บทที่ 54 หาเงินช่างหอมหวาน
เถ้าแก่เฉินค่อนข้างเชื่อใจได้ ภายในช่วงเวลาไม่กี่วันจึงบอกเหยียนซีว่ามีพ่อค้าที่ต้องการรับซื้อสินค้าเช่นขนสัตว์แล้ว
เขายังนำขนสัตว์ของเหยียนซีไปให้อีกฝ่ายได้รับชม แม้ขนสัตว์นี้ไม่มีค่าเหมือนดังขนสุนัขจิ้งจอก แต่ข้อดีคือหนังสัตว์มีสภาพสมบูรณ์มาก และราคาไม่แพงจนเกินไป หากหนังสัตว์ที่เหยียนซีมีอยู่คุณภาพเช่นเดียวกัน เช่นนั้นเขาก็ยินดีซื้อมาทั้งหมดสามร้อยผืน
เหยียนซีรู้สึกยินดีมาก เพราะหนังสัตว์เหล่านี้รวบรวมมาจากชาวภูเขาอีกทีหนึ่ง
สินค้าจำพวกหนังสัตว์ที่คุณภาพดีชาวภูเขาจะเก็บไว้เพื่อขาย แต่หากเป็นหนังกระต่ายเพียงหนึ่งหรือสองผืนย่อมไม่อาจขายได้ราคาดี ในปีก่อนหน้า พวกเขาจึงเก็บไว้ใช้งานเอง แต่ละบ้านจึงมีเก็บเอาไว้ไม่ใช่น้อย
กิจการค้าผ้าฝ้ายของเหยียนซีก็ขายในราคาที่ถูก ในเมื่อแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นหนังสัตว์ที่ดีมาขายต่อได้ ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ทุกคนต่างได้รับสิ่งที่ต้องการ
เพียงแต่ หากเหยียนซีรวบรวมหนังสัตว์เหล่านี้มาจำนวนมากพอ การขายออกไปย่อมได้รับคืนถึงสองเท่า
สินค้าจำพวกหนังสัตว์ที่เธอเก็บรวบรวมเอาไว้ ต่างกองสุมในโกดังของตระกูลหลิว ภายหลังตรวจนับ จึงพบว่ามีมากกว่าสองร้อยผืน และแต่ละผืนขายได้ราคาสามสิบอีแปะ
รวมทั้งหมดแล้ว เหยียนซีจึงขายและได้รับมาหกตำลึงเงิน
เหยียนซีจ่ายค่าเสียเวลาให้เถ้าแก่เฉินสองตำลึงเงิน ตอบแทนที่อีกฝ่ายช่วยเหลือ
เถ้าแก่เฉินจับจ้อง “หากยังเรียกข้าเป็นลุงคนหนึ่ง งั้นข้าจะรับเงินจากเจ้าเอาไว้ได้อย่างไร? เก็บเอาไว้เองเสียเถิด ภายหน้าจงนำไปใช้ชีวิต มีอีกต้องหลายสิ่งที่ต้องใช้เงิน สองตำลึงเงินนี้ ถือเสียว่าลุงเฉินมอบให้ภายหลังเจ้าแต่งงานแล้วกัน ถือว่าเก็บไว้เป็นเงินรับขวัญสะใภ้”
เหยียนซีตอนแรกซึ้งใจ แต่พอได้ยินเป็นเงินรับขวัญสะใภ้ เธอแทบสำลักออกมา เก็บไว้ใช้ตั้งตัวใช้ชีวิตนั้นไม่เป็นไร แต่เก็บไว้เป็นเงินรับขวัญสะใภ้นั้นเป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถาม เพราะว่าในชีวิตนี้เธอคงไม่สามารถแต่งภรรยาเข้าบ้านได้
เพราะเขาอายุยังเยาว์ เถ้าแก่เฉินจึงยังมองอีกฝ่ายเป็นเด็กชายที่น่ารักน่าชัง อีกทั้งในอนาคตเด็กชายผู้นี้ต้องมีอนาคตไกลแน่
จนช่วงสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม เหยียนซีจึงทำตัวประหนึ่งมดงาน คอยไปมาขายสินค้าในคลังของร้านค้าผ้าเฉินจี้
เพื่อขายผ้าในจำนวนมาก เหยียนซีไม่เพียงแต่ไปมาทั่วอำเภอหมิงสุ่ย แต่ยังไปอีกสองอำเภอข้างเคียง จนถึงขนาดพื้นรองเท้าสึกหรอไปหลายคู่
ขณะเดินทางไปมา ด้วยสินค้าที่เก็บไว้ในโกดัง เถ้าแก่เฉินจึงได้รับมาถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงเงิน
และทางด้านเหยียนซี ก็อาศัยเงินก้อนนี้เป็นทุนจนเก็บรวบรวมเงินได้แล้วถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบตำลึงเงิน
สำหรับผู้คนในปัจจุบัน จำนวนที่เก็บรวบรวมได้ ถือว่าเป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว
ความร่ำรวยเป็นความรู้สึกที่ดีเสมอ เหยียนซีกลับถึงบ้าน ซ่อนตัวในห้อง ม้วนตัวกลิ้งบนที่นอนไปมาด้วยความรู้สึกยินดีหลายตลบ หากไม่ใช่เพราะมันหนักเกินไป เธอคงปรารถนาจะพกพาพวกมันแบกไว้บนหลังทุกวี่วัน
อีกทั้งเด็กหญิงยังขอให้หวังชีช่วยติดต่อนายหน้าในเมือง เพื่อจัดหาซื้อที่ดินสักหลายไร่ ต่อให้เธอไม่อาจจัดตั้งเรือนหญิงได้ อย่างน้อยก็ต้องมีสินทรัพย์เป็นของตัวเองไว้บ้าง
ช่วงเวลานี้ หลิวเหิงเดินทางกลับบ้านครั้งหนึ่ง ระหว่างทางยังแวะเมืองถงอันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบในช่วงเดือนสิงหาคม
การสอบทั้งหมดจะจัดขึ้นที่เมืองถงอัน เพียงแต่การสอบของราชสำนักจะจัดขึ้นโดยสำนักปกครองของเมืองถงอัน โดยจะมีใต้เท้าเสวี้ยเจิ้งมาคุมการสอบด้วยตนเอง
เพราะก่อนหน้านี้ไปถึงช้า ทำให้ต้องจ่ายค่าโรงเตี๊ยมเพิ่มมากขึ้น
ภายหลังครุ่นคิดมาสักระยะ เหยียนซีจึงขันอาสา “พี่เอ้อร์หลาง ให้ข้าพาท่านไปเมืองถงอันเถิด หากว่าไปถึงก่อนสักครึ่งเดือน ข้ายังจะช่วยทำอาหารให้เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้บ้าง ครั้งก่อนไม่ใช่ท่านบ่นหรอกหรือว่าค่าอาหารในเมืองแพงเกินไป?”
เมืองถงอัน มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าอำเภอหมิงสุ่ย ดังนั้นเหยียนซีจึงคิดอยากไปเห็นสักครั้ง
ใจนางหวังรู้สึกว่าหากเหยียนซีติดตามไปด้วย นางก็จะวางใจได้ เพียงแต่ไม่นางไม่รู้ว่าการมีผู้หญิงเดินทางไปด้วยหลิวเหิงจะสะดวกหรือไม่ นางจึงทำได้เพียงจ้องมองหลิวเหิงเพื่อถามความคิดเห็น
“ช่วงเวลานี้ ที่เมืองจะยิ่งมีคนมากยิ่งขึ้น”
“ข้าไม่คิดไปเพ่นพ่านที่ไหน หากคิดไปก็จะไม่ไปในที่ที่มีคนเยอะ” เหยียนซีรับปาก
เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายของนาง หลิวเหิงจึงนึกได้ว่านางเคยบอกว่าตนอยากออกไปดูโลก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงตอบรับ “หากเจ้าคิดอยากไป เจ้าต้องไม่ไปเดินเพ่นพ่านที่ใด พวกเราต้องเชื่อฟังการจัดการของอาจารย์เป็นอย่างดี รู้หรือไม่”
“ใช่ เจ้าต้องเชื่อฟังอาจารย์เผย เช่นนั้นข้าจึงวางใจปล่อยให้เจ้าไปได้” นางหวังพยักหน้ารับเห็นพ้องกับบุตรชาย
เหยียนซีย่อมไม่คิดคัดค้านใด
มันถือเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของเธอ นอกจากเก็บของให้หลิวเหิงแล้ว เด็กหญิงยังต้องเตรียมอาหารไปด้วยอีกมากมาย
ถั่วฝักยาวกับผักกาดเขียวที่บ้านก็พร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว ก่อนหน้านี้เหยียนซีเคยทำกระป๋องสองใบไว้ดองผักกาด ภายหลังหลายคนชมว่าอร่อย ดังนั้นเธอจึงซื้อกระป๋องใบใหญ่มาใช้ และครั้งนี้ย่อมไม่ขาดหมูเส้น
นอกจากนี้แล้ว เธอยังนำพวกกระเป๋าที่นางหวังเคยทำเอาไว้ โดยเก็บพวกมันใส่กระเป๋าใบใหญ่และพกติดตัวไปด้วย
กระเป๋าเหล่านี้ นางหวังทำขึ้นโดยเศษผ้า เป็นผ้าที่แสนจะธรรมดา เพียงแต่นางหวังมีฝีมือการตัดเย็บที่ดี ลวดลายบนกระเป๋าจึงค่อนข้างดูดีทีเดียว
หลิวเหิงมองกระเป๋าใบใหญ่ที่นางสะพาย ก็ต้องงุนงง “เจ้าจะร่วมทางไปดูการสอบ หรือว่าจะไปขายกระเป๋ากันแน่?”
“เวลาไม่คอยท่า” เหยียนซีรู้สึกว่าการไปเมืองหลักมือเปล่านั้น ถือเป็นการเสียเปล่า ภายหลังไปถึงเมืองใหญ่ หากหาอะไรติดไม้ติดมือไปขายด้วยไม่ดีกว่าหรืออย่างไร?
“อย่าให้อาจารย์เผยได้ยินก็แล้วกัน” หลิวเหิงกระแอมไอ พร้อมกล่าวคำเตือนเสียงเบา
เดินทางครั้งนี้ ก็เพื่อไปสอบเป็นบัณฑิต อาจารย์เผยถือเป็นผู้ค้ำประกันให้ ดังนั้นจึงต้องร่วมทางไปด้วยกัน
อาจารย์เผยเป็นสุภาพบุรุษและสัตย์ซื่อในหนทางของตนเอง ตลอดมาคิดว่าการค้าขายถือเป็นเรื่องอันเล็กน้อย หากได้ยินคำของเหยียนซีเข้า เขาคงต้องคิดว่าเป็นการกระทำลบหลู่การสอบบัณฑิตแห่งราชสำนักแน่
ช่วงหลังเขายังคงไปช่วยเหยียนซีขายผ้าอยู่หลายครั้ง ตอนอาจารย์เผยพบเจอเข้า เขาเข้ามาว่ากล่าวทักเตือนทันที ว่าอย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับการค้าขายอีก
เหยียนซีพยักหน้ารับ
เผยซิ่วไฉถือได้ว่าเป็นคนดี มีความรู้ เพียงแต่ค่อนข้างอวดรู้เกินไปบ้าง
ที่โรงเรียนของเขา หากว่าเหยียนซีมาทำการค้า เขาจะคอยจ้องมองว่ามีนักเรียนคนใดเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยหรือไม่
เธอเคยได้พูดคุยกับหลิวเหิงครั้งหนึ่ง และหลิวเหิงบอกเธอเอาไว้ว่า “ความทะเยอทะยานของอาจารย์ไม่ใช่เรื่องนี้ ตลอดเวลาที่สอนและให้การศึกษา เขาจะคอยพูดอยู่เสมอว่าต้องไม่อยู่บนหลักของเงินทอง”
“งั้นเจ้าคิดว่าบัณฑิตไม่ต้องหาเงินมากินใช้งั้นหรือ?” เหยียนซีเอ่ยคำถามต่อความเห็นของหลิวเหิง
“วิถีชีวิตบนโลกนั่นยากลำบาก ใครบ้างใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องมีเงิน? ไม่ว่าใครต่างก็ต้องรักเงินทองทั้งนั้น ขอเพียงไม่ได้ขัดต่อคำสอนของนักปราชญ์ การหาเงินอย่างไรก็ย่อมเป็นเรื่องดี”
ประเด็นนี้เหยียนซีเห็นด้วย เห็นได้จากมุมมองนี้ หลิวเหิงเป็นคนที่เอาจริงเอาจังน่าดูเลย
คนทั้งสองมุ่งหน้าไปยังอำเภอหมิงสุ่ย รวมตัวกับอาจารย์เผย และโดยสารเรือมุ่งหน้าสู่เมืองถงอัน
อาจารย์เผยได้พบเจอเหยียนซีหลายครั้งแล้ว แม้เขาไม่ชอบใจคนค้าขาย แต่ก็ค่อนข้างเวทนาเหยียนซี
ครั้งหนึ่งหลิวเหิงเคยกล่าวว่า ที่เขาสามารถร่ำเรียนได้เช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะแม่และเหยียนซี แม่ของเขาต้องทำงานหนักทั้งวันและคืน ขณะที่เหยียนซีจะคอยจัดแจงการใช้ชีวิตของเขาตั้งแต่ยังเด็ก
ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์เผยยังเคยได้ทานอาหารของเหยียนซีครั้งหนึ่ง ตอนที่ได้ยินว่าเหยียนซีจะไปยังคฤหาสน์ถงอันด้วย จึงกล่าวด้วยอารมณ์ยินดีกับหลิวเหิง “ซีเอ๋อเดินทางมาด้วย อาจารย์เช่นข้าก็ถือว่าโชคดีแล้ว”
“อาจารย์เผยไม่ต้องกังวล ข้ารับปากว่าระหว่างช่วงเวลาที่อยู่ในเมือง จะคอยปรับเปลี่ยนอาหารให้” เหยียนซีจะเป็นคนคอยดูแลเรื่องอาหารเอง
นับตั้งแต่ได้เห็นโลกใบนี้ ความมั่นใจในฝีมือทำอาหารของเธอก็เพิ่มขึ้นมาก
คนในยุคโบราณฝีมือในการใช่มีดนั้นยอดเยี่ยมจนเธอไม่สามารถสู้ได้ เพียงแต่วิธีการปรุงอาหารนั้นไม่อาจเทียบเธอได้ เพราะในยุคสมัยใหม่ มันมีการพลิกสูตรอาหารอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะสูตรโบราณ สูตรอาหารใหม่ หรือสูตรจากต่างแดน
“การหมักดองทำให้อาหารอร่อยขึ้นได้ ช่วยเพิ่มความสดชื่นในวันที่อากาศร้อนได้ดี”
“อาจารย์ลองดูสิเจ้าคะ ข้าซื้อกระป๋องใบใหญ่มาใบหนึ่ง” เหยียนซีชี้ยังกระเป๋าสัมภาระของตนเอง “มันเรียกว่าถั่วแขก และข้ายังนำซึงฉ่ายดองสดใหม่มาด้วย เพียงทั้งสองอย่างนี้ก็ทำอาหารได้หลากหลาย ไว้ข้าทำให้ท่านลองชิม”
เผยซิ่วไฉหัวเราะเสียงเบา เขาไม่ได้ชอบเงินทอง แต่กับอาหารอร่อยนั้นมีน้อยคนจะต้านทานได้
คนทั้งสามเร่งรีบเดินทางสู่เมืองถงอัน และได้พบว่าจำนวนผู้เข้าร่วมสอบอย่างเป็นทางการนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว
การทดสอบในครั้งนี้ ทุกสามปีจัดขึ้นสองครั้ง บัณฑิตถงเซิงเกิดขึ้นใหม่ในทุกปี บุตรหลานคนส่วนใหญ่จึงพยายามเต็มที่เพื่อให้ได้เป็นบัณฑิต เพราะมันคือการแย่งคว้าตั๋วสู่การสอบจอหงวน
MANGA DISCUSSION