บทที่ 45 ตั้งแผงขายที่งานวัด
เมื่อนางหวังได้ยินว่าผ้าฝ้ายเนื้อหยาบในตัวอำเภอมีราคาขายอยู่ที่ฉื่อละหกอีแปะเท่านั้น เทียบกับราคาขายฉื่อละสิบอีแปะในตำบลชิงหลง นางก็ถึงกับพูดไม่ออก “ราคาแตกต่างกันเหลือเกิน” นางพูดพลางสัมผัสเนื้อผ้า “ผ้าฝ้ายชนิดนี้บางกว่าผ้าในตัวเมืองเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นราคาก็ถูกใช้ได้”
“ดังนั้นข้าก็เลยซื้อมาเจ้าค่ะ”
นางหวังตกตะลึง “เจ้าซื้อมาทำไมตั้งมากมายขนาดนี้กัน? บ้านเราไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าสำหรับตัดเสื้อมากมายขนาดนั้น”
นางกลัวว่าเหยียนซีอาจเกิดแรงกระตุ้นเมื่อรู้ว่ามันมีราคาถูกจนซื้อมามากเกินไป “เจ้านำไปขายคืนภายหลังได้หรือไม่? หรือให้ข้านำไปขายคืนเอง” ใบหน้าของนางอ่อนโยน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเด็กหญิงจนเกินไป
“ท่านป้า เราเอาผ้าผืนนี้ไปตัดแบ่งขายกันเถอะ” ในเมื่อนางหวังเองก็เห็นตรงกันว่ามันมีราคาถูก เหยียนซีเชื่อว่าเมื่อเทียบกับราคาฉื่อละสิบอีแปะในตำบลชิงหลงแล้ว เธอจะไม่ขาดทุนแน่นอน
เมื่อไม่นานมานี้นางหวังได้สอนให้เธอตัดเสื้อผ้า
เธอรู้อยู่แล้วว่าทุกวันนี้ โดยทั่วไปแล้ว ผ้าหกฉื่อก็เพียงพอสำหรับตัดเสื้อสักตัวหนึ่ง ผ้าห้าฉื่อหรือสี่ฉื่อก็เพียงพอสำหรับตัดกางเกงสำหรับผู้ชายรูปร่างสันทัด หากเป็นกระโปรงผู้หญิงต้องใช้ผ้าห้าฉื่อ นั่นก็หมายความว่ามันยังเหลือเศษผ้าอยู่นิดหน่อย
เธอไม่ได้ตั้งใจจะแปรรูปผ้าผืนนี้ให้กลายเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปแล้วนำไปขาย
การตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะต้องนับรวมต้นทุน เครื่องมือตัดเย็บและค่าแรงลงไปด้วย
สำหรับหญิงสาวในชนบท พวกนางล้วนตัดเสื้อผ้าธรรมดาเป็นกันทั้งนั้น เว้นแต่งานผ้าที่ละเอียดอ่อนเช่นงานปักที่ต้องอาศัยฝีมือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดต้องตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาขายให้พวกเขากันล่ะ? ให้พวกเขาซื้อกลับไปทำเองดีกว่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็ทำเองกันได้อยู่แล้ว
ดังนั้น แทนที่จะเอาเวลามานั่งตัดเสื้อผ้า สู้เอาเวลาดังกล่าวเดินทางไปซื้อผ้ามาขายดีกว่า ขายอย่างเดียวประหยัดแรงกว่ากันมาก
เมื่อกลับถึงบ้าน เด็กหญิงรีบทำงานบ้านให้เสร็จ หลังอาหารเย็น เธอก็อาศัยช่วงเวลาที่ยังพอมีแสงสว่างจากด้านนอก กางผ้าผืนใหญ่ลงบนโต๊ะแปดเซียนในห้องโถง แล้วขอให้นางหวังตัดมันออกเป็นผืนย่อย ๆ ขนาดผืนละหกฉื่อ
“หากตัดไปแล้วจะไม่สามารถต่อกลับคืนได้แล้วนะ”
“ท่านป้า ไม่ลองก็ไม่รู้นะเจ้าคะ อีกสองวันก็จะถึงงานวัดชิงหลงแล้ว เราเอาผ้าพวกนี้ไปขายกันเถอะ ต่อให้ขายไม่ได้ก็เก็บเอาไว้ใช้สอยเอง อย่างไรผ้าก็ไม่ใช่ของเน่าเสีย” เหยียนซีกล่าวพลางตั้งท่าจะตัดมัน
“ประเดี๋ยวก็ตัดคดเคี้ยวหรอก” เมื่อนางหวังเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะลงมือตัด นางจึงรีบหยิบกรรไกรในมือมาตัดด้วยตัวเอง
ผ้าหนึ่งผืนใหญ่ถูกตัดแบ่งออกเป็นผืนละหกฉื่อทั้งหมดสิบหกผืน ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือผ้าอีกสี่ฉื่อ
เหยียนซีเทเศษผ้าหลากชนิดออกมาจากห่อผ้า พวกมันมีทั้งขนาดยาวและสั้นปะปนกัน บางผืนก็มีขนาดไม่สม่ำเสมอ
ชิ้นที่ยาวที่สุดมีความยาวกว่าสองฉื่อ กว้างสามนิ้ว ชิ้นที่สั้นที่สุดคือครึ่งฉื่อ ชิ้นใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่าสองฝ่ามือ นอกจากนั้นก็เป็นเศษเล็กเศษน้อย
เถ้าแก่เฉินเอื้อเฟื้อถึงขนาดมอบเศษผ้าผืนใหญ่ ๆ ให้เธอ ในทางกลับกัน หากเป็นชนบทแล้ว เศษผ้าเหลือทิ้งพวกนี้นับว่ามีค่ามาก
นางหวังมีความสุขมากเมื่อเห็นเศษผ้าเหล่านี้ คาดคะเนในใจว่าชิ้นนี้สามารถใช้สำหรับทำงานปะชุนได้ ส่วนอีกชิ้นสามารถนำมาประกอบกันเพื่อทำรองเท้าได้ถึงสองคู่
เหยียนซีหยิบเศษชายผ้าฝ้ายผืนใหญ่ออกมาวางเรียง จากนั้นตัดเล็มส่วนเกินออกจนมันกลายเป็นผืนสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนผืนยาวเธอใช้วิธีแบ่งเป็นแถบขนาดประมาณสามนิ้ว ขลิบด้ายริมผ้าทั้งหมดทิ้งไป ทำให้มันออกมาเรียบร้อยน่าใช้ขึ้นเป็นกอง
เศษผ้าเหล่านี้ถูกโยนลงบนพื้นในร้านค้าผ้าแบบไม่ไยดี พวกมันจึงค่อนข้างสกปรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เด็กหญิงออกไปยกอ่างน้ำมา บรรจงซักพวกมันอย่างระมัดระวังด้วยสบู่จ้าวเจี่ยว*[1] เสร็จแล้วก็หยิบออกมา แล้วหันไปต้มน้ำซาวข้าวบนเตา สุกแล้วก็ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย จากนั้นโยนเศษผ้าที่ซักแล้วลงไปแช่ แช่เสร็จแล้วจึงหยิบออกมาล้างน้ำสะอาดอีกรอบ ตากไว้ให้แห้ง ก่อนจะนำมารีดให้เรียบ เหยียนซีครูพักลักจำวิธีการนี้มาจากห้องซักล้างในเมืองและลองนำมาใช้ดู ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เลวเลย
แม้แต่นางหวังยังยอมรับว่าหลังจากซักด้วยวิธีนี้แล้ว เศษผ้าเหลือทิ้งก็แปลงโฉมจนดูเหมือนเป็นผ้าใหม่เอี่ยม
“ท่านป้า แต่เศษที่เหลือพวกนั้นคงขายไม่ได้แล้วล่ะ” เหยียนซีมองไปยังกองผ้าบนพื้น พวกมันแทบเอามาปะติดปะต่อทำเสื้อผ้าไม่ได้เลย
“มันยังนำไปใช้งานได้ ดูจากขนาดแล้ว ถ้าประกบสองชิ้นเข้าด้วยกันก็พอจะทำเป็นกระเป๋าเงินได้” เมื่อเห็นสายตาของเหยียนซี นางหวังก็ก้มลงนั่งยอง ๆ กับพื้น แล้วยืนขึ้นพร้อมกับหยิบเศษผ้าบางชิ้นขึ้นมา
หลังจากที่นางลองวางเรียงกันคร่าว ๆ แล้ว เศษผ้าบนพื้นยังเพียงพอสำหรับนำไปทำเป็นพื้นรองเท้าได้ห้าคู่ ทำกระเป๋าใบเล็กได้ประมาณยี่สิบใบ ผืนยาวนำไปทำเป็นผ้ากุ๊นกางเกง กระเป๋าด้านใน และอื่น ๆ อีกมาก แม้แต่ผ้าแพรห้าชิ้นน้อย นางหวังบอกว่าสามารถนำไปทำผ้ากันเปื้อนสำหรับเด็กได้อีก
เหยียนซีตบมือฉาด “ท่านป้า เช่นนั้นวันนี้ไม่ต้องทอผ้าแล้ว เปลี่ยนไปทำกระเป๋าใบเล็กแล้วปักลายใบไผ่หรือดอกหอมหมื่นลี้กันเถอะ”
เธอเคยเห็นกระเป๋าที่นางหวังทำให้หลิวเหิง บนกระเป๋าปักลายกิ่งไผ่ ดูสวยงามมากทีเดียว
ลองนึกภาพหลิวเหิงสวมชุดยาวพร้อมกับโบกพัดกระดาษ และมีกระเป๋าปักลายกิ่งไผ่ห้อยอยู่ที่เอว ทุกคนคงมองว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถมากและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
ฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางหวังนั้น นับว่ายอดเยี่ยมที่สุดในหมู่บ้านหยางซานแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่เหยียนซีพูด นางก็คิดคล้อยตามว่าคงจะดีหากทำกระเป๋าสองสามใบ แล้วส่งไปให้โรงงานผ้าเป็นสินค้าฝากขาย ในเมื่อวัตถุดิบเช่นผ้าไม่ต้องเสียเงินซื้อ นางก็ต้องใช้ต้นทุนบางส่วนและความพยายามเล็กน้อยในการลงมือทำ ดังนั้นความกระตือรือร้นของนางในเรื่องนี้จึงสูงกว่าการขายผ้ามาก
ตำบลชิงหลงมีตลาดนัดขายผ้าทุก ๆ วันที่สี่และสิบของเดือน แต่เหยียนซีคิดว่ากิจการการค้าขนาดเล็กในตำบลชิงหลงไม่ได้คล่องตัวอะไรขนาดนั้น ถ้าเกิดมันไปตัดราคากับร้านค้าผ้าในเมืองเข้า จะไม่กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตหรอกหรือ?
ฉะนั้น เธอจึงรอจนถึงวันที่สิบห้ามิถุนายน
ตามวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของทุกเดือนถือเป็นวันฤกษ์งามยามดีสำหรับการจุดธูปบูชาพระ วัดชิงหลงจึงมีงานวัดทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของทุกเดือน
ในวันที่มีงานวัด นอกจากประชาชนในตำบลชิงหลงแล้ว ชายหญิงฐานะดีจากตำบลหรือเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับตำบลชิงหลงก็จะมาเผาเครื่องหอมและสักการบูชาพระพุทธเจ้า และเที่ยวเล่นในงานวัดเช่นกัน
นางหวังไม่อยากทิ้งแผงขายน้ำชา จึงแยกตัวไปเปิดแผงตามลำพังในตัวเมือง
ด้วยเหตุนี้ เหยียนซีจึงไปคุยกับหวังชีเพื่อว่าจ้างเขาให้มาช่วยงานหนึ่งวัน ขอให้เขาช่วยขนของที่จะนำไปขายในงานวัด
เธอได้เรียนรู้บทเรียนจากเถ้าแก่เฉินในอำเภอหมิงสุ่ย ว่าต่อให้เธอจะมีประสบการณ์มากเพียงใด เมื่ออยู่ในร่างเด็กน้อยเช่นนี้อย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถือ ที่สำคัญ หวังชีเป็นคนหยาบกระด้างพอตัว คนพาลทั่วไปคงไม่กล้าเข้ามาสร้างปัญหาให้เธอแน่ ดังนั้นค่าจ้างเขามาเป็นผู้คุ้มกันจำนวนยี่สิบอีแปะจึงถือว่าคุ้มค่ายิ่ง
หวังชีผู้น่าสงสาร เขาคิดว่าตนเองแค่มาทำงานตามการว่าจ้างเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายยังแต่งตั้งให้เขากลายเป็นผู้ปราบปรามอันธพาลอย่างลับ ๆ ไปเสียแล้ว
เหยียนซีและหวังชีรีบเดินทางไปที่วัดชิงหลง ในตลาดมีคนนำเสื้อผ้าและผ้าป่านมาวางขาย แผงของเธอจึงเป็นแผงเดียวที่ขายผ้าฝ้าย ตำแหน่งที่เด็กหญิงเลือกตั้งแผงในครั้งนี้ อยู่ระหว่างกลางของร้านขายเสื้อผ้าและผ้าป่านตรงเชิงเขา
หวังชีจัดการพื้นที่ให้พร้อมสำหรับตั้งแผง เหยียนซีวางตะกร้าสองใบไว้ตรงหน้าตน ในแต่ละตะกร้าแยกผ้าออกเป็นสองสีอย่างชัดเจน
เด็กหญิงเตรียมเสาไม้ไผ่ไว้แล้ว ก่อนจะใช้เศษผ้าที่เหลืออีกสี่ฉื่อ แบ่งเป็นสีน้ำเงินสองฉื่อและสีน้ำตาลสองฉื่อ แขวนไว้ที่ปลายแต่ละด้านของเสาไม้ไผ่ ส่วนเศษผ้าที่นำไปซักเรียบร้อยแล้วก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกองเช่นกัน
ตอนแรกเจ้าของแผงขายผ้าป่านไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอขายผ้าฝ้าย แต่หลังจากถูกหวังชีจ้องเขม็งกลับไป ชายคนนั้นก็หวาดกลัวขึ้นมา
เหยียนซีอดไม่ได้ที่จะชื่นชมยินดีว่าค่าจ้างยี่สิบอีแปะนี่ช่างคุ้มค่าจริง ๆ
เมื่อเห็นว่ามีคนมาเยี่ยมชมงานวัดมากขึ้นเรื่อย ๆ เด็กหญิงจึงหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจิบน้ำกลั้วคอ ก่อนจะตะโกนเรียกลูกค้าว่า “พี่