บทที่ 67 หลิวเหิงถูกตักเตือน
นางหวังวกกลับเข้าประเด็นการแต่งงานอีกแล้ว เหยียนซีจะทำอะไรได้บ้าง?
“ท่านป้า ข้ายังเด็กอยู่เลย” เด็กหญิงได้แต่ก้มหน้าแล้วกระทืบเท้าเบา ๆ เป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่ต้องแสร้งทำเป็นเขินอายทั้ง ๆ ที่ตนเองอายุมากขนาดนี้แล้ว
นางหวังยิ้ม “อันที่จริง ตามความเห็นส่วนตัวของข้า การแต่งงานกับเอ้อร์หลางถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว พวกเจ้าสองคนเป็นเด็กดี ข้ามั่นใจได้ว่าพวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้”
ตอนที่นางตัดสินใจซื้อตัวเหยียนซีมา หลิวเหิงป่วยหนัก ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนั้น นางไม่ทันคิดเกี่ยวกับการซื้อตัวเหยียนซีมาเป็นเจ้าสาวเด็กด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้หลิวเหิงมีสุขภาพที่แข็งแรงดีแล้ว ทั้งยังสอบผ่านกลายเป็นบัณฑิตยุ้งฉางอีก ส่วนซีเอ๋อร์ก็มีไหวพริบเฉลียวฉลาด มีความสามารถ และรู้จักห่วงใยผู้อื่น นางรู้สึกว่าตนเองพึงพอใจที่จะให้เหยียนซีเป็นลูกสะใภ้ของนางในอนาคต
ก่อนหน้านี้หลิวเหิงเคยกล่าวไว้ว่า แม้เหยียนซีจะอายุเพียงเก้าขวบก็จริง ทว่านางก็มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง อาจประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นไม่ควรปฏิบัติต่อนางเหมือนนางเป็นเด็กน้อย
หลังจากอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนมานาน นางเคารพและรักในตัวตนของเหยียนซีมาก ที่เคารพคือเคารพในความเฉลียวฉลาดของนาง ที่รักคือรักในความมีจิตใจดีและรู้จักเอาใจใส่ของนาง
คำกล่าวของลูกชายไม่ควรมองข้าม ประกอบกับนางชอบอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเริ่มทดสอบด้วยการหยั่งเชิงก่อนเป็นอันดับแรก
การแต่งงานในยุคสมัยนี้ ยึดตามความประสงค์ของพ่อแม่ และอาศัยคำพูดของแม่สื่อ ตราบใดที่เหยียนซีเต็มใจ และลูกชายของนางยอมรับ แน่นอนว่านางไม่มีทางปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วย
ในบรรดาญาติผู้หญิงที่มาในวันนี้ หลายคนเริ่มเปรย ๆ และทาบทามเรื่องการแต่งงานกันบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว นางก็ยังมีเป้าหมายในใจแน่วแน่ ขอเพียงซีเอ๋อร์เต็มใจ นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
หลังจากที่นางหวังกล่าวจบ นางก็มองไปที่เหยียนซี
เมื่อได้ยินข้อแนะนำจากนางหวัง เหยียนซีก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
นับตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าราชสำนักออกพระราชกำหนดว่าสตรีจะต้องแต่งงานเมื่ออายุครบสิบแปดปี เธอก็คิดเกี่ยวกับการแต่งงานของตนเองหลายครั้งในใจ หรือเธอควรแต่งกับหลิวเหิง? แต่แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ผู้ชายคนนั้นไม่เหมือนกับเผยซิ่วที่พอใจกับการสอบเพียงครั้งเดียว ในอนาคตเขาต้องได้เป็นขุนนางแน่
การเป็นขุนนางคืออะไร?
