บทที่ 57 ถอนกิ่งกุ้ยฮวาในวังจันทรา
เหยียนซีเลือกภัตตาคารที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามเพื่อตั้งแผงลอย จากนั้นก็เดินไปยังด้านล่างของภัตตาคารเพื่อเริ่มทำงาน
บนห้องส่วนตัวเหนือภัตตาคาร มีหลายคนกำลังมองลงมาด้านล่าง
หลิวเหิงเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ผู้ที่นั่งถัดจากเขาคือเฉินโหย่วฝู ผู้ที่เคยสนทนากับเขาระหว่างการสอบครั้งล่าสุด พวกเขาต่างก็เป็นบัณฑิตถงเซิงกันทั้งคู่
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่เขาเหน็ดเหนื่อยจากการเล่าเรียน เขาจึงต้องการออกไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย แต่บังเอิญเจอกับเฉินโหย่วฝูและพรรคพวกของเขาเข้าพอดี
เมืองถงอันอยู่ในเขตมณฑลหย่งโจว
สำหรับตระกูลเฉินแล้ว ในเมืองถงอันหรือแม้แต่หย่งโจวทั้งหมด หากสมาชิกในตระกูลคนใดคนหนึ่งกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ทั้งหย่งโจวจะต้องสั่นสะเทือนถึงสามหน
ตระกูลเฉินโดดเด่นเรื่องการสืบทอดบทกวี เป็นที่รู้จักในฐานะตระกูลที่มีจิ้นซื่อถึงหกท่าน นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรเว่ย ตระกูลนี้ผลิตจิ้นซื่อถึงหกคน บรรพบุรุษตระกูลเฉินเคยดำรงตำแหน่งเป็นบัณฑิตแห่งสำนักฉงเหวิน
ครั้งหนึ่งเขาเคยถวายการสอนแด่องค์จักรพรรดิผู้ล่วงลับ นอกจากจะเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิรุ่นแรกแล้ว ยังมีชื่อเสียงด้านวรรณกรรมเป็นที่รู้จักกันดี จนได้รับตำแหน่งให้เป็นบัณฑิตเน่ย์เก๋อ*[1]อีกด้วย นอกเหนือจากโฉวฝู่เน่ย์เก๋อ*[2]เฉินถิงจือ ชื่อฝู่*[3]เกาชื่อซง คนที่สามคือเฉินฟู่หลี่ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเฉิน ว่ากันว่าชื่อฝู่เกาชื่อซงมีกำหนดจะเกษียณและกลับบ้านเร็ว ๆ นี้เนื่องจากอายุที่มากขึ้น หากเขาลาออก เฉินฟู่หลี่จะขึ้นแท่นเป็นชื่อฝู่แทน
เฉินโหย่วฝูเกิดในตระกูลเฉิน และเป็นหลานชายคนที่ห้าของผู้อาวุโสเฉิน ตระกูลเฉินมีกฎประจำตระกูลว่า ทายาทสายตรงทั้งหมดไม่ว่าจะอยากเป็นขุนนางหรือไม่ก็ตาม ทุกคนจะต้องเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ละเว้นไม่ได้โดยเด็ดขาด บิดาของเขามีพรสวรรค์ปานกลาง เมื่อสอบเคอจวี่แล้วระดับก็หยุดอยู่ที่จู่เหริน ลูกชายคนอื่น ๆ ไม่มีพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดเท่า ในขณะที่เฉินโหย่วฝูนั้นฉลาดตั้งแต่ยังเยาว์ จึงถูกคาดหวังไว้สูงลิ่ว
ปีนี้เฉินโหย่วฝูอายุสิบเก้าปี สอบผ่านเซี่ยนซื่อได้อย่างราบรื่น เชิดชูตระกูลเฉินจริง ๆ ที่กลายเป็นซิ่วไฉได้ง่าย ๆ เหมือนเอามือล้วงไปหยิบของในกระเป๋า
เขามีความประทับใจเป็นพิเศษกับหลิวเหิง บัณฑิตที่กิน “อาหารก่อนเข้าสอบ” ในขณะที่ทุกคนกระวนกระวายและประหม่าเกี่ยวกับข้อสอบฝู่ซื่อ เขากลับยังกินอาหารที่ห่อมาด้วยได้อย่างสบายอารมณ์โดยที่อีกฝ่ายเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับคนคนนี้
หลังจากรายชื่อถูกประกาศออกมา เขาถึงได้ทราบว่าหลิวเหิงอายุแค่สิบสี่ปีเท่านั้น ทั้งยังได้อันดับสามในการสอบฝู่ซื่อของเมืองถงอันในปีนี้
ในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเฉิน เขาให้ความสนใจกับบรรดาบัณฑิตในหย่งโจว โดยเฉพาะในเมืองถงอันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ต้องรู้ก่อนว่ารากเหง้าของตระกูลเฉินอยู่ที่นี่
