิงพูดเช่นนี้ ความคิดที่จะวิ่งหนีบ้างเป็นครั้งคราวในใจของหญิงสาวก็หายวับไปในทันที
บางครั้งมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อคนอื่นห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ปรารถนาที่จะบรรลุในสิ่งที่พวกตนต้องการ แต่เมื่อพบว่าสิ่งที่ต้องการมาจ่ออยู่แค่ปลายนิ้ว กลับสามารถชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสียได้อย่างใจเย็น
“อย่าส่งข้าไปเลยเจ้าคะ อย่าขายข้าอีกเลย” หลังจากคิดทบทวนอยู่พักหนึ่ง หญิงสาวก็ทำตัวยืดหยุ่นขึ้นมาได้ในทันใด
การอยู่ที่บ้านตระกูลหลิว เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอในตอนนี้
ตระกูลหลิวนั้นมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และนางหวังก็มีจิตใจดี พวกเขาซื้อตัวเธอมาเพียงเพื่อจะป้องกันวิญญาณร้าย แต่ไม่ทำให้เธอเป็นทาสและดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้เธอเป็นเจ้าสาวเด็กอีกด้วย
การอยู่ในตระกูลหลิว ตราบใดที่มีนางหวังเป็นผู้นำ เมื่อร่างนี้ได้เติบโตขึ้นในอนาคต เธออาจจะตกลงคุยกับอีกฝ่ายเรื่องไถ่ถอนสัญญาทาสได้…
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลดการระแวดระวังลง หลิวเหิงกลับยังคงสงวนท่าทีของตน “ซีเอ๋อร์ ครอบครัวของข้ายากจนมาก…”
“ข้าทำงานได้ พี่เอ้อร์หลาง อย่าส่งข้าไปเลย อย่าขายข้าเลยนะเจ้าคะ ได้โปรด…” สถานการณ์รุนแรงกว่าที่คิด เหยียนซีรีบพุ่งไปข้างหน้าและคว้าแขนของหลิวเหิง เด็กหญิงก้มหน้าลงและมีเสียงสะอื้นในคำพูด
ไม่ว่าหลิวเหิงจะอายุเท่าไร เขาก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม เมื่อจู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หวาดกลัวและร้องไห้โผมาเกาะแขนของเขาไว้ ทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ เขาจะทันสังเกตได้อย่างไรว่าเหยียนซีร้องไห้จริงหรือปลอม เขาทั้งเขินอายและกระวนกระวายพลางร้องลั่น “ปล่อยนะ ปล่อย!” ขณะเดียวกันก็พยายามดึงแขนออกอย่างทุลักทุเล
เมื่อเห็นท่าทางเขินอายและกังวลของเขา เหยียนซีก็รู้สึกเพียงว่าใบหน้าที่หวาดกลัวเมื่อครู่ได้กลับมาเป็นใบหน้าจริง ๆ ของเธอแล้ว เด็กหญิงใช้สองมือจับแขนเขาไว้พลางอ้อนวอน “ได้โปรดเถอะ พี่เอ้อร์หลาง…”
หลิวเหิงในตอนนี้จะยังสนใจปณิธานเดิมได้อีกหรือ เขาคว้ามือของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือข้างเดียวอย่างกระวนกระวายและต้องการดึงมันออก
“เอ้อร์หลาง แม่ของเจ้าอยู่…ไอหยา พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?”
[1] ขนมตกลงมาจากฟากฟ้า หมายถึง อยู่ดี ๆ ก็มีโชคลาภลอยเข้ามาหา
[2] ฝูู่ซื่อ คือ การสอบท้องถิ่นระดับสอง
MANGA DISCUSSION