บทที่ 55 การยั่วยุที่ไม่คาดคิด
โชคของเหยียนซีค่อนข้างดี ดียิ่งกว่าตอนที่หลิวเหิงมาที่นี่ครั้งก่อนด้วยซ้ำ
ทั้งคณะเจอโรงเตี๊ยมที่ดูค่อนข้างสะอาด อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากสนามสอบมากนัก จากบทเรียนครั้งก่อนที่ได้รับ ทั้งสามคนขอต่อรองราคาและได้ห้องที่ราคาแปดร้อยอีแปะต่อวัน โดยได้มาสองห้อง ห้องหนึ่งให้เหยียนซี และอีกห้องสำหรับหลิวเหิงและเผยซิ่วไฉ
จากยากจนสู่ร่ำรวย ครั้งนี้เหยียนซีพกมาห้าสิบตำลึงเงิน มันมากพอสำหรับเช่าโรงเตี๊ยมได้
หลังจากตะวันตกดิน ก็ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของวันแล้ว คนทั้งสามรู้สึกหิวโหย แต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
เหยียนซีเจรจากับเถ้าแก่เพื่อขอหยิบยืมเตาสำหรับทำอาหาร สุดท้ายก็ทำบะหมี่ได้สามถ้วยสำหรับมื้อเย็น
เมื่อพิจารณาจากตัวหลิวเหิงที่ต้องเข้าสอบ เหยียนซีจึงพยายามรักษาคุณค่าทางอาหารและความสะอาดให้มากที่สุด เด็กหญิงจะตื่นขึ้นแต่เช้าไปซื้อผัก ข้าว เส้นบะหมี่ และของอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
เธอใช้เตาไฟต้มถั่วเขียวจนกลายเป็นโจ๊กลูกเดือยแต่เพราะไม่มีบวบ เหยียนซีจึงนำฟักทองอ่อนมาหั่นฝอย เติมเกลือเพื่อสะเด็ดน้ำ ตอกไข่ลงไป จากนั้นใส่เกลืออีกนิดพร้อมผสมกับแป้ง เธอตั้งกระทะให้ร้อน วางฟักทองอ่อนหั่นฝอยลงไป ก่อนจะทาน้ำมันและแป้งลงในกระทะ โรยต้นหอมเล็กน้อย สุดท้ายก็ได้อาหารสามชนิดออกมา
เธอนำโจ๊กลูกเดือยวางใส่ถาด ก่อนจะนำกลับไปยังห้องพัก
เผยซิ่วไฉมองโจ๊กลูกเดือยที่ค่อนข้างใสนั้นด้วยตาเป็นมัน จากนั้นก็มองไปที่แป้งม้วนสีสันสดใส ก่อนจะตัดสินใจตักแป้งม้วนส่งเข้าปาก เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรับกลิ่น “อร่อยจริงเชียว สิ่งนี้เรียกว่าอะไรกัน? ข้าไม่เคยได้กินที่ถงอันมาก่อนเลย” เขาคว้าถ้วยโจ๊กลูกเดือยขึ้นมาตักกิน โจ๊กนี้ก็ปรุงรสได้ดีเยี่ยมเหมือนกัน
อันที่จริง อาหารที่เป็นแป้งม้วนนั้น มีวิธีการทำที่แตกต่างกันไปตามภูมิภาค นอกจากวัตถุดิบจะแตกต่างกันแล้ว เหยียนซีก็เลือกวิธีการทำที่เคยเห็นจากพื้นที่ทางเหนือในชาติก่อน เมืองถงอันอยู่ค่อนไปทางใต้ ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงได้กินแต่ขนมที่มีเนื้อสัมผัสร่วน อาหารที่ทำจากแป้งแผ่นม้วนซึ่งเคยพบเห็นได้มากในชาติก่อน จึงถือว่าเป็นของหายากสำหรับที่นี่
“อาจารย์เผย เรียกมันว่าโรตีก็แล้วกัน มันทำมาจากฟักทองหั่นฝอยผสมกับแป้งเจ้าค่ะ” เหยียนซีหยิบมากัดคำหนึ่ง ฟักทองอ่อนที่นำมาทำแทนบวบนั้นทำให้รสชาติของมันค่อนข้างอร่อย
ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงวันสอบ หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เผยซิ่วไฉก็กำชับหลิวเหิงให้ทบทวนตำราอย่างระมัดระวัง และออกไปเยี่ยมชมสนามสอบเพื่อเตรียมความพร้อม ส่วนเหยียนซีพบว่าตนเองไม่มีอะไรทำ จึงต้องการออกไปเดินทั่วเมือง
หลังสำรวจพื้นที่จนทั่วแล้ว เธอก็ได้พบว่าเมืองถงอันสมกับเป็นเมืองใหญ่ ราคาสินค้าที่ขายในตลาดค่อนข้างดีกว่าแถวหมิงสุ่ยมาก เช่น ไข่ที่เธอซื้อมาในราคาสองอีแปะตอนอยู่หมิงสุ่ยถือว่าแพงแล้ว แต่สถานที่เช่นหมู่บ้านหยางซานหรือชิงหลง หนึ่งอีแปะกลับสามารถหาซื้อได้ฟองหนึ่ง ส่วนที่ถงอันราคาตามปกตินั้นจะอยู่ที่สองอีแปะ แต่ตอนที่ราคาพุ่งสูงขึ้น มันอาจขายได้ถึงสามอีแปะเลยทีเดียว
ยังไม่พูดถึงอาหารชนิดอื่น ที่ปกติแล้วมักจะขายได้แพงกว่าในชนบทเสียอีก
ผ้าก็มีหลายชนิด เพียงแต่ร้านค้าผ้าขนาดใหญ่จะไม่มีผ้าฝ้ายเนื้อหยาบขาย ไม่ทราบว่าเพราะคนในเมืองหลักร่ำรวยเกินไป จนไม่คิดจะซื้อผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ หรือเพราะมีร้านค้าเพียงไม่กี่แห่งที่เข้ามาอุดหนุนร้านใหญ่ พวกเขาจึงไม่ค่อยนำพวกมันมาขายกันแน่
การที่ต้องเสียเงินอย่างเดียวนั้น ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เด็กหญิงจึงนำกระเป๋าผ้าที่นางหวังเย็บเสร็จไปสอบถามราคากับร้านปักผ้า
“กระเป๋าใบนี้ เนื้อผ้าไม่ค่อยดีนัก” ผู้ดูแลร้านหญิงของร้านปักผ้าหยิบกระเป๋าขึ้นมาใบหนึ่งด้วยความขยะแขยง จากนั้นจึงคว้ากระเป๋าที่ทำจากผ้าไหมขึ้นมาสิบใบ “พวกนี้พอจะซื้อขายได้อยู่ ข้าจะให้ราคาห้าอีแปะต่อใบก็แล้วกัน”
สิ้นคำ นางจึงหยิบเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งจากถังใส่เงิน โยนลงกับโต๊ะคิดเงินและเริ่มนับ
เหยียนซีเห็นวิธีการที่ผู้ดูแลร้านหญิงของร้านนี้ทำกับคนอื่น จึงรู้ทันว่าอีกฝ่ายกำลังกลั่นแกล้งตนเพราะเห็นว่ายังเด็ก ทำให้ไม่รู้ราคาสินค้าในตลาด
เธอเพิ่งได้ยินมาจากข้างทางว่า กระเป๋าที่ทำจากผ้าไหมและวางขายในร้านปักผ้ามักขายได้ที่ราคาสิบห้าถึงยี่สิบอีแปะ
กระเป๋าผ้าไหมของนางหวังตัดเย็บด้วยวัสดุชั้นดี ดียิ่งกว่าที่วางขายหน้าร้านแห่งนี้ ดังนั้นอย่างน้อยควรต้องให้สักแปดอีแปะสิถึงจะถูก
“ผู้ดูแลร้านหญิง ห้าอีแปะน้อยเกินไป เพิ่มให้อีกได้หรือไม่?”
“ใบละห้าอีแปะขาดตัว เจ้าจะขายหรือไม่ขาย” ผู้ดูแลร้านหญิงมองเสื้อผ้าของเหยียนซีพลางพูดว่า “ด้วยสภาพซอมซ่อเช่นนี้ ข้าจ่ายให้ห้าอีแปะก็ถือว่าเป็นราคาที่สูงแล้ว”
“ถ้าราคานั้น ข้าไม่ขาย” เหยียนซีขมวดคิ้ว เก็บกระเป๋าทั้งหมดหันกลับ และเดินออกจากร้านไป
เมืองถงอันมีร้านปักผ้าเพียงแค่สองร้าน ร้านของผู้ดูแลร้านหญิงคนเมื่อครู่อยู่ค่อนไปทางชานเมือง จึงมักขายสินค้าตัดเย็บแบบฝากขายหน้าร้าน
ร้านปักผ้าของนางถือว่ามีทำเลดี หน้าร้านใหญ่ แม้ราคาสินค้าที่ตัดเย็บนั้นจะไม่ได้แพงมาก แต่ก็ถือว่าเรียกราคาได้
ดังนั้น เพื่อที่จะค้าขายสินค้าตัดเย็บได้ในระยะยาว พวกผู้หญิงจากทางชนบทมักนำมาขายให้กับนาง
เหยียนซีนำกระเป๋าออกมา นางเพียงมองก็ทราบได้ว่าเด็กคนนี้มีกระเป๋าอีกไม่น้อย หากไม่กดราคาหากำไรเพิ่มก็ออกจะเป็นเรื่องน่าเสียดายเกินไป
แต่แล้วกลับเกินคาด เหยียนซีเก็บของหันกลับออกไปโดยไม่คิดจะต่อรองอีกครั้ง เรื่องนี้ให้ทำเอานางอับอายขึ้นมา
“เจ้าเด็กคนนี้มาจากไหนกัน กล้าดียังไงถึงทำตัวเช่นนี้? ถ้าไม่ขายให้ข้า แล้วจะไปขายเศษผ้านั่นที่ไหน? คิดหรือว่าจะขายเศษผ้านั่นในเมืองใหญ่เช่นนี้ได้?” ผู้ดูแลร้านหญิงมีโทสะจึงเดินตามเด็กหญิงในชุดเด็กชายไป นางหยุดยืนอยู่หน้าประตูร้านพร้อมกับตะโกนดังลั่น “สำเหนียกตัวเองบ้างเถิด ข้าทำกิจการก็ต้องหากำไร…”
ร้านปักเย็บแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักของเมืองใหญ่ ดังนั้นจึงมีคนสัญจรผ่านไปมามากมาย ตอนที่ผู้ดูแลร้านหญิงสบถออกมานั้น บรรดาคนสัญจรถึงกับหยุดมอง
ผู้คนที่สัญจรบางส่วนไม่ยืนเฉย แต่กล่าวออกมาด้วยความเที่ยงธรรม “กับแค่เด็กไม่ขายกระเป๋าให้ไม่กี่ใบ ต้องตะโกนประจานกันถึงขนาดนี้เลยหรือ?”
“จริงด้วย หากไม่ซื้อก็แค่ไม่ซื้อ จะมาพ่นคำพูดไม่ดีใส่คนอื่นทำอันใด”
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้พูดแทนเหยียนซี ผู้ดูแลร้านหญิงก็ยิ่งรู้สึกอับอาย “ก็แค่เศษผ้า ยังคิดจะเอามาขายเป็นเงินงั้นหรือ? ต่อให้เร่แจก ข้ายังคิดว่าไม่มีคนเอาด้วยซ้ำ คนที่เอาเศษผ้าพวกนี้…”
“หุบปาก!” เหยียนซีคิดจะอดกลั้นเอาไว้ แต่พอได้ยินคำพูดเหยียดหยามของผู้ดูแลร้านหญิงจึงตะโกนสวนกลับ เธออดทนคำก่นด่าที่มีต่อตัวเองได้ เพราะถึงอย่างไร การค้าขายบางครั้งก็มีเรื่องต้องกล้ำกลืนฝืนทนเกิดขึ้น เพียงแต่อีกฝ่ายดูแคลนฝีมือเย็บปักของนางหวัง เธอจึงทนเรื่องนี้ไม่ได้
“ข้ามาที่ร้านก็เพื่อสอบถามราคา จะซื้อขายหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง ตอนนี้จะมาถ่มคำพูดใส่คนอื่นเพื่ออะไร? ทำการค้าต้องมีน้ำใจ จึงจะได้รับการเห็นคุณค่า เพราะเช่นนี้ไง ข้าจึงไม่แปลกใจที่ร้านอยู่ทำเลก็ดี แต่กิจการกลับซบเซา”
ถ้อยคำเหล่านี้ประทับใจผู้คนยิ่ง กิจการของร้านปักผ้าแห่งนี้ถือว่าไม่ค่อยดีจริงอย่างที่กล่าว ท่าทีของผู้ดูแลร้านหญิงก็ยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่า
ได้ยินคำพูดของเหยียนซี นางถึงกับระบายโทสะออกมา “เจ้า… กล้าดีอย่างไรมาว่าร้ายกิจการของข้า? ขยะข้างถนนเช่นของของเจ้า หากเจ้ายังขายได้ มีหรือข้าจะขายไม่ได้?” นางชี้มือยังกระเป๋าคุณภาพดีภายในร้าน “เห็นนั่นหรือไม่? สินค้าเหล่านี้บรรดาขุนนางต่างชื่นชอบกันทั้งสิ้น”
เหยียนซีมองกระเป๋าผ้าที่ทำจากผ้าไหม ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “จะหัวไชเท้าหรือว่าผัก แต่ละอย่างก็มีคนชอบในแบบที่มันเป็น หากว่าขายไม่ออก ก็เพราะไม่มีความสามารถเองกระมัง”
“เหอะ คางคกหาวใส่หินสิไม่ว่า หากเจ้ามีความสามารถ วันนี้คงขายกระเป๋าพวกนั้นได้หมดแล้วสิ ข้าล่ะอยากเห็นจริง ๆ ว่าเจ้าจะขายหมดหรือไม่!” ผู้ดูแลร้านหญิงชี้สัมภาระของเหยียนซี มันมีกระเป๋าหลายสิบใบ คิดขายให้หมดในวันเดียวคงเป็นเรื่องยาก
ครอบครัวของนางทำกิจการร้านปักเย็บขนาดใหญ่จึงสามารถขายกระเป๋าได้หลายใบต่อวัน และคนทำยังเป็นหญิงสาวจากตระกูลร่ำรวยในเมืองใหญ่ทั้งสิ้น
เหยียนซีหันมองรอบด้าน ถนนสายหลักของเมืองถงอันเต็มไปด้วยภัตตาคารและร้านรวงมากมาย
การสอบใกล้จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ผู้คนจึงสัญจรไปมาค่อนข้างมาก บัณฑิตหลายคนคอยแวะเวียนเข้าไปในภัตตาคารอยู่ตลอด
เธอเลิกคิ้วมอง ขณะตอบผู้ดูแลร้านหญิง “ถ้าหากขายได้หมด แล้วจะว่าอย่างไร?”
“ข้า…ข้าจะยอมรับว่าช่างเย็บปักของเจ้ามีฝีมือที่ดีก็แล้วกัน”
“ช่างเย็บปักของข้าฝีมือดี ใช่เรื่องที่จะต้องให้ผู้ดูแลร้านยอมรับงั้นหรือ? หรือต่อให้ไม่ดี ก็ใช่เรื่องหรือ?” เหยียนซีเอ่ยคำอย่างเหยียดหยัน
MANGA DISCUSSION