ในแง่ของความสัมพันธ์ นอกเหนือจากบัณฑิตชั้นปีเดียวกันและเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้ว สหายร่วมสนามสอบก็ถือเป็นผู้ที่ควรค่าแก่การผูกมิตรเช่นกัน
หลังจากที่บัณฑิตเหล่านี้เข้าสู่ระบบราชการและได้เป็นขุนนางแล้ว ในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ พวกเขาน่าจะเป็นกองกำลังสนับสนุนหน่วยสำรองของตระกูลเฉินได้อย่างดี
หลิวเหิงอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่ง่ายเลยที่จะสอบได้อันดับสามของเมืองถงอันด้วยความสามารถและความรู้ที่แท้จริงของเขา
ครั้งนี้เมื่อได้พบกับเขาในเมืองถงอันอีกครั้ง เขาจึงต้องการผูกมิตรกับอีกฝ่ายสักหน่อย เพื่อดูว่าคนคนนี้มีอุปนิสัยใจคออย่างไร เป็นประโยชน์ต่อเขาในภายภาคหน้าหรือไม่
ดังนั้น ทันทีที่เขาได้พบกับหลิวเหิง เขาจึงเชิญอีกฝ่ายไปที่ร้านอาหารอย่างอบอุ่นเพื่อพบปะมิตรสหายแลกเปลี่ยนบทกวีกัน
หลิวเหิงไม่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของเฉินโหย่วฝู แต่เขาไม่ใช่คนไร้เดียงสาและโง่เขลา เนื่องจากเขาวางแผนที่จะสอบเคอจวี่เพื่อเลื่อนระดับเป็นขุนนาง เขาจึงเข้าใจวิถีการผูกมิตรของมนุษย์โดยสัญชาตญาณ
นอกจากนี้ เขาตระหนักว่าตนเองไม่ควรปิดกั้นเกินไปจนอยู่ลำพัง ต้องรู้จักผูกมิตรกับผู้คนอย่างเหมาะสมบ้าง เช่นเดียวกับที่เหยียนซีเคยพูดไว้เสมอ เพื่อนมากหนทางก็ยิ่งมาก
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เฉินโหย่วฝูเชื้อเชิญเขา เขาเห็นว่าคนคนนี้มีบุคลิกที่เป็นอิสระและเรียบง่าย ทั้งยังมีมารยาทในการพูดและการแสดงออกที่ดี เขาจึงต้องการรู้จักอีกฝ่ายให้มากขึ้น จึงติดตามเขาไป
ในภัตตาคารยังมีอีกสองคน คนหนึ่งเป็นอั้นโฉ่ว*[4]ของการสอบฝู่ซื่อในปีนี้
พวกเขาทั้งสี่เพิ่งนั่งลงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงดังมาจากร้านเย็บปักฝั่งตรงข้าม
เด็กรับใช้หนุ่มรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว จึงรีบกลับมารายงาน
หลิวเหิงมองออกไปข้างนอก เห็นว่าหนึ่งในบุคคลที่กำลังมีปากเสียงพิพาทกันอยู่ก็คือเหยียนซี เขารีบขอโทษเฉินโหย่วฝูที่เสียมารยาท ตั้งใจว่าจะไปดูนางสักหน่อย
ระหว่างทางก่อนที่เฉินโหย่วฝูจะมาที่นี่ เขาได้ยินหลิวเหิงบอกว่าครอบครัวของเขามีฐานะยากจนมาตั้งแต่เขายังเด็ก มีผู้เป็นแม่คอยทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสียเขา เมื่อเห็นเหยียนซีอยู่ที่หน้าร้านเย็บปักจึงเอ่ยถามว่า “หลิวเสียนตี้ นั่นก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของเจ้าด้วยหรือ?” จากนั้นก็ขมวดคิ้ว มองเจ้าของร้านหญิงที่กำลังขับไล่อีกฝ่ายออกจากร้านเย็บปักว่า “การทำกิจการควรไกล่เกลี่ยด้วยสันติวิธี”
ตระกูลเฉินมีกิจการมากมายอยู่ในหย่งโจว แต่เนื่องจากผู้อาวุโสเฉินค่อนข้างเข้มงวดกวดขัน ร้านค้าทั้งหมดจึงยึดถือแนวปฏิบัติตามกฎ และให้ความสำคัญกับสันติวิธี
เหยียนซีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเด็กผู้ชาย หลิวเหิงจึงลังเลว่าควรบอกอีกฝ่ายว่านางเป็นน้องชายหรือไม่ ทันใดนั้นเด็กรับใช้ที่อยู่ถัดจากเฉินโหย่วฝูก็โพล่งขึ้นด้วยสายตาที่เฉียบคม “คุณชาย นั่นเด็กผู้หญิงนี่ ควรเรียกเจ้าของร้านเฉียนมาสอบถามดีหรือไม่ขอรับ?”