มีโอกาสเล่นสนุกบ้างเป็นครั้งคราว พบเรื่องราวสลับซับซ้อนที่ยากแก่การแก้ไข… หากเขามาจากครอบครัวที่ต่ำต้อย แต่มีความทะเยอทะยานและต้องการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว การแต่งงานก็เป็นหมากต่อรองหนึ่ง
“ท่านป้า พี่เอ้อร์หลางเก่งถึงเพียงนั้น ล่าสุดเขาก็เพิ่งจะสอบผ่านระดับเยวี่ยนซื่อ ในอนาคตเขาต้องรุ่งโรจน์สู่จุดสูงสุดแน่ พี่เอ้อร์หลางยังมีโอกาสพบผู้หญิงดี ๆ ตั้งมากมายเมื่อเขาไปที่ยงโจวหรือเมืองหลวง”
สำหรับเหยียนซีแล้ว เธอถือว่านางหวังเป็นเสมือนคนในครอบครัว จึงไม่ต้องการโกหกนาง
“ท่านป้า พี่เอ้อร์หลางเป็นคนมีความทะเยอทะยานสูงส่ง ควรมีภรรยาที่ดีที่สามารถจัดการครอบครัวภายใน และช่วยเหลือกิจการภายนอกได้ ข้าเป็นเพียงเด็กบ้านนอกคอกนา หากข้าหมั้นหมายกับพี่เอ้อร์หลางจริง ๆ เกรงว่าภูมิหลังของข้าจะทำให้เขาอับอายในอนาคต…”
“ไร้สาระ เจ้าเป็นเด็กบ้านนอกแล้วอย่างไร เขาเองก็เกิดในครอบครัวยากจนในชนบทเช่นกัน ผู้ใดจะกล้ารังเกียจเจ้า?”
“ท่านป้า อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ในโลกนี้ สตรีเป็นฝ่ายที่ต้องทุกข์ทรมานเสมอ” เหยียนซีมองเข้าไปในดวงตาของนางหวัง แล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “ท่านป้า ข้าเสียแม่ไปนานแล้ว ตั้งแต่ท่านพาข้ามาที่นี่แล้วช่วยสระผมให้ข้าอย่างไม่อิดออด ข้าก็รู้แล้วว่าท่านทั้งอ่อนโยนและมีจิตใจดีเหมือนแม่แท้ ๆ ของข้า พี่เอ้อร์หลางต้องเดินทางอีกหลายพันลี้ ใช่ว่าเขาสามารถแต่งงานกับใครก็ได้ หากคู่ครองเป็นสาวชาวบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งขุนนางของเขาได้ นี่จะไม่กลายเป็นการทำร้ายเขาหรอกหรือเจ้าคะ?”
“เด็กคนนี้…” นางหวังไม่คาดคิดว่าเหยียนซีจะมีความคิดอ่านชัดเจนเพียงนี้ นางเม้มริมฝีปากสองสามครั้ง และในที่สุดก็กล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “หลังจากแต่งงาน ถ้าเขากล้าทรยศต่อหัวใจตนเอง ข้านี่แหละจะทุบหน้าเขาให้ตายเลย” ถึงน้ำเสียงไม่สูงนัก แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง
“ท่านป้า ดูท่านสิ พูดอะไรเช่นนี้ในวันมงคลกัน” เหยียนซีจับมือนางหวังไว้ “อย่างไรก็ตาม ข้าเพิ่งจะอายุแค่เก้าขวบ ไม่ต้องรีบร้อนหาสามีให้ข้าหรอกเจ้าค่ะ ท่านค่อย ๆ คิดเรื่องนี้ภายหลังเถิด ในบ้านยังมีแขกอีกมากมายที่รอทักทายและอวยพรท่าน รีบเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”
