บทที่ 47 ความจู้จี้ที่น่ารัก
เหยียนซีบอกว่าต้องการจ้างวานเขาอีกหลายครั้ง ดังนั้นเขาจะไม่ตระหนี่สำหรับการจ้างวานครั้งแรกนี้
“ขอบคุณมากนะสาวน้อย” หวังชีไม่เกรงใจ รับเงินมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าได้เงินจากเจ้าไปมากแล้ว ต่อไปหากมีอะไรให้ทำอีกก็เรียกหาข้าได้ทันที เรื่องเล็กน้อยเช่นการยกของ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจ้างวานข้าหรอก”
ครอบครัวของเขายากจนและไม่รู้หนังสือ ดังนั้นไม่มีทางที่จะไปเป็นเด็กฝึกงานของใครได้ เขาจึงทำได้เพียงอาศัยแรงงานในการขนย้ายสินค้าและแบกกระเป๋าที่ท่าเรือ ตอนทำงานที่ท่าเรือเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาได้รับค่าจ้างเพียงยี่สิบอีแปะเท่านั้น แต่วันนี้แค่เขาช่วยนางแบกของและเฝ้าร้านอยู่ด้านข้าง ไม่นานก็ได้เงินค่าแรงมากกว่าทำงานที่ท่าเรือทั้งวันเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ หวังชีที่รู้แล้วว่างานไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร จึงนึกอยากช่วยงานนางอีกอย่างน้อยสองถึงสามครั้ง เพื่อไม่ให้เงินค่าจ้างที่ได้มาเสียเปล่า
“หากท่านไม่รับค่าจ้าง คราวหน้าข้าคงไม่กล้าเรียกหาท่านอีก ข้ายังคิดว่าคราวหน้าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านอีกบ่อย ๆ ฉะนั้นท่านต้องรับเงินจากข้านะ”
“ได้! เจ้าพูดเองนะ ข้าไม่เกรงใจแล้ว”
เหยียนซีพอใจกับการแสดงออกของหวังชีมาก
อันที่จริงตนต้องการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในการทำกิจการอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่เธอรู้จักคนน้อยเกินไป หลังจากวันนี้เป็นต้นไป หวังชีถือว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีคนหนึ่งของเธอ
ประการแรก เขารู้จักตอบแทนน้ำใจเธอ รับเงินแล้วไม่ปล่อยให้เสียเปล่า คอยช่วยดูแลแผงร้านค้าของเหยียนซีอย่างเต็มที่ ครั้งล่าสุดตอนที่เจ้าบ้านหนิวมาจับกุมเธอ เขาก็เป็นคนแรกที่เข้ามาช่วยหยุดอีกฝ่ายไว้
ประการที่สอง เขารู้จักรุดหน้าและถอยหลัง ไม่พูดพล่ามมากเกินไป วันนี้เหยียนซีไปตั้งแผงเพื่อค้าขาย จนถึงตอนนี้ผ้าทั้งหมดก็ขายหมดแล้ว เขายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ นับประสาอะไรกับการซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล่า
หวังชีมีบุคลิกที่ตรงไปตรงมาและเป็นมิตรกับครอบครัวของเธอทั้งสามคน เขาไม่เหมือนผู้ชายบางคนที่ออกไปข้างนอกแล้วเที่ยวเล่นสำมะเลเทเมาไปวัน ๆ ด้วยเพราะมีแม่ผู้แก่ชราที่ต้องคอยดูแล จึงออกไปทำงานแบกหามที่ท่าเรือทุกวันเพื่อหาเลี้ยงชีพ แล้วนำเงินกลับไปจุนเจือครอบครัว
อุปนิสัยก็ดี ไม่มีภูมิหลังที่ใหญ่โต อีกทั้งคนแบบนี้ก็ยังไม่เป็นภัยต่อหลิวเหิงอีกด้วย
พวกเธอได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรังแก นี่คือผู้ช่วยที่ดีที่สุดที่เธอหาได้ในตอนนี้แล้ว
ผลประกอบการจากการค้าขายครั้งแรกเป็นไปด้วยดี เหยียนซีทำการคำนวณอย่างคร่าว ๆ วันนี้เธอขายได้เงินทั้งหมดแปดร้อยสามสิบสี่อีแปะ หลังจากหักต้นทุนในการซื้อผ้าและค่าว่าจ้างหวังชีแล้ว เธอก็พบว่าตนสามารถทำกำไรได้มากถึงสองร้อยอีแปะเลยทีเดียว
ในตอนบ่าย นางหวังก็กลับมาที่บ้าน เมื่อได้ยินเหยียนซีไล่เรียงรายได้ทั้งหมดอย่างละเอียด นางก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเด็กสาว “เจ้าสามารถทำเงินได้มากมายภายในคราวเดียว แม้กระทั่งคนอื่นยังไม่สามารถทำเงินได้เร็วถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ซีเอ๋อร์ เจ้าทั้งฉลาดและมีไหวพริบดี หากเป็นผู้อื่น ผ้าผืนหนึ่งที่มีราคาหกร้อยอีแปะ อาจไม่สามารถต่อรองค้าขายได้แน่หากไม่มีความกล้าที่จะเจรจา”
“ท่านป้า ตราบใดที่กิจการนี้มีการวางแผนที่ดี มันอาจอยู่ได้นานกว่าแผงขายชาดับร้อนของเราเสียอีก”
“จริงของเจ้า ตอนนี้ก็เข้าสู่วันที่สิบห้ามิถุนายนแล้ว อีกอย่าง โรงน้ำชาแถวท่าเรือก็เริ่มหันมาขายชาซวนถังกันแล้ว วันนี้ชาของเราจึงขายได้เพียงหกสิบกว่าอีแปะเท่านั้น”
เหตุการณ์ทำนองนี้ เหยียนซีคิดเอาไว้นานแล้ว ตราบใดที่กิจการใด ๆ ก็ตามขายดิบขายดี ย่อมมีผู้ทำตามอยู่เสมอ
เนื่องจากชาดับร้อนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โรงน้ำชาริมท่าเรือจึงคิดเปิดตัวชาซวนทังบ้าง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาผสมระหว่างต้มชาคือน้ำตาลทรายขาวแท้ ซึ่งมีราคาแพงมาก ดังนั้นพวกเขาจึงขายชาดังกล่าวในราคาที่สูงกว่าแผงของตน ดังนั้นในปัจจุบันมันจึงสงวนไว้เฉพาะลูกค้าที่มีฐานะปานกลางไปถึงระดับสูงเช่นเจ้าของร้านต่าง ๆ รวมถึงนายหน้าสินค้าที่มายังท่าเรือ
สำหรับผู้โดยสารธรรมดาทั่วไป ลูกหาบ และผู้ที่สัญจรไปมา คงไม่ยอมควักเงินเกินสิบอีแปะเพื่อไปโรงน้ำชาแน่ ดังนั้นมันไม่มีผลกระทบอะไรกับกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ของเธอเลย
ทว่าเมื่อมีผู้ลอกเลียนแบบคนแรก ต่อไปจะต้องมีผู้ลอกเลียนแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
“ท่านป้า พรุ่งนี้ข้าว่าจะเดินทางไปซื้อผ้าที่อำเภอมาเพิ่มอีก” แผงขายผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล ดังนั้นเธอต้องรีบเพิ่มปริมาณสินค้าและหาทางลดต้นทุน ก่อนที่จะเกิดการแข่งขัน
“ไม่เป็นไร ข้าเฝ้าอยู่ที่แผงขายน้ำชาคนเดียวก็พอแล้ว” นางหวังยังกังวลว่าจะสูญเสียรายได้ จากนั้นก็กล่าวต่อ “จริงสิ ข้าใช้เวลาว่างเย็บกระเป๋าพวกนี้ เหตุใดเจ้าไม่ลองทำบ้างล่ะ พอได้หลายชิ้นแล้วค่อยขนไปที่อำเภอ สอบถามโรงปักผ้าดูว่าสามารถนำพวกมันไปฝากขายได้หรือไม่”
นางหวังไม่มีหัวทางการค้า ดังนั้นจึงอาศัยงานฝีมือเป็นหลักเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ช่วงระหว่างที่ขายชาในตอนกลางวัน หรือก่อนนอนตอนกลางคืน นางไม่เคยห่างจากเข็มและด้ายเลย ตราบใดที่มีเวลาว่างแม้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นางก็จะทำกระเป๋าได้มากกว่าสองโหล ทำรองเท้าได้สองคู่ โดยใส่พื้นรองเท้าแล้วเรียบร้อย
นางหยิบตะกร้าเย็บปักออกมา มีกระเป๋ามากกว่าสิบใบอยู่ในนั้น ลายปักมีทั้งลายสวัสดิกะแบบเรียบง่าย ลายเมฆมงคล คำอวยพรที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย รวมถึงลายกิ่งไผ่…
เหยียนซีคิดว่าทุกใบล้วนทำด้วยความประณีต ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน พวกมันจะถือเป็นงานฝีมือชั้นดีที่ควรค่าแก่การสะสม
“ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกาจนัก ทั้งยังมีความคิดความสามารถที่ยืดหยุ่น น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใส่ใจฝึกฝนเรื่องพวกนี้ มิฉะนั้นเจ้าคงมีความชำนาญด้านการเย็บปักมากแน่” เมื่อเห็นว่าเหยียนซีดูชื่นชมผลงานมาก นางหวังก็ฉีกยิ้มกว้างเกือบถึงใบหู ทันใดนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ หยิบกระเป๋าธรรมดาที่เย็บแล้วออกมาจากตะกร้า “ข้าเก็บกระเป๋าชิ้นนี้ไว้ให้เจ้าลองฝึกมือ นี่ ลองปักลายง่าย ๆ ตามที่ข้าเคยสอนก่อนหน้านี้ดูสิ”
“ท่านป้า เรายังไม่ได้เตรียมอาหารเย็นเลย ข้าขอตัวไปทำอาหารก่อน” เหยียนซีใช้นิ้วชี้ซ้ายดึงหนังตาลงพร้อมกับแลบลิ้นใส่ จากนั้นก็วิ่งจู๊ดไปที่ครัวทันที
เมื่อเห็นพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ ของนาง นางหวังก็หัวเราะเสียงดัง “เด็กคนนี้… เจ้าหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยงไปก่อนเถิด นานวันเข้าเจ้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี”
นางหวังยังบ่นอะไรบางอย่างต่อไปเป็นเชิงตำหนิ จากนั้นก็ก้มหน้าลง หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาและเริ่มเย็บต่อ เสื้อในมือนางเป็นของเหยียนซี นางลงมือทำมานานกว่าสิบวันแล้วแต่ยังไม่เสร็จ จึงอยากรีบทำให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่สาวน้อยจะได้มีเสื้อตัวใหม่ใส่
ขณะที่นางหวังกำลังยุ่งอยู่กับงานเย็บปักถักร้อย ปากนางก็ยังไม่หยุดบ่นจู้จี้ “สำหรับผู้หญิงแล้ว การตัดเย็บเสื้อผ้ามีความสำคัญมาก ตอนนี้ข้ายังช่วยเจ้าทำได้อยู่ แต่อีกหน่อยเจ้าจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่าเพิกเฉยต่องานพวกนี้ งานเย็บปักถักร้อยจะทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีที่งดงามเพรียบพร้อม…”
“ท่านป้า แต่ข้าเพิ่งอายุแค่เก้าขวบเอง!” เหยียนซีตะโกนกลับมา
เหยียนซีตอบสนองโดยที่ไม่คิดใส่ใจอะไร หากกล่าวว่าในชีวิตตอนนี้มีอะไรที่น่าเบื่อบ้าง คงเป็นคำพูดจู้จี้จุกจิกของนางหวัง ถึงกระนั้นก็เป็นความจู้จี้ที่สามารถยอมรับได้
มื้อค่ำวันนี้ เหยียนซีหุงข้าวหลายอย่างรวมกัน มีทั้งข้าวจิงหมี่*[1]และข้าวกล้อง ตั้งแต่เปิดแผงขายน้ำชาสร้างรายได้ อาหารการกินของที่บ้านก็ไม่นับว่าฝืดเคืองอีกต่อไป อีกทั้งข้าวก็มีราคาย่อมเยาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องธัญพืชเพื่อสุขภาพนั้นฝังแน่นอยู่ในกระดูกของเด็กหญิงอยู่แล้ว เหยียนซีตระหนักเสมอว่าหากเธอไม่ผสมข้าวกล้องลงไปสักกำมือ คุณค่าทางโภชนาการจะไม่สมดุลเพียงพอ
นางหวังชื่นชมเหยียนซีที่ใช้ชีวิตอย่างอดออม การเติมข้าวกล้องลงไปนอกจากจะอร่อยแล้วยังช่วยประหยัดข้าวขาวได้อีก
ถึงกระนั้นเหยียนซีก็ไม่คิดประหยัดเมื่อต้องทำกับข้าว เธอนำผักสดมาผัดลงกระทะแบบง่าย ๆ แค่นี้อาหารจานนี้ก็อร่อยมากแล้ว
เนื่องจากมีเพียงเธอกับนางหวังเท่านั้นที่กิน จึงทำผัดผักใส่เต้าหู้ ผัดบวบกับถั่วแระ และมู่ซวีโร่ว*[2]อีกหนึ่งจาน
เห็ดหูหนูที่นำมาผัดเป็นมู่ซวีโร่ว เหยียนซีเป็นคนไปเก็บมาจากบนภูเขาด้วยตัวเอง ลำต้นของต้นไม้ส่วนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่แถวชายป่าไผ่ ทำให้เห็ดเจริญเติบโตขึ้นจากเศษซากนั้น ตอนที่เหยียนซีออกไปเก็บผักในสวนแล้วเห็นเข้าจึงเด็ดกลับมาทั้งหมดอย่างไม่รีรอ เธอนำไปล้างแล้วตากให้แห้ง พร้อมกันนั้นก็ขุดหน่อไม้มาด้วย รวมถึงจำฉ่าย*[3]จากแปลงผัก
นี่เป็นครั้งแรกที่นางหวังได้กินมู่ซวีโร่ว “ซีเอ๋อร์นี่ฉลาดจริง ๆ เมื่อนำมาผัดด้วยกันแล้ว จานนี้ไม่เพียงมีรสชาติอร่อยมาก แต่ยังมีสีสันน่ารับประทานอีกด้วย”
เหยียนซีหัวเราะเบา ๆ นางหวังมักกล่าวชมหลิวเหิงว่าเขานี่ฉลาดจริง ๆ ทั้งยังยกย่องสรรเสริญไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม เธอช่างโชคดีอะไรอย่างนี้
หลังอาหารเย็น เหยียนซีเห็นว่าที่บ้านมีไข่อยู่หนึ่งตะกร้า “ท่านป้า เราซื้อเป็ดมาเพิ่มอีกสักสองตัวดีหรือไม่เจ้าคะ? ไข่เป็ดอร่อยมาก”
โดยเฉพาะไข่เป็ดเค็ม ยามเช้าหากได้กินโจ๊กกับไข่เป็ดเค็มอร่อย ๆ แล้ว ถือเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดียิ่งนัก
“เป็ดหรือ…”
“หน้าบ้านเรามีแม่น้ำไหลผ่าน ขั้นบันไดหินก็มีพร้อมแล้ว ซื้อเป็ดมาเลี้ยงสองตัวนับว่าไม่ได้เลี้ยงยากเย็นอะไร”
“ได้ ความคิดเจ้าก็เข้าท่าดีเหมือนกัน หากได้ไปตลาด ข้าจะลองดูว่ามีใครเอาลูกเป็ดมาขายหรือไม่” นางหวังเห็นสีหน้าอ้อนวอนของเหยียนซีก็ใจอ่อน อย่างไรก็ตาม เป็ดไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่กินจุอะไรมาก ดังนั้นซื้อมาเลี้ยงสักสองตัวก็ไม่ถือว่าสิ้นเปลืองอะไรมาก
[1] ข้าวจิงหมี่ 粳米 ข้าวสารเหนียว ลักษณะเมล็ดสั้นป้อมคล้ายข้าวญี่ปุ่น
[2] มู่ซวีโร่ว 木须肉 หมูผัดแตงกวา ใส่ไข่ ใส่เห็ดหูหนู
[3] จำฉ่าย 黄花菜 หรือเรียกอีกอย่างว่าดอกไม้จีน พืชสมุนไพรจีนที่นิยมนำมาประกอบอาหารหลายเมนู
MANGA DISCUSSION