“เป็นเด็กผู้หญิงจริงหรือ? เช่นนั้นนางใช่น้องสาวของหลิวเสียนตี้…” เฉินโหย่วฝูหันมองหลิวเหิงอย่างไม่แน่ใจ
“นั่นคือน้องสาวของข้าเอง” หลิวเหิงไม่ปิดบังอีกต่อไป
“น้องสาวงั้นหรือ?”
“อย่างที่กล่าวว่าครอบครัวของข้ามีฐานะยากจน นอกจากท่านแม่ต้องทำงานอย่างหนักแล้ว ตอนนี้ข้ายังพึ่งพาน้องสาวที่ทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่ข้าจะได้เรียนหนังสือและสอบได้อย่างวางใจ แม้ว่านางจะยังเด็ก ทว่านางไม่มีนิสัยหุนหันพลันแล่น ทั้งยังเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่รู้ว่านางโต้เถียงกับอีกคนด้วยเหตุใด ข้าจะลงไปดูเสียหน่อย”
หลิวเหิงบอกตามตรงว่าเขามาจากครอบครัวที่ยากจน แต่เขากลับวางตนอย่างเหมาะสม เล่าความจริงอย่างเปิดเผยไม่มีการปิดบัง
เฉินโหย่วฝูประทับใจในตัวอีกฝ่ายขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เมื่อเขาได้ยินว่าเด็กหญิงเป็นน้องสาวของเขา อีกทั้งร้านเย็บปักเฉินจี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เป็นหนึ่งในกิจการของตระกูลเขา เขาจึงหันไปสั่งให้เด็กรับใช้ไปหาเจ้าของร้านเฉียนเสีย กำชับให้เขาเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย
เจ้าของร้านเฉียนได้รับคำสั่งแล้วจึงรีบออกไป
เด็กรับใช้กลับมา ก่อนจะถ่ายทอดในสิ่งที่เจ้าของร้านเฉียนพูดคุยกับเหยียนซี เฉินโหย่วฝูจึงหันไปยิ้มให้หลิวเหิง “หลิวเสี้ยนตี้ เจ้าคิดว่าน้องสาวของเจ้าสามารถขายกระเป๋าทั้งหมดได้จริงหรือไม่?”