นางหวังหัวเราะกับสิ่งที่นางพูด หญิงวัยกลางคนเอานิ้วจิ้มหัวนางด้วยความหมั่นไส้ “เจ้าเพาะเมล็ดแตงโมไว้ในหัวหรืออย่างไร ถึงได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้น?” กล่าวจบนางก็ทำตามที่เหยียนซีแนะนำ ยอมให้อีกฝ่ายผลักกลับเข้าไปในลานบ้าน
เหยียนซีผลักนางหวังกลับเข้าไปแล้ว ครั้นหันกลับมาก็เจอหลิวเหิงยืนอยู่ที่ประตูใกล้กับจุดที่ตนและนางหวังกำลังพูดถึงเขาเมื่อครู่ ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเขาได้ยินอะไรหรือไม่
แม้ว่าเหยียนซีจะเป็นคนหน้าหนาทนเพียงใด เมื่อถูกบุคคลที่ตนเองนินทาจับได้ เหยียนซีก็ยังรู้สึกอับอายเล็กน้อย “เอ่อ… พี่เอ้อร์หลาง ท่านมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ครู่นี้ เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนมีความทะเยอทะยานสูงส่ง” หลิวเหิงเม้มริมฝีปาก พึมพำบางอย่าง และจ้องมองที่เหยียนซีอีกครั้ง
ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเมื่อถูกวิจารณ์ว่าเป็นคนมีความทะเยอทะยานสูง เพราะมีแนวโน้มว่าเขาอาจกลายเป็นคนเลวในอนาคต
“เรื่องนั้นน่ะหรือ ฮ่า ๆ จริงสิ… ข้าแค่ล้อเล่นกับท่านป้าเท่านั้นเอง ไม่สิ ข้าเพียงยกตัวอย่างให้ท่านป้าฟังอย่างชัดเจนเท่านั้น ความจริงแล้วข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย ในใจข้า ท่านเปรียบเสมือนดาวเหวินฉวี่ที่ลงมาจุติยังโลก ไม่ก็เป็นเทพเซียนมาเกิด ด้วยภูมิหลังของข้า คงดีไม่น้อยหากมีโอกาสได้พึ่งพาพี่เอ้อร์หลาง หรือแม้กระทั่งเป็นลมใต้ปีกของท่าน”
ไม่ว่าเหยียนซีจะมีไหวพริบมากแค่ไหน เธอก็ยังพูดจาสะดุดขณะกำลังพยายามอธิบาย
อย่าลืมเสียว่าชายหนุ่มคนนี้รักเกียรติยศของตนเองเพียงใด เธอไม่สามารถทำให้หลิวเหิงรู้สึกราวกับถูกปฏิเสธ ฉะนั้นจะต้องแสดงจุดยืนของตนเอง ให้เขารู้ว่าเธอไม่เคยมีความโลภในตัวเขา
แต่ก็ยังอธิบายได้ยากอยู่ดี
หลังจากพูดจบสองประโยค เธอก็มองดูหลิวเหิงอย่างระมัดระวังพลางเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องและถามว่า “พี่เอ้อร์หลาง มีท่านน้าสองสามคนมาเปรยเกี่ยวกับการแต่งงานของท่านในวันนี้ ท่านป้าไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไร แต่ท่านคงยังไม่อยากหมั้นหมายกับใครในเร็ววันนี้ใช่หรือไม่?”
