บทที่ 61 โชคไม่ดี
เหยียนซีและเผยซิ่วออกไปส่งหลิวเหิงตั้งแต่เช้าตรู่ ณ สนามสอบ
ในสมัยโบราณ อากาศในเดือนสิงหาคมร้อนจัดและหนาวจัดสลับกันไป ช่วงเวลาชิวเหลาหู่*[1]จะกินเวลาเต็มที่ในฤดูใบไม้ร่วง ก่อนจะกลับมาหนาวจัดเมื่อเปลี่ยนผ่านฤดู ตอนแรกสวมเสื้อผ้าทับชั้นหนึ่ง แต่ต่อมาก็ถอดออกเมื่อรู้สึกอบอ้าว
โชคดีที่เมื่อคืนนี้เดือนแจ่มดาวจาง*[2] ซึ่งนั่นหมายความว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่แดดจัด อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องฝ่าฝนไปสอบ
ถนนจะมีแสงไฟประดับประดาเช่นปกติ เหล่าบัณฑิตทยอยกันออกมาจากโรงเตี๊ยมหลายแห่ง และรวมตัวมุ่งหน้าไปทางสนามสอบ
เหยียนซีรู้สึกว่ารอบนี้มีคนเข้าสอบไม่มากนัก อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นแออัดเหมือนตอนที่หลิวเหิงไปสอบฝู่ซื่อ ทั้งสามคนจึงสามารถเดินไปยังสนามสอบได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ถูกเบียดแทรก
เมื่อพวกเขามาถึงประตูสนามสอบ เผยซิ่วเดินเข้าไปก่อนตามปกติ เนื่องจากการสอบเยวี่ยนซื่อยังคงต้องใช้ผู้รับประกัน
เหยียนซีเดินเข้าไปพร้อมกับหลิวเหิง หยุดรออยู่ที่หน้าประตู ในขณะที่เฉินโหย่วฝูเดินเข้ามาโดยที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มคนรับใช้ เมื่อเขาเห็นอาหารที่เตรียมไว้ในตะกร้าของหลิวเหิง ก็อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้า “หากเจ้าโชคดีจนสามารถเลื่อนไปสอบระดับเซียงซื่อด้วยกัน หลิวเสียนตี้ คราวหน้าเจ้าจะต้องนำอาหารมาเผื่อข้าด้วย เทียบกับเจ้าแล้ว ขนมที่ข้านำมาด้วยนั้นไม่อร่อยเลย”
จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองเหยียนซี “ทักษะการปรุงอาหารของนางช่างพิถีพิถันและมีเอกลักษณ์มาก เห็นได้ชัดว่าน้องสาวเจ้ามีฝีมือจริง ๆ ”
เหยียนซีมองดูเฉินโหย่วฝูอย่างระมัดระวัง เห็นว่าเขามีรูปร่างท้วมเล็กน้อย สวมชุดสีน้ำเงินยาวครึ่งตัว เขาไม่สวมใส่เครื่องประดับอื่นใด ยกเว้นพู่ยาวสีน้ำเงินเข้มที่ห้อยอยู่รอบเอว ดูแล้วบัณฑิตท่านนี้ดูไม่ใช่คนชอบอวดความอู้ฟู่ อืม ถึงกระนั้นก็มีออร่าที่ไม่ต่ำต้อยเลย
สำหรับเฉินโหย่วฝูแล้ว ตระกูลเฉินมีชื่อเสียงในทางที่ดี เขาจึงควรประพฤติตนให้เหมาะสมกับที่เป็นตระกูลบัณฑิต ไม่คิดใช้อำนาจแทรกแซงหรือข่มขวัญผู้อื่น
จากที่เธอได้เจรจากับเจ้าของร้านเฉียน ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจไม่น้อย เมื่อได้เห็นผู้เป็นเจ้าของตัวจริงกับตาแล้ว ตราบใดที่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ตระกูลเฉินก็ไม่ควรสนใจกิจการในเครือเฉินจี้มากเกินไปนัก
