บทที่ 60 การสอบเยวี่ยนซื่อมาถึงในพริบตา
หลิวเหิงมีใจจะทำงานทางการ จึงรู้ชัดเจนมาโดยตลอด
เรื่องเส้นสายเช่นนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือได้รับการสนับสนุน ข้อเสียก็คือเมื่อยามอ่อนแอหากต่อสู้กับคนตัวใหญ่โตไม่ได้ ก็จำเป็นต้องไปทำร้ายคนตัวเล็กแทน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็ยังสอบไม่ผ่านแม้แต่ขั้นซิ่วไฉ ตระกูลเฉินเองก็ยังดูถูกตนอยู่บ้าง
บังเอิญว่าเขาโชคดีได้กินข้าวกับเฉินโย่วฝูและพูดคุยกันมาบ้าง แต่หากต้องการเป็นที่โปรดปรานของผู้คน ก็ต้องแข็งแกร่งให้ได้เสียก่อน
วันนี้บังเอิญได้พบเฉินโหย่วฝูที่ข้างถนน เขาได้รับเชิญให้ไปกินเลี้ยง ยามที่ได้รู้ฐานะของตระกูลเฉิน ในใจก็พอมีแผนการอยู่
เหยียนซีแทบจะไม่เป็นกังวลในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ของเด็กหนุ่ม คนผู้นี้มีความฉลาดหลักแหลม ขอเพียงสอบผ่านเป็นข้าราชการ ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยผู้คนรอบข้างที่พร้อมสนับสนุน
ส่วนกิจการของตน เธอก็ยิ่งไม่เป็นกังวล
เจ้าของร้านเฉียนอาจจะเห็นแก่หน้าของหลิวเหิง จนมาไกล่เกลี่ยให้ที่ร้านปักเย็บ แต่การสั่งผักกาดดองของเขาก็เป็นเพียงการพูดคุยซื้อขายเท่านั้น
ดูจากการที่เขาตกลงกับตนอย่างไม่ลังเล เฉินโหย่วฝูน่าจะไม่ได้สนใจเรื่องกิจการครอบครัว และไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องกิจการของเจ้าของร้านเฉียนด้วย
เผยซิ่วกำชับไว้คำหนึ่ง เมื่อเห็นหลิวเหิงเข้าใจคำพูดของตนก็วางใจ
เขานำกระดาษกองหนึ่งให้หลิวเหิง ให้เขาไปลองทำโจทย์อย่างละเอียด ส่วนตนเองก็ไปอ่านหนังสือต่อ
การสอบเยวี่ยนซื่อแบ่งเป็นการสอบซุ่ยซื่อและการสอบเคอซื่อ ซุ่ยซื่อเป็นการสอบของถงเซิง จะเลือกคนที่เก่งกาจที่สุดมาเป็นเซิงหยวน เลือกหนึ่งในนั้นที่ยอดเยี่ยมมาเป็นบัณฑิตยุ้งฉาง เผยซิ่วก็คือบัณฑิตยุ้งฉางนั่นเอง
ส่วนเคอซื่อจะเป็นการสอบของผู้ที่เป็นเซิงหยวน และเป็นการสอบของเหล่าซิ่วไฉ คนที่ไม่ผ่านมีความเป็นไปได้ที่จะถูกปลด ถึงแม้ความเป็นไปได้จะน้อยมากก็ตาม
เผยซิ่วจะต้องเข้าสอบเคอซื่อในปีนี้ หากยังอยู่ในระดับสูงของเคอซื่อต่อไป เขาก็จะรักษาสถานะบัณฑิตยุ้งฉางเอาไว้ได้
แน่นอน เมื่อเทียบกับซุ่ยซื่อแล้ว เคอซื่อนั้นก็เรียบง่ายกว่ามาก ความกดดันก็น้อยลงด้วย
