บทที่ 51 หลิวเอ้อร์หลางขายผ้า
เมื่อได้ยินคำสัญญาที่เคร่งขรึมของหลิวเหิง หัวใจของเหยียนซีก็อบอุ่น
เธอทำงานหนักเพื่อครอบครัว ถึงคนในครอบครัวอาจช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่พวกเขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องเธอ เมื่อคนในครอบครัวลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะมีอะไรน่าอุ่นใจไปมากกว่านี้อีกเล่า?
เธอไม่ใช่เด็กน้อย ดังนั้นเธอไม่รู้สึกผิดหวังและโกรธเพียงเพราะคนในครอบครัวไม่ช่วยทุบตี หรือลากอันธพาลพวกนั้นไปลงโทษ ปัจจัยนี้ไม่ใช่เครื่องบ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่รักเธอ
“พี่เอ้อร์หลาง หัวหน้าสวี่สั่งสอนบทเรียนให้กับพวกเขาไปแล้ว พวกเขาย่อมไม่กล้ามาอีกแน่นอน ขอบคุณท่านมาก”
หลิวเหิงส่งเสียง “อืม” แต่ก็ยังรู้สึกซึมเซาเล็กน้อย เมื่อครั้งเขายังเด็ก ตอนที่เขาถูกเด็กวัยเดียวกันรังแก พ่อของเขามักจะรีบออกไปห้ามปรามเด็กพวกนั้นทันที เด็กคนไหน ๆ ก็ควรได้รับการปกป้องเช่นนี้มิใช่หรือ?
เหยียนซีมีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่เกินไป นี่ทำให้เขารู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย เด็กฉลาดเช่นนางต้องผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเป็นแน่ เช่นนั้นในอดีตนางมีชีวิตแบบไหนกัน?
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดอะไร เหยียนซีก็คิดว่าเขาน่าจะยังลำบากใจอยู่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องพร้อมยกยิ้มขึ้น “พี่เอ้อร์หลาง ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะคุ้นเคยกับนักการในเมืองถึงขนาดนี้?”
“ใช่ว่าข้าจะคุ้นเคยกับเขาหรอก แต่เป็นเพราะครั้งก่อนที่ท่านนายอำเภอมาเยี่ยมบ้านของเรา จึงได้รู้จักกัน” หลิวเหิงกล่าวอย่างถ่อมตน
“นั่นน่าทึ่งมาก ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้” เมื่อเห็นว่าเขารู้สึกหดหู่ไม่หาย เหยียนซีทำได้เพียงแค่เกลี้ยกล่อมเขาเท่านั้น
“ใช่แล้ว” หวังชีวางเสาไม้ไผ่ลง ก้าวไปข้างหน้าพลางยิ้มแย้ม เมื่อได้ยินคำพูดของเหยียนซี เขาก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “ถือเป็นเรื่องดีที่นายท่านหลิวพานักการประจำอำเภอมาที่นี่ มิฉะนั้นอันธพาลพวกนี้คงรับมือได้ยาก”
ทุบตีคนเหล่านั้นรุนแรงเกินไปก็ผิดกฎหมาย แต่หากเป็นฝ่ายยอมตนเองก็เจ็บตัว นี่เป็นการรับมือที่ยากยิ่ง
เหยียนซีเงยหน้าขึ้น เห็นว่ามุมปากของหวังชีมีคราบเลือดติดอยู่ เธอจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วส่งให้ “พี่หวังชี ท่านได้รับบาดเจ็บ มุมปากของท่านมีเลือดออกด้วย รีบเช็ดมันออกเร็ว”
หวังชีคนนี้มีประโยชน์มากกว่าที่เธอคิด ทักษะการต่อสู้ของเขาก็ดีมากเช่นกัน สามารถเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้
หวังชีเช็ดปากตัวเองกับแขนเสื้อแทน “เจ็บแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก คราวหน้าคราวหลังเจ้าก็ควรระวังตัวให้มาก เมื่อเห็นการต่อสู้แล้วอย่าผลีผลามลุกขึ้นมาเชียว”
เมื่อครู่นี้ตอนเขาหันศีรษะกลับมา ก็เห็นว่าเหยียนซีกำลังสาดทรายใส่หน้าไล่ลี่โถวเพื่อช่วยเขา ถ้านายท่านถงเซิงมาไม่ทัน เกรงว่านางคงถูกลูกน้องอีกฝ่ายทำร้ายไปแล้ว
เสี่ยวเหยียนนี่แข็งแกร่งจริง ๆ นางใจกล้ามากที่เข้ามาช่วยเขา ถึงแม้ศัตรูจะเป็นชายร่างใหญ่
หลิวเหิงเห็นเหยียนซีดูรู้จักมักคุ้นกับหวังชีเป็นอย่างดีจึงถาม “เขาเป็นใครหรือ?”