ขณะที่ประเมินอีกฝ่ายอยู่นั้น เด็กหญิงก็คิดว่าตนควรทักทายอีกฝ่ายอย่างไรดี ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิง ดังนั้นการกอบหมัดคำนับอาจไม่เหมาะสม ในที่สุดเธอก็เลือกที่จะยิ้มและแสร้งทำเป็นเขินอาย ย่อตัวลงอยู่ด้านหลังหลิวเหิงเพื่อตอบรับคำชม
หลิวเหิงตัดสินใจเป็นฝ่ายรับหน้าแทน ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวเพื่อขวางนางไว้ข้างหลัง ทักทายเฉินโหย่วฝูด้วยรอยยิ้ม “พี่เฉินยกยอเกินไปแล้ว”
ผู้สอบในเมืองถงอันที่มาจากอำเภอหมิงสุ่ยถูกเรียกชื่อเป็นอันดับต้น ๆ หลังจากที่เฉินโหย่วฝูเข้าไปแล้ว ก็ถึงคราวของหลิวเหิงไม่นานหลังจากนั้น
เหยียนซีให้กำลังใจเขา “พี่เอ้อร์หลาง ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ตั้งใจทำข้อสอบให้ดี คืนนี้ข้าจะทำซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานไว้รอท่าน”
หลิวเหิงหัวเราะ นี่ถือเป็นการใช้อาหารเป็นสิ่งล่อใจหรือไม่? “เจ้าไม่ต้องรอ ข้าจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมทันทีหลังจากสอบเสร็จ เจ้ากลับไปรอที่โรงเตี๊ยมตามลำพังก่อนเถอะ อย่าได้วิ่งเล่นไปมา”
หลังจากพูดจบ เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ เขาไม่สามารถกำชับนางได้มากกว่านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงหันศีรษะและเดินตามผู้สมัครคนอื่น ๆ เข้าไปในสนามสอบ
ขั้นตอนการสอบก็เหมือนกับสนามสอบก่อนหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะมีการจับสลากเลขที่นั่งสอบ
เขาหยิบสลากออกมา แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็แสดงสีหน้าเห็นใจ พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “หลิวเหิง ผู้สอบจากอำเภอหมิงสุ่ย จับสลากได้แถวสุดท้าย”
หลิวเหิงเดินตามเจ้าหน้าที่ไปตลอดทาง จนกระทั่งได้พบกับหัวหน้าเสวียเจิ้งเป็นครั้งแรก โดยท่านเจ้าเมืองถงอันเป็นผู้แต่งตั้งเขา หลังจากทำความเคารพ เขาก็ถูกพาไปยังที่นั่งสอบในวันนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงได้แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจเขาในตอนแรก
ที่นั่งสอบแถวสุดท้าย เป็นตำแหน่งที่อยู่ด้านในสุดของห้องสอบ ไม่ไกลจากที่นั่งของเขา มีห้องเตี้ย ๆ ห้องเดียวซึ่งมีถังน้ำเรียงรายเป็นแถว เห็นได้ชัดว่ามันคือห้องสุขา
ถึงแม้การสอบจะถูกจัดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทว่ากินเวลานานพอสมควร การเข้าห้องน้ำถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่นั่งแถวสุดท้ายซึ่งอยู่ใกล้ห้องสุขาที่สุดถือว่าโชคร้ายมาก กระทั่งสิ้นสุดวัน ไม่อาจล่วงรู้ว่ากลิ่นห้องน้ำจะกระจายไปไกลเป็นสิบลี้หรือไม่ แต่กลิ่นต้องแย่มากแน่นอน
ยิ่งถ้ามีคนเข้าห้องน้ำเยอะเกินไป กลิ่นก็ยิ่งรุนแรงจนโจมตีสมาธิผู้สอบ ถ้าเผลอเสียสติไปสักนิด การสอบจะล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ห้องสอบของเจ้าคือที่นี่ รีบเข้าไปรอข้างในได้เลย” เจ้าหน้าที่เร่งให้หลิวเหิงเข้าไปโดยเร็ว