เฉินโหย่วฝูเข้าใจในสิ่งที่เจ้าของร้านเฉียนกล่าวในทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของเหยียนซีที่บอกว่านางสามารถขายกระเป๋าเงินให้หมดเกลี้ยงได้ภายในวันเดียว
ทว่าเหยียนซีกลับปฏิเสธไม่ยอมคล้อยตาม ออกปากเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยความมั่นใจเสียเต็มประดาว่ากระเป๋าเงินของนางต้องขายหมดแน่ สิ่งนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขาเล็กน้อย
หลิวเหิงเชื่อในทักษะของเหยียนซีด้านการค้าขายจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงปฏิเสธที่จะละทิ้งความทะเยอทะยานแม้อยู่ต่อหน้าคนนอก พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เฉินคงไม่ทราบ น้องสาวของข้าคนนี้มีไหวพริบฉลาดเฉลียวยิ่ง นางมีหัวการค้าเป็นเลิศ ถึงข้าจะไม่รู้ว่านางมีวิธีขายมันอย่างไร แต่หากนางบอกว่าขายหมดแน่ ข้าก็เชื่อมั่นว่านางไม่ได้กล่าวเกินจริง”
หลิวเหิงตอบอย่างถ่อมตัว แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเหยียนซีสามารถทำได้อย่างแน่นอน
เฉินโหย่วฝูรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้น “ในเมื่อหลิวเสียนตี้เอ่ยเช่นนั้น ข้าคงต้องรอดูหน่อย”
เขากันหลิวเหิงไม่ให้ลงไปข้างล่าง ทั้งสี่คนยืนอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อเฝ้าดูเหยียนซีที่กำลังทำงานยุ่งอยู่ด้านล่าง
เหยียนซีไม่รู้ตัวเลยว่ายังมีผู้ชมอีกสี่คนยืนอยู่ชั้นบน เธอเห็นว่าหน้าภัตตาคารค่อนข้างทำเลดี จำนวนผู้คนที่สัญจรผ่านก็มากมาย จึงขอให้คนงานในร้านเย็บปักมาช่วยยกของ วางชั้นวางที่เต็มไปด้วยกระเป๋าไว้บนเสาหินหน้าภัตตาคาร
เจ้าของร้านเฉียนเห็นว่าเด็กชายเลือกที่นี่เป็นที่ตั้งแผง จึงขอให้คนงานของตนไปบอกกล่าวกับเจ้าของภัตตาคาร เพื่อขอยืมพื้นที่หน้าร้านในการตั้งแผงขายของสักครึ่งชั่วยาม หลังจากเจรจาเสร็จสิ้น เขาก็หันไปพยักหน้าให้เหยียนซี เป็นเชิงบอกว่าไม่มีปัญหาในการตั้งแผงขายของ
เมื่อเห็นลูกค้าจำนวนมากเดินผ่านมา เหยียนซียังไม่รีบร้อนตะโกนเรียกลูกค้า แต่หยิบกระเป๋าสองสามใบขึ้นมาถือไว้ในมือ จนกระทั่งเห็นบัณฑิตบางส่วนเดินออกมาจากภัตตาคาร จึงตะโกนเสียงดังว่า “บัณฑิตมากพรสวรรค์ทั้งห้า ว่าที่จอหงวนคนใหม่ ยืนหัวเต่ามังกร*[5]! นายท่านทั้งหลาย ข้ามองเพียงปราดเดียวก็เห็นแล้วว่าท่านเต็มไปด้วยจิตวิญญาณสมกับเป็นผู้มีองค์ความรู้ สนใจแวะชมกระเป๋าเงินของข้าสักหน่อยหรือไม่? ถอนกิ่งต้นกุ้ยฮวาในวังจันทรา*[6] เลื่อนตำแหน่งอย่างราบรื่น เขียนบทประพันธ์ชั้นเยี่ยมในห้องสอบ จะไม่สนใจดูสักหน่อยหรือ?”
ทันทีที่นางกล่าวเช่นนี้ออกมา เฉินโหย่วฝูก็หัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วห้องชั้นบน ตบไหล่หลิวเหิงพลางพูดว่า “หลิวเสี้ยนตี้ จริงอย่างที่น้องสาวของเจ้ากล่าว เห็นทีกระเป๋าเงินของนางคงไม่พอขายจริง ๆ ”
[1] เน่ย์เก๋อ 内阁 เทียบได้กับตำแหน่งทางราชการไทยประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ
[2] โฉวฝู่ 首輔 ตำแหน่งขุนนางอาวุโสสูงสุดในเน่ย์เก๋อ เทียบเท่าสมุหราชเลขาธิการ
[3] ชื่อฝู่ 次辅 ตำแหน่งรองจากโฉวฝู่ในเน่ย์เก๋อ
[4] อั้นโฉ่ว 案首 ผู้ที่สอบได้อันดับที่หนึ่งหรือสูงสุดในบรรดาบัณฑิต
[5] ยืนหัวเต่ามังกร 独占鳌头 หมายถึง จอหงวน ซึ่งก็คือคนเก่งเป็นอันดับหนึ่ง หรือผู้ที่เชี่ยวชาญเป็นเลิศนั่นเอง
[6] ถอนกิ่งกุ้ยฮวาในวังจันทรา อุปมาว่า สามารถสอบขุนนางผ่านได้อย่างราบรื่น
MANGA DISCUSSION