“พี่หวังชี เขาคอยดูแลข้าและท่านป้าอยู่ที่ท่าเรือฉือเฉียวเป็นอย่างดี วันนี้ข้าออกมาทำการค้าตามลำพัง จึงร้องขอให้เขาตามมาช่วย” เหยียนซีอธิบาย เมื่อเห็นว่าบรรดาลูกค้ามีแนวโน้มว่าจะแยกย้ายกันไป เธอจึงรีบกลับไปประจำการที่หน้าแผงลอยตามเดิม “พี่ชายพี่สาวทั้งหลาย ท่านป้าและบรรดาพี่สะใภ้ ทางนี้มีผ้าขาย ทางนี้มีผ้าขายจ้า อย่าปล่อยให้ผ้าเนื้อดีเหล่านี้หลุดมือไปเชียว ทุกท่านโปรดหยุดเลือกซื้อเลือกหากันก่อน!”
“เขาเป็นนายท่านถงเซิงจริงหรือ?” ใครบางคนโน้มตัวมาถามอย่างกระตือรือร้น
“ใช่แล้ว พี่สาว พี่ชายของข้าเป็นนายท่านถงเซิง หัวหน้านักการประจำอำเภอได้แก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เรียบร้อยแล้ว”
“นายท่านหลิวไม่ได้เป็นเพียงนายท่านถงเซิงเท่านั้น แต่ยังสอบได้เป็นลำดับหนึ่งในสามของเมืองถงอันอีกด้วย” ครั้นกล่าวถึงเรื่องนี้ หวังชีก็กล่าวเสริม “หลังจากสอบในเดือนสิงหาคมนี้ เขาจะกลายเป็นนายท่านซิ่วไฉในปีหน้า และอาจกลายเป็นนายท่านจู่เหรินอีกด้วย”
“โอ้สวรรค์ อันดับสามเชียวหรือ!” เขายังหนุ่มแน่นแท้ ๆ กลับสอบได้เป็นอันดับสามแห่งเมืองถงอัน สายตาของทุกคนเริ่มร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อครู่ทุกคนต่างก็ยอมรับเขาในฐานะบัณฑิตแล้ว ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับยิ่งเลื่อมใสในตัวเขาราวกับได้เห็นดาวเหวินฉวี่
หลิวเหิงเดินไปอยู่ข้างหลังเหยียนซี จึงไม่ทันได้ยินคำกล่าวสด ๆ ร้อน ๆ ของหวังชี เมื่อเห็นว่าหญิงชราคนหนึ่งกำลังเลือกผ้า พลางเหลือบมองตนเองเป็นระยะ จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้า ท่านต้องการซื้อผ้าแบบไหนดี? ตั้งใจวางแผนจะซื้อผ้าสีอะไรหรือ?”