เมื่อจับฉลากได้ที่นั่งสอบอะไร ก็ต้องเข้าไปนั่งตามนั้น หลิวเหิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอนหายใจกับความโชคร้ายที่ตนเองได้รับ แล้วเดินเข้าไปในห้องสอบ
โชคดีที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ จึงไม่มีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากห้องน้ำ
หลิวเหิงตัดสินใจว่า หลังจากได้รับข้อสอบมาแล้ว เขาต้องรีบเขียนคำตอบให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพราะเขาอาจจะทำข้อสอบออกมาได้ไม่ดีนักหลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน
สิ้นเสียงฆ้องบอกเวลา เจ้าหน้าที่ก็หยิบข้อสอบออกมาแจกให้ทีละคน
หลิวเหิงอ่านหัวข้อการสอบ พบว่าค่อนข้างเข้าทาง
เขาจำหัวข้อการสอบไว้ขึ้นใจ ในขณะที่เขากำลังบดหมึกก็ร่างคำตอบเอาไว้ในใจก่อนแล้ว ในไม่ช้าสมาธิของเขาก็จดจ่ออยู่กับการตอบคำถาม
ครั้นเขียนคำตอบตามหัวข้อไปได้เพียงครึ่งทาง เสียงฆ้องบอกเวลาก็ดังขึ้นอีก ว่าได้เวลาพักเที่ยงแล้ว
หลิวเหิงเห็นผู้เข้าสอบบางคนรีบเดินจ้ำอ้าวไปที่ห้องน้ำพร้อมกับดึงกางเกงไปด้วย เขาหยิบกระดาษทาน้ำมันมาคลี่ปกคลุมกระดาษทดสอบ ขอน้ำร้อนจากคนรับใช้ หยิบเหอเย่ปิ่ง*[3]ที่เหยียนซีเตรียมไว้ให้ คลี่ออกมาชิ้นหนึ่ง ยัดหมูเส้นลงไปเป็นไส้ ตามด้วยแตงกวาหั่นฝอยและไข่ เสร็จแล้วก็พับเข้าด้วยกันแล้วกัดกินไปสองสามคำ พอกินเสร็จแล้วก็ตามด้วยน้ำร้อนถ้วยใหญ่จนรู้สึกอิ่ม
เขาอาศัยช่วงที่มีคนมาใช้ห้องน้ำไม่มาก ชิงลุกไปทำธุระในห้องสุขาก่อน จากนั้นก็พักสายตาสักครู่ แล้วจิบน้ำอีกครั้ง
ไม่นานนักก็มีคนทยอยมาเข้าห้องน้ำหลังจากเขา
อั้นโฉ่วของปีนี้และเฉินโหย่วฝูเดินมาเข้าห้องน้ำด้วยกัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าหลิวเหิงนั่งอยู่ในตำแหน่งใกล้กับห้องสุขา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาแสดงความเห็นอกเห็นใจมาให้
เฉินโหย่วฝูคิดว่าช่างน่าเสียดาย เขาเคยได้ยินคนในครอบครัวเล่าให้ฟังว่าในบรรดาเลขที่นั่งสอบซึ่งแตกต่างกัน แถวสุดท้ายเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเลขเหม็น ว่ากันว่าใครที่จับสลากได้ที่นั่งนี้จะสอบตกเป็นส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่สามารถสอบผ่านด้วยความเพียรเป็นพิเศษ
หลิวเหิงยังอายุน้อย เมื่อรู้ว่าตนเองโชคร้ายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะเสียใจมากเพียงใด
เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถพูดคุยกันในห้องสอบได้ อีกทั้งเฉินโหย่วฝูก็ไม่อยากอยู่นานเพราะไม่อยากทนกลิ่นเหม็น หากไม่ใช่เพราะเขาปวดธุระขึ้นมา เขาคงไม่คิดจะเฉียดกรายเข้าใกล้ห้องน้ำห้องนี้ด้วยซ้ำ
เสียงฆ้องบอกเวลาดังขึ้นอีกครั้ง ถือว่าช่วงพักกลางวันสิ้นสุดลง หลิวเหิงรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเพิกเฉยต่อกลิ่นเหม็นหึ่งได้จริง ๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามคิดว่าตนเองอยู่ในช่วงฤดูทำนาอันแสนวุ่นวายที่ต้องหว่านปุ๋ยคอกลงในทุ่งนา
เขาปลอบใจตัวเองให้สงบลง ก่อนจะลงมือตอบคำถามต่อไป หลังจากทำข้อสอบครบถ้วนแล้ว เขากลับไปตรวจดูตั้งแต่ต้นอีกครู่หนึ่ง จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด จึงเดินไปส่งกระดาษข้อสอบ
กระดาษข้อสอบแผ่นแรกถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าหัวหน้าเสวียเจิ้ง
หัวหน้าเสวียเจิ้งท่านนี้มีชื่อว่าหยางซูถา เขาเป็นจิ้นซื่อในรัชศกเฉิงหยวนปีที่สิบ เขาทำงานในเมืองหลวง หลังจากตระเวนตรวจตราห้องสอบเสร็จ เขาก็มานั่งหลังตรงอยู่ในห้องโถงใหญ่ จริง ๆ แล้วในใจเขารู้สึกเบื่อที่จะรอเต็มทน จนกระทั่งเห็นบัณฑิตคนหนึ่งยื่นกระดาษมาให้ จึงลูบเคราเล็กน้อยและมองไปที่หลิวเหิง
เขาอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางแปลก ๆ เมื่อเห็นหน้าเขาแวบแรก ก่อนจะมองอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่หลิวเหิงส่งกระดาษข้อสอบและคำนับลา เขาก็เรียกเจ้าหน้าที่อีกคนมาสอบถาม “บัณฑิตผู้นั้นเป็นใครกัน?”
แม้ว่าการสอบเยวี่ยนซื่อจะเคร่งครัดมาก แต่ก็ไม่เท่ากับการสอบเซียงซื่อหรือการสอบฮุ่ยซื่อ ผู้คุมสอบยังมีอิสระอยู่มาก
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยได้ยินคำถามของหัวหน้า หลังจากถามไถ่กันเล็กน้อย เขาถึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สมัครสอบจากอำเภอหมิงสุ่ย ซึ่งเพิ่งสอบฝู่ซื่อผ่านในปีนี้ อายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ครั้งนี้โชคไม่ดีที่ตอนสอบเยวี่ยนซื่อจับสลากได้ที่นั่งแถวสุดท้าย คาดการณ์กันว่าเขาส่งกระดาษข้อสอบเร็วด้วยเหตุผลนี้
หยางซูถาได้ยินว่าเขามาจากอำเภอหมิงสุ่ย จึงไม่พูดอะไรอีก เมื่อมองลงไป เห็นว่าลายมือของผู้สมัครยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย สื่อให้เห็นถึงท่าทีสงบนิ่งของผู้สอบ ไม่มีอาการว่อกแว่กไร้สมาธิเลยแม้จับสลากได้ที่นั่งแถวสุดท้าย การที่เด็กหนุ่มวัยสิบสี่มีอารมณ์มั่นคงถึงเพียงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
[1] ชิวเหลาหู่ 秋老虎 ช่วงเวลาที่อากาศควรเย็นลงแต่กลับมีความร้อนกลับมาสักระยะ จะเกิดขึ้นระหว่างสิงหาคมกับกันยายน เวลาจะยาวหรือสั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ
[2] มาจากหนึ่งในบทกวีของโจโฉ ตอนจัดงานเลี้ยงบนเรือรบ
[3] เหอเย่ปิ่ง 荷叶饼 ซาลาเปาแผ่นรูปใบบัว กินกับเนื้อสัตว์และผักสด แล้วพับครึ่งคล้ายแซนด์วิช
MANGA DISCUSSION