“อืม” หลิวเหิงตอบ ก่อนจะหันหลังกลับและจากไป
ใช่แล้ว เขาต้องร่ำเรียนให้หนัก เพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จในอนาคต เรื่องแต่งงานเอาไว้ภายหลังจะเป็นการดีกว่า ยิ่งแต่งงานช้ายิ่งหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าเป็นเฉินซื่อเหม่ย*[1]ได้อีกด้วย
เหยียนซีแลบลิ้นใส่เขาลับหลัง พึมพำสองสามคำในใจ
สำหรับเธอแล้ว เธอรู้สึกเสมอว่าหลิวเหิงเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยกระเตาะ ส่วนเธอเป็นป้าแก่ แต่เมื่อรู้จักตัวตนอันสงบนิ่งของหลิวเหิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็ไม่กล้าประมาทในตัวตนของเขาอีกต่อไป
เธอต้องคุยเรื่องนี้กับนางหวังอีกครั้งในภายหลัง เพื่อไม่ให้สุ่มจับคู่พวกเธอไปเรื่อยอีก
เมื่องานเลี้ยงเริ่มต้น เหยียนซีก็งานยุ่งมากตลอดช่วงสามวันจนเท้าไม่เคยลอยจากพื้นเลย
แน่นอนว่าเหยียนซีไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับงานเลี้ยง แต่เธอก็ต้องคอยติดตามนางหวังเพื่อต้อนรับญาติผู้ใหญ่ทั้งหลาย ทั้งยังต้องจดรายชื่อผู้ที่นำของขวัญมาแสดงความยินดีทั้งหมดให้ชัดเจน เพื่อที่ในอนาคตจะได้คืนของขวัญให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
นางหวังไม่สามารถเขียนหนังสือได้ ดังนั้นจึงขอให้เหยียนซีช่วยเขียนทุกครั้ง
ธรณีประตูลานบ้านตระกูลหลิวถูกเหยียบไม่เว้นวัน
สำหรับหลิวเหิงแล้ว สามวันนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดนับตั้งแต่เขาเติบโตขึ้น ได้รับคำชมและคำเยินยออย่างล้นหลาม ไม่ว่าทัศนคติดั้งเดิมของคนเหล่านั้นที่มีต่อพวกเขาสองแม่ลูกจะเคยเป็นอย่างไร ตราบใดที่หันมองไปก็จะพบกับใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ
สมัยที่เขายังเป็นบัณฑิตถงเซิง ยังพอได้ยินคำนินทาของคนบ้างประปราย แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยินคำนินทาพรรค์นั้นแม้แต่คำเดียว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหลิวเหิงและนางหวังต่างรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง
สามวันต่อมา นางหวังซื้อธูปเทียนและวัตถุดิบอื่น ๆ เพื่อมาทำบ๊ะจ่างไปไหว้หลิวต้าลี่
เมื่ออยู่ต่อหน้าแผ่นป้ายชื่อของหลิวต้าลี่ นางหวังบอกให้หลิวเหิงคุกเข่าลง และกล่าวว่า “เอ้อร์หลาง จงจำไว้ว่าทั้งพ่อและแม่ของเจ้ามาจากชนบท ฉะนั้นเจ้าควรพึงระลึกชาติกำเนิดของเจ้าไว้เสมอ ในอนาคตไม่ว่าเจ้าจะก้าวหน้าสักเพียงใดก็อย่าได้หลงลืมภูมิหลังของตนเอง อย่าสูญเสียมโนธรรมเพราะสิ่งล่อใจอื่น”
หลิวเหิงโค้งศีรษะหลายครั้ง “ลูกจะจำคำสั่งสอนของท่านแม่ไว้”
เหยียนซีย่ำเท้าไปมาอย่างรู้สึกอึดอัดที่ด้านข้าง เด็กหญิงตระหนักดีว่าสาเหตุที่หลิวเหิงถูกนางหวังตักเตือนเช่นนี้ ก็เพราะคำกล่าวของเธอเมื่อวันนั้นนั่นเอง ทำให้อดรู้สึกผิดไม่ได้
นางหวังพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
หลังจากที่หลิวเหิงลุกขึ้น เขาก็มองไปทางเหยียนซีซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างนางหวัง และกำลังเผากระดาษเงินอยู่ตรงนั้น
เหยียนซีสังเกตว่า ตั้งแต่สภาพการเงินของครอบครัวเริ่มร่ำรวยขึ้น นางหวังก็ไม่สวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพเจ้าหรือกราบไหว้ขอพรอีกต่อไป แต่กลับให้ความสำคัญกับหลิวต้าลี่มากขึ้น ทุกครั้งที่ซื้อกระดาษเงินก็มักจะซื้อทีละมาก ๆ
[1] เฉินซื่อเหม่ย 陈世美 เป็นชื่อแซ่ของบุรุษผู้หนึ่งในสังคมจีนยุคโบราณ ทว่าปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นสรรพนามที่สื่อความหมายในเชิงลบ ใช้เรียกแทน ‘ผู้ชายเลวทรามซึ่งมีพฤติกรรมทรยศต่อภรรยาของตน’
MANGA DISCUSSION