“สีคราม ข้าต้องการผ้าสีคราม” ท่านป้าดูตื่นเต้นมาก เฝ้ามองหลิวเหิงหยิบผ้าสีครามชิ้นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็รีบคว้ามันไว้โดยไม่คำนึงถึงขนาด “หลานชายข้ากำลังจะสอบเซี่ยนซื่อในปีหน้า นายท่านถงเซิงช่วยข้าเลือกผ้าด้วยตนเองเช่นนี้ ข้าจะรีบนำกลับไปตัดเย็บให้เขาสวมใส่ เผื่อเขาจะสอบผ่านได้อย่างราบรื่นเช่นท่านบ้าง”
เหยียนซี… ท่านป้าคนนี้คิดว่ามือของหลิวเหิงเป็นมือเทพนำโชคกระนั้นหรือ?
หลังจากนั้น เหยียนซีก็ต้องยอมรับว่าในสายตาของคนจำนวนมาก มือของนายท่านถงเซิงเปล่งประกายราวกับดาวนำโชคจริง ๆ
บรรดาผู้ที่มีลูกหลานซึ่งกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่บ้าน รู้สึกราวกับได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากสิ่งที่ท่านป้าคนก่อนทำ ต่างพากันขอให้หลิวเหิงช่วยเลือกผ้าให้สักผืน
ตราบใดที่หลิวเหิงคว้ามันขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่ว่าขนาดหรือสีเป็นอย่างไร พวกเขาจะยื่นมือไปคว้ามันไว้ทันทีที่เขาหยิบยื่นไปให้
คนที่พอมีเงินหยิบผ้าเพิ่มอีกสองสามชิ้นเพื่อนำกลับไปทำเสื้อผ้า ส่วนคนที่มีเงินไม่มากก็ซื้อผืนเล็ก ๆ กลับไปทำเป็นกระเป๋าหนังสือ
เหยียนซีประเมินความเลื่อมใสที่ผู้คนในยุคสมัยนี้มีต่อบัณฑิตต่ำเกินไป
สำหรับชาวชนบท เมื่อไรก็ตามที่มีงานแต่งงานหรืองานศพในตระกูล การเชิญเด็กหนุ่มหรือบัณฑิตมาเป็นผู้นำในพิธีจะถือเป็นเกียรติอย่างสูง บางแห่งที่เชิญไปอาจมอบอั่งเปาให้เป็นการตอบแทนหลังกินและดื่ม
อย่างไรก็ตาม บัณฑิตให้ความสำคัญยิ่งกับการวางตัวสูงส่ง ยิ่งเมื่อคนผู้นั้นเป็นบัณฑิตที่มาจากแถบชนบท พวกเขายิ่งมีทัศนคติทำนองว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ข้าอยู่เหนือกว่า”
อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในครอบครัวของนายท่านถงเซิง หรือนายท่านซิ่วไฉจะออกมาทำการค้า ทว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเมื่อนายท่านถงเซิงหรือนายท่านซิ่วไฉทำการค้าด้วยตนเอง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินว่าหลิวเหิงเป็นนายท่านถงเซิง สอบได้อันดับสามของเมืองถงอัน ทั้งยังขายผ้าอยู่ที่แผงลอยในตลาด เขาจึงเปรียบเหมือนเทพเซียนที่ลงมาจุติยังโลก!
ผู้ที่ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะเชิญบัณฑิตมาร่วมในพิธีของตระกูล ถึงกับยอมใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งของที่นายท่านถงเซิงเป็นผู้เลือกให้เองกับมือ ถือเสียว่าเป็นสิ่งของนำโชค
ภายในเวลาไม่นานนัก เศษผ้าเหล่านั้นก็ถูกขายไปจนเกือบเกลี้ยงแผง
ขณะที่บรรดาลูกค้าหอบเศษผ้าเหล่านั้นไว้ในมือ เหยียนซีก็มองไปทางหลิวเหิงด้วยสายตาชื่นชม
ดวงตาที่กระตือรือร้นคู่นั้นน่ารักน่าชังประหนึ่งตุ๊กตาตัวน้อย หลิวเหิงกระแอมไอ ก่อนจะหันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังมีผ้าเหลืออยู่ เจ้าต้องการขายที่นี่ต่อหรือไม่?”
