บทที่ 52 การเดินทางต้องเดินเท้า
หลิวเหิงถามเหยียนซีว่าจะขายผ้าที่เหลือต่อ หรือจะรอจนกว่าจะถึงวันมีตลาดครั้งถัดไป
เหยียนซีบอกว่าเธอได้เตรียมการเอาไว้แล้ว จากนั้นก็เก็บผ้าที่เหลือ ช่วยกันทำความสะอาดกับหวังชี ก่อนจะบอกลาหลิวเหิง และรีบกลับไปที่ตำบลชิงหลงโดยเรือข้ามฟาก แล้วเดินทางต่อไปที่หมู่บ้านเหยียนเซี่ย สถานที่ตั้งของงานวัดครั้งล่าสุด
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน เหยียนซีและหวังชีก็พบลานตากข้าวในหมู่บ้าน
โดยปกติแล้วลานตากข้าวจะตั้งอยู่บริเวณใจกลางของแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งสะดวกสำหรับชาวบ้านทุกคนในการตากเมล็ดพันธุ์ในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง
ดังนั้นเมื่อคนแปลกหน้าอย่างเหยียนซีและหวังชีเดินเข้ามาในหมู่บ้าน พวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในบริเวณนั้น พวกเขาเห็นว่าหวังชีแบกตะกร้า เพียงแต่ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนเจ้าของร้านเลยสักนิด ในขณะที่ผู้คนกำลังคาดเดาว่าพวกเขามาทำอะไร เหยียนซีก็เคาะไม้กับกระบอกไม้ไผ่ แล้วตะโกนเรียกลูกค้าอย่างชำนาญ “เร่เข้ามา เร่เข้ามา ทางนี้มีผ้าขาย ทางนี้มีผ้าขาย”
ในเวลานี้ คนที่อยู่ในหมู่บ้าน ที่ไม่ได้ออกไปที่ลานตากข้าว กำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงนี้ก็รีบวิ่งออกมา
เหยียนซีตาดีมาก เมื่อเธอเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่เคยขอให้ตนมาที่หมู่บ้านเพื่อขายผ้าทุกคราวที่มีงานวัดอยู่ท่ามกลางฝูงชน เด็กหญิงก็ตะโกนบอกอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้นว่า “ท่านป้า ท่านบอกให้ข้าเอาผ้ามาขาย ข้ารักษาคำพูดแล้ว รับรองว่าผ้ารอบนี้คุ้มราคามาก! ผ้าพวกนี้ราคาถูกและคุณภาพดี ข้านึกถึงคำขอของท่านได้จึงรีบมาที่หมู่บ้านนี้ทันที”
“เป็นน้องชายจากแผงลอยในงานวัดนั้นจริง ๆ ด้วย” ผู้หญิงคนนั้นจำเธอได้ นางหันกลับมามองในตะกร้าผ้าด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้มีกี่ผืนกันล่ะ?”
“ท่านป้า ขอบอกตามตรงว่าครั้งนี้ข้ายังไม่ได้นำมาขายในปริมาณมาก ทว่ามีสินค้าอีกอย่างที่ดีไม่แพ้กัน” เหยียนซีว่าแล้วก็หยิบผ้าฝ้ายที่เปื้อนคราบน้ำสองสามผืนขึ้นมา “นี่เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดีเช่นกัน เพียงแต่เปื้อนคราบน้ำนิดหน่อย ผ้าเนื้อดีขายผืนละหกสิบอีแปะ ผ้าเนื้อหยาบขายผืนละห้าสิบอีแปะเท่านั้น”
เด้กหญิงสลัดผ้าสองชิ้นออก “ดูสิ ราคาผ้าถูกลงกว่าครั้งที่แล้วอีกจริงไหม? จวนจะสิงหาคมแล้ว ซื้อผ้าฝ้ายเนื้อดีเหล่านี้ไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า ท่านว่าเหมาะสมหรือไม่? ข้าจะบอกอะไรให้ ก่อนหน้านี้มีคนสั่งผ้าจากข้าตั้งสิบผืนเพื่อนำไปตัดชุดแต่งงานให้ลูกสาว สถานที่จัดส่งผ้าต้องผ่านหมู่บ้านเหยียนเซี่ยพอดี ดังนั้นข้าจึงแวะมาให้ท่านเลือกสักสองสามผืน”
เมื่อเหยียนซีบอกเล่าเรื่องที่จริงครึ่งหนึ่งและเท็จครึ่งหนึ่ง ทุกคนที่ได้ยินก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น ผ้าที่ซื้อไปสำหรับตัดชุดแต่งงานต้องเป็นผ้าอย่างดี ทว่าผ้าแบบนี้กลับขายเพียงหกสิบอีแปะเท่านั้น เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่?
หากเนื้อผ้าดีจริง ซื้อผ้าสักผืนมาเก็บไว้ก็ไม่เสียหาย ตราบใดที่สมาชิกในครอบครัวหรือเครือญาติในตระกูลจัดงานแต่งงาน นำผ้าผืนนี้ไปมอบให้ก็ดูดีไม่น้อยเลย
นอกจากนี้ มีบางคนที่กำลังวางแผนจะจัดงานแต่งงานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาจึงถูกล่อลวงอย่างง่ายดาย สำหรับผ้าผืนละหกสิบอีแปะ พวกเขาอาจซื้อไว้สักสองผืนเผื่อทำชุดของเจ้าบ่าวด้วยเลย จะได้ถือเป็นของต้อนรับลูกเขยด้วย
สตรีที่มาเยี่ยมชมงานวัดต่างกรูกันเข้ามาเลือกผ้าอย่างไม่รอช้า
น้องชายคนนี้ขายเก่งเสียจริง หากไม่รีบซื้อไว้ก็เกรงว่าจะหมดเสียก่อน หากตนหันหลังให้เพียงแวบเดียวผ้าที่หมายตาก็อาจหายไปได้
เมื่อมีคนเดินนำหน้า คนที่ลังเลในตอนแรกก็มองตาม ทันใดนั้นความปรารถนาที่จะจับจ่ายก็เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เห็นสินค้า
ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบผืนใหญ่ราคาห้าสิบอีแปะ ส่วนผ้าฝ้ายเนื้อดีผืนใหญ่ราคาหกสิบอีแปะ เป็นเช่นนี้แล้วยังต้องเลือกอีกหรือ แน่นอนว่าควรซื้อผ้าฝ้ายเนื้อดีเป็นของขวัญ
ผ้าฝ้ายเปื้อนคราบน้ำแล้วอย่างไร?
เพียงซักด้วยสบู่จ้าวเจี่ยวก็สะอาดเอี่ยมแล้ว นอกจากนี้ หากเป็นผ้าสีเข้มก็แทบมองคราบนั้นไม่เห็น
ผู้คนในหมู่บ้านเหยียนเซี่ยมีกำลังทรัพย์ดีอย่างที่ผู้หญิงเหล่านั้นว่าไว้จริง ๆ
คนเหล่านี้ยินดีจ่ายหนึ่งร้อยถึงสองร้อยอีแปะต่อปี เพื่อซื้อผ้าไปทำเสื้อผ้าตัวใหม่ หากซื้อไว้ตั้งแต่ตอนนี้ รอจนถึงเทศกาลตรุษจีนก็ได้สวมใส่พอดี
เหยียนซีรอจนกระทั่งพวกนางเลือกซื้อกันไปส่วนหนึ่งแล้ว จากนั้นก็เดินทางไปตระเวนขายต่อยังหมู่บ้านรอบ ๆ
ในเมื่อผ้าฝ้ายเนื้อดีได้รับการตอบรับที่ดีกว่า เมื่อมาถึงหมู่บ้านที่สาม เธอก็ตั้งราคาผ้าฝ้ายเนื้อดีไว้ที่ราคาผืนละแปดสิบอีแปะ ส่วนผ้าฝ้ายเนื้อหยาบตั้งราคาไว้ที่ห้าสิบอีแปะตามเดิม
ดังนั้นจนกระทั่งช่วงเย็นของวันนี้ ผ้าทั้งหมดก็ถูกขายจนหมดเกลี้ยง
เมื่อหวังชีไปส่งเหยียนซีกลับไปที่หมู่บ้านหยางซาน เขาแทบจะทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความยินดี
จากเดิมที่มีผ้าบรรจุอยู่เต็มตะกร้าผ้าขนาดใหญ่ทั้งสองใบ เดิมทีเขาคิดว่าขายผ้าไปได้สักครึ่งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ทว่าหลังจากเหยียนซีพยายามเดินสายขายผ้าพร้อมกับป่าวประกาศ เพิ่มและลดราคาตามความเหมาะสม นางก็ขายผ้าจนหมดตะกร้าได้จริง ๆ
“สาวน้อย เจ้านี่มีหัวการค้ายอดเยี่ยมเหลือเกิน เหตุใดเจ้าถึงได้มีไหวพริบด้านการค้าขายถึงเพียงนี้กันนะ? หรือเพราะเจ้ามาจากครอบครัวของนายท่านถงเซิง”
เหยียนซี… เธอควรตอบว่าอย่างไรดีล่ะ?
ที่จริงแล้ว เป็นเพราะคนสมัยก่อนไม่ค่อยออกจากบ้านไปทำการค้าต่างหาก จึงไม่มีทักษะด้านการตลาด
อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เหยียนซีตระเวนไปประกาศตามหมู่บ้านต่าง ๆ จึงสามารถกระตุ้นความสนใจของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี ทำให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเกินคาด
เนื่องจากเด็กหญิงออกไปขายผ้าที่ตัวอำเภอหมิงสุ่ยตั้งแต่เช้า เมื่อกลับมาก็ตระเวนไปขายผ้าอีกสามหมู่บ้าน กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำแล้ว
นางหวังปรุงอาหารรอไว้แล้ว เอาแต่มองไปทางประตูด้วยความใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นเหยียนซีกลับมา นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เหยียนซีรู้สึกว่าฝ่าเท้าของตนเริ่มเป็นเหน็บชาจากการเดินไม่หยุดหย่อน ตกกลางคืนนางหวังจึงต้มน้ำล้างเท้าไว้ให้เธอแช่เท้า ทันทีที่เธอถอดรองเท้าออก เหยียนซีก็เปล่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เลือดออกรึ? ขอข้าดูหน่อย” เมื่อเห็นสีแดงเจืออยู่ในน้ำล้างเท้า นางหวังก็รีบก้มลงไปยกเท้าเหยียนซีขึ้นมาดูใกล้ ๆ
ปรากฏว่ามีตุ่มน้ำพองปรากฏขึ้นที่ฝ่าเท้าของเหยียนซีหลายจุด ทว่าก่อนหน้านี้เด็กหญิงไม่รู้สึกเจ็บเนื่องจากอาการเหน็บชา กระทั่งเธอถอดรองเท้าออก พื้นรองเท้าจึงไปฉีกแผลตุ่มน้ำพองเหล่านั้น
“เด็กน้อยเอ๋ย… พรุ่งนี้เจ้าจะไปตั้งแผงขายทั้งอย่างนี้ไม่ได้ ข้าจะลองไปถามครอบครัวของท่านอาสามดู ว่าหลังเสร็จสิ้นฤดูทำนาอันยุ่งเหยิงแล้ว เขาพอจะให้เรายืมเกวียนวัวได้หรือไม่” นางหวังกล่าว วางเท้าเหยียนซีลง จากนั้นก็หยิบเข็มปักผ้ามาเผาไฟฆ่าเชื้อเพื่อกำจัดตุ่มน้ำพองให้นาง
“ท่านป้า ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้นหรอกเจ้าค่ะ ถนนในหมู่บ้านที่ข้าไปขายผ้าค่อนข้างสัญจรลำบาก ไม่สะดวกที่จะขับเกวียนเข้าไปที่นั่น ให้พี่หวังชีช่วยข้าแบกตะกร้าผ้าก็พอแล้ว”
เหยียนซียิ้มพลางกล่าวต่อไป “วันพรุ่งนี้ข้าจะเปลี่ยนไปใส่รองเท้าที่พื้นนุ่มกว่านี้”
นี่คือสมัยโบราณ นิยามของยุคสมัยโบราณเป็นอย่างไร?
การติดต่อสื่อสารโดยพื้นฐานแล้วอาศัยการส่งจดหมายเป็นหลัก การคมนาคมโดยพื้นฐานก็อาศัยการเดินเป็นหลักเช่นกัน ในฤดูหนาวคนยากจนมักอาศัยการทำงานเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ดังนั้นเหยียนซีจึงเตรียมใจพร้อมแล้วสำหรับการเดินเป็นระยะทางไกล ๆ แล้ว
เธอยังคงลังเลที่จะเช่าเกวียน ค่าจ้างของหวังชีอยู่ที่ยี่สิบอีแปะต่อวัน การเช่าเกวียนหนึ่งคันมีค่าใช้จ่ายวันละยี่สิบถึงสามสิบอีแปะ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้เกี่ยวกับกิจการที่เธอกำลังทำอยู่ในขณะนี้ แม้แต่หวังชี เธอยังไม่เคยบอกแหล่งซื้อผ้าให้เขารู้เลย
การปิดปากเงียบเท่านั้นถึงจะทำให้เธอร่ำรวยได้ เธอไม่ต้องการให้ใครสังเกตเห็นและลอกเลียนแบบ
รอให้เธอมีเงินมากขึ้นกว่านี้เสียก่อน รอจนตนเองคุ้นเคยและไว้วางใจในตัวหวังชีได้มากขึ้น รอจนหลิวเหิงสอบเลื่อนไปอีกขั้นหนึ่ง บางทีเธออาจจะซื้อเกวียนลาหรืออะไรสักอย่างไว้ทุ่นแรงก็ได้
ช่วงเริ่มต้นทำการค้า เธอควรลงแรงทำทุกอย่างด้วยตนเอง
ขณะเดียวกันนางหวังก็พร่ำบอกให้เธออดทนหน่อย หากไม่กำจัดตุ่มน้ำพองให้หมด ความเจ็บปวดก็จะไม่หายไป
“ท่านป้า ข้าไม่กลัวเจ็บ”
เนื้อแท้ของเหยียนซีไม่ใช่เด็กอายุเก้าขวบ แน่นอนว่าเธอสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้
เมื่อชาติที่แล้วสมัยเธอได้ทำงานเป็นครั้งแรก หญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงระหว่างการทำงานตลอดทั้งวัน ทั้งยังต้องหอบกระเป๋าเอกสารหนัก ๆ ไปตระเวนหาลูกค้าตามบ้าน เพื่อประหยัดเงินค่ารถประจำทางสองหยวน เธอยอมเดินจากป้ายหนึ่งไปยังอีกป้ายหนึ่ง ตอนนั้นเท้าของเธอก็พุพองเป็นแผลแบบเดียวกันนี่แหละ
ต่างก็ตรงที่ตอนนั้นไม่มีใครช่วยเธอกำจัดตุ่มน้ำพองพวกนี้ ต้องนั่งเอาเข็มจิ้มคนเดียวเมื่อกลับถึงบ้าน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป นางหวังก็หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต “สมัยเอ้อร์หลางเข้าเมืองครั้งแรกเพื่อไปร่ำเรียน เขาก็เดินจากที่นี่ไปยังจุดหมายเช่นเดียวกัน พอกลับบ้านแล้วก็มีแผลเลือดออกมากมาย ครั้นข้าจะช่วยเขาทำแผล เขาก็ทำท่าทางเหมือนกับเจ้า ฝืนตัวเองไม่ให้ร้องไห้งอแง”
ตั้งแต่หลิวเหิงเริ่มเรียนหนังสือ เขามักจะเดินทั้งขาไปและขากลับจากตำบลชิงหลงมายังหมู่บ้านหยางซาน เพราะหวังว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้บ้าง
หลังจากเล่าเรื่องเหล่านั้น นางหวังก้มศีรษะลงไปแล้วเป่าเบา ๆ หวังให้ลมร้อนช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเด็กหญิงตัวน้อย
MANGA DISCUSSION