ดังนั้น เผยซิ่วเพียงแค่ต้องลงแรงกับการบ้านของหลิวเหิง หวังว่าเขาจะมีแรงฮึดสู้ สอบผ่านเยวี่ยนซื่อไปด้วย
เมื่อถึงยามค่ำ เหยียนซีก็ยกต้มปลาผักกาดดองขึ้นโต๊ะ หลิวเหิงกินผักกาดดองแล้ว ก็พบว่ามันถือว่าใช้ได้ เผยซิ่วกลับทอดทิ้งหลักคำสอนที่ว่าไม่ให้พูดยามกินหรือนอน เอาแต่ชมว่าอร่อย
“ซีเอ๋อร์ ผักกาดดองที่บ้านก็มีไม่มาก ถ้าหากขายให้ตระกูลเฉิน จะไม่พอเอาได้มิใช่หรือ” หลิวเหิงคิดได้ถึงผักกาดดองสองหม้อที่บ้านก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนที่เจ้าทำสัญญากับเจ้าของร้านเฉิน เจ้าอย่าได้ทำอย่างลวก ๆ เป็นอันขาดนะ”
“อืม ข้ายังเก็บมันเอาไว้อยู่” เหยียนซีคิดได้ว่าหนังสือสัญญา มีปัญหาเล็กน้อยอยู่ ตนนั้นใช้พู่กันเขียนไม่ได้ เพราะลายมือของเธอเลวร้ายมาก เธอกลัวว่าจะเขียนออกมาได้ไม่ถูกต้อง “พี่เอ้อร์หลาง คือว่า… ข้าเขียนหนังสือไม่สวย ท่านสอนข้าได้หรือไม่”
หลิวเหิงมองนางอย่างประหลาดใจ ได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็แทบพูดอันใดไม่ออก ปกติแล้วท่องบทกลอนคัมภีร์ได้บ้าง อีกทั้งยังรู้ตัวหนังสือ แต่กลับไม่เคยคัดลายมือได้หรือ
เหยียนซีจ้องมองแววตาประหลาดใจของอีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร ทันใดนั้นเด็กหญิงก็คิดได้ ต่อไปยังต้องมีจุดให้เขียนหนังสือและคิดบัญชีอีกมาก เธอจะเขียนหนังสือไม่เป็นได้อย่างไร ช่างละเลยไปแล้วจริง ๆ
หลิวเหิงเห็นแววตาอ้อนวอนของนาง ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงนึกถึงแม่สุนัขตัวน้อยที่เคยพบในหมู่บ้าน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ก็ได้ ข้าจะสอนเจ้าเขียน ในเมื่อเจ้ารู้หนังสือแล้ว หัดเขียนหนังสือจะต้องเร็วกว่าคนทั่วไปเป็นแน่ เพียงแต่ต้องฝึกฝนและพยายามมากหน่อยก็เท่านั้น”
“ข้าไม่ต้องใช้การเขียนหนังสือหากิน เพียงแค่เขียนออกมาได้ก็พอแล้ว”
“ลายมือสวย ๆ ทำประโยชน์ได้ไม่น้อย เว่ยฮูหยินยังได้รับมรดกตกทอดเพราะลายมือ สิ่งที่เรียกว่าลายมือก็เหมือนตัวตน ตัวหนังสือเที่ยงตรง ก็เหมือนว่าจิตใจเที่ยงตรง…” หลิวเหิงเห็นได้ชัดว่าต้องการให้อีกฝ่ายเขียนหนังสือสวย ๆ เป็นอย่างมาก ทั้งยังทุ่มเทในการสอนเหยียนซี
เหยียนซีแลบลิ้นออกมา ฮ่องเต้ผู้อ่อนแอของราชวงศ์ซ่งอันล่มสลาย คนผู้นั้นก็ไม่ได้เขียนหนังสืออย่างอ่อนแอเลย แต่หากจะขอบางอย่างจากผู้อื่น เธอก็ไม่อยากจะไปท้าทายค่านิยมของคนโบราณ เพียงแค่ตอบรับไป ยกชามและตะเกียบขึ้นกินเท่านั้น
หลิวเหิงจนปัญญากับนิสัยไร้เหตุผลของนาง แต่ว่าตั้งแต่วันนี้ไปจะไม่สั่นคลอน ทุกวันจะต้องให้เหยียนซีหัดคัดลายมือวันละหนึ่งชั่วยาม เพื่อประหยัดหมึก พู่กัน และกระดาษ เขาจะทำกระดานทรายให้นางด้วยตนเอง ให้นางใช้นิ้วแทนพู่กัน เพื่อให้เข้าใจถึงความหมายของพู่กัน ทำให้เหยียนซีได้ฝึกฝนอย่างยากลำบากเสียหน่อย
เมื่อฝึกฝนเช่นนี้ต่อไป เด็กหญิงก็พบว่าหลิวเหิงคัดลายมือได้หลายแบบ เผยซิ่วก็ชมว่าตอนนี้เขาคัดลายมือได้เป็นเลิศ
เธอคิดเพียงอยากเขียนหนังสือได้ ไม่เคยคิดจะเป็นเว่ยฮูหยิน น่าเสียดายที่หลิวเหิงไม่ฟัง ทุกวันเธอจึงทำได้เพียงสะกดจิตตนเองเป็นร้อยครั้งว่าเขียนหนังสือได้นั้นมีประโยชน์ เพื่อให้กำลังใจตนเอง
อย่าว่าแต่เธอพบว่าการคัดลายมือของเธอพัฒนาขึ้นมากเลย ชาติภพก่อนตอนสมัยเรียนก็เขียนได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ตอนนี้ฝึกฝนทุกวัน ดูเหมือนว่าเธอจะมีพรสวรรค์ในการเขียนหนังสือแล้ว
โดยเฉพาะวันหนึ่งที่ถนน เห็นว่ามีบัณฑิตขายสมุดภาพวาดและลายมือแลกเงินอยู่ข้างถนน ทันใดนั้นเด็กหญิงก็คิดว่าการเขียนหนังสือให้สวยนั้นสำคัญมาก มีทักษะติดตัวไว้เป็นเรื่องดี ชาติที่แล้วไม่ได้จุดประกายความสามารถ ตอนนี้สามารถชดเชยมันได้แล้ว
บางวันเธอก็ฝึกคัดลายมือไปพลางพึมพำว่าคำคำเดียวมีค่าเท่าทองพันตำลึงไปพลาง หลิวเหิงเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหยิบหนังสือมาตีนาง
เด็กหญิงสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ “ท่านตีข้าทำไมหรือ”
“ต่อให้คำคำเดียวมีค่าเท่าทองพันตำลึง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา”
เฮ้อ… เหยียนซีพยักหน้า “พี่ใหญ่เอ๋ย ข้าเข้าใจแล้วว่าไม่มีใคร “ระวังคำพูดและการกระทำ” ได้เท่าท่านอีกแล้ว”
หลิวเหิงได้ยินคำพูดเปรียบเปรยไร้ที่สิ้นสุดของนาง ก็คิดได้ว่าสุดท้ายอย่างไรนางก็ยังอายุน้อย แก้มของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะจ้องมองนางด้วยตาเคร่งขรึม
เหยียนซีค้นพบในทันที ที่แท้คนผู้นี้ก็รูปงามนัก ดวงตาประกายฉายแววราวดวงดารา
เธอจำเด็กหนุ่มผิวขาวซีดที่พบเมื่อตอนข้ามภพมาใหม่ ๆ ได้ ที่แท้ภายในชั่วพริบตา อีกฝ่ายก็เติบโตจนกลายเป็นบัณทิตรูปงามแล้ว อีกทั้งยังทำงานอยู่เสมอ รูปร่างจึงไม่ดูอ่อนแอแม้แต่น้อย
เป็นครั้งแรกที่พบว่าบ้านตนเองมีหนุ่มหล่อ เหยียนซีก็ตะลึงไป คิดได้ว่าตอนอยู่ตรงถนนได้ยินคนพูดเรื่องวัฒนธรรมดูชื่อจับลูกเขย “ท่านอย่าเอาแต่ฝึกคัดลายมือ แต่ต้องบำรุงผิวด้วยนะ ต่อไปจะได้มีภรรยาดี ๆ ที่มีอำนาจมาชอบพอ”
“ไร้สาระ! คำเหล่านี้หากเขียนไม่สวย วันนี้ทุกคำต้องเขียนสามสิบรอบ”
เหยียนซีได้สติคืนจากความงามของอีกฝ่ายทันที ช่วงนี้ชีวิตช่างลำบากจริง
โชคดีที่การสอบเยวี่ยนซื่อใกล้เข้ามาแล้ว
เทียบกับการสอบเซี่ยนซื่อครั้งที่ผ่านมา เยวี่ยนซื่อถือว่าสบายขึ้นมาไม่น้อย ขอเพียงได้สอบเพียงสองสนามก็เป็นพอ
เยวี่ยนซื่อจะจัดขึ้นที่สนามสอบในเมืองถงอัน แต่ไม่มีการระบุเลขที่นั่ง สอบสองสนาม การสอบหลักและการสอบซ้ำก็ล้วนมีชื่ออันดับต้น ๆ
ถึงแม้จะสอบเพียงสองวัน แต่เป็นเพราะกฎของสนามที่ว่าสอบหนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งวัน ทุกคนล้วนไม่กล้าทำอย่างลวก ๆ
ผู้เข้าสอบเยวี่ยนซื่อสามารถนำตะกร้าเข้าสอบได้เพียงอันเดียว ตะกร้าเข้าสอบมีขนาดจำกัด ต้องคิดให้ดี ๆ ว่าจะพกอะไรไป
นอกจากพู่กันกับหินหมึกแล้ว อาหารก็สามารถนำเข้าไปได้เล็กน้อย ผ้าน้ำมันก็จำเป็นต้องพกไป ถ้าหากหนาวก็สามารถเอามาห่มได้ ฝนตกก็สามารถใช้แทนร่มได้ กินอาหารก็ใช้ปู ช่างมีประโยชน์สารพัดสิ่ง
เหยียนซีเตรียมอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารตามปกติ ก่อนหน้านี้หลิวเหิงกล่าวถึงการตรวจสอบก่อนเข้าสนามสอบ ดังนั้นเธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะทำแป้งทอด และเปลี่ยนเป็นเหอเย่ปิงแทน
ชิ้นบาง ๆ ชิ้นหนึ่ง เมื่อตรวจค้นก่อนเข้าประตู หากคนเห็นก็ย่อมดูออก ไม่ต้องกังวลว่าเป็นการพกของมาโกงการสอบ เหอเย่ปิงและเป็ดย่างเดิมทีก็กินคู่กันได้เป็นอย่างดีแต่หากเอาเป็ดย่างไปแล้วอากาศเย็นลง มันก็จะเลี่ยนเล็กน้อย
ดังนั้นเหยียนซีจึงเตรียมหมูเส้น แผ่ไข่ม้วนหั่นเป็นแผ่นบาง จากนั้นก็ใส่แตงกวาหั่นเล็กน้อยลงไป ทุกส่วนผสมล้วนแบ่งออกจากกัน ยามที่ตรวจสอบก็จะไม่ถูกค้นจนเละเทะ
เมื่อครั้งจะรับประทาน หลิวเหิงก็เพียงต้องเอาส่วนผสมเหล่านี้มาใส่ในเหอเย่ปิง ห่อแล้วก็จะกินได้ สดชื่น อร่อย และไม่เลี่ยน กินไปห้าหกคำก็สามารถรองท้องได้แล้ว
นอกจากนี้ยังผัดแป้งสาลีเป็นอาหารสำรอง ถ้าหากยังหิวอยู่ก็กินได้
MANGA DISCUSSION