“หืม? ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขายผ้าพวกนั้นที่นี่” ผ้าที่เหลืออยู่เป็นผ้าขนาดหกฉื่อทั้งหมด อีกทั้งเหยียนซียังตั้งราคาไว้ที่ผืนละห้าสิบอีแปะ ต่างจากเศษผ้าขนาดหนึ่งหรือสองฉื่อเหล่านั้นที่ตั้งราคาไว้เพียงชิ้นละห้าอีแปะ
แม้กระทั่งดอกคำฝอยยังต้องอาศัยใบไม้เขียวขจี อันที่จริงผ้าผืนละหกฉื่อที่มีราคาห้าสิบอีแปะก็นับว่าถูกมากแล้ว ทว่าผ้าฉื่อละห้าอีแปะเพียงฟังแล้วน่าดึงดูดใจกว่า เวลานี้เศษผ้าทั้งหมดถูกขายไปเกือบหมดแล้ว เหยียนซีจึงนำผ้าที่เหลือพับกลับลงในตะกร้า
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน เธอนำฟ่านถวน[1]จากตะกร้าออกมากินเป็นมื้อกลางวันสำหรับตัวเธอองและหวังชี เมื่อมีหลิวเหิงอยู่ใกล้ ๆ เธอจึงแบ่งปันอาหารที่มีอยู่ให้กับเขาด้วย
เธอทำฟ่านถวนเหล่านี้ด้วยข้าวสารเหนียวผสมข้าวกล้อง ส่วนตัวไส้ทำจากจ้าช่าย[2]และหมูเส้น ครั้นกัดเข้าไปแล้วถึงพบว่ารสสัมผัสทั้งหอมและหนึบหนับมาก
หลิวเหิงค่อนข้างหิวมากทีเดียว เขากินฟ่านถวนที่มีขนาดเท่ากำปั้นหมดภายในไม่กี่คำ
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังชีได้ชิมอาหารฝีมือเหยียนซี เขาถึงกับยกนิ้วให้ขณะกินอาหาร “อาหารฝีมือเจ้ารสชาติดีมาก ควรเป็นอาหารของร้านอาหารอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนนำหมูเส้นมาทำเป็นไส้ฟ่านถวน”
เหยียนซีภูมิใจมาก เธอทำหมูเส้นขึ้นมาโดยอาศัยความจำจากสูตรอาหารสมัยใหม่ ใช้เนื้อติดมันเพียงเล็กน้อยในการทำ
เมื่อเห็นว่าหลิวเหิงเองก็ชอบกินเช่นกัน เธอจึงหยิบของในตะกร้าออกมาแล้วพูดว่า “พี่เอ้อร์หลาง ข้านำหมูเส้นพวกนี้มาฝากท่านด้วย ท่านสามารถนำกลับไปกินที่สำนักศึกษาได้ สิ่งนี้เหมาะสมที่สุดหากกินกับข้าวร้อน ๆ ท่านป้าเคยบอกว่าท่านไม่ค่อยกล้าซื้อของดี ๆ แต่หมูเส้นพวกนี้มีคุณค่าทางอาหารมากเชียวล่ะ”
หลิวเหิงหยิบหม้อดินขึ้นมา พบว่าข้างในมีหมูเส้นบรรจุอยู่เต็มหม้อ มีแม้กระทั่งถั่วฝักยาวดองที่มีรสเปรี้ยวและกรุบกรอบ คู่ควรสำหรับเป็นมื้อเย็นอย่างยิ่ง
[1] ฟ่านถวน 饭团 ข้าวม้วน หรือข้าวห่อไต้หวัน
[2] จ้าช่าย 榨菜 ผักดองเสฉวน
MANGA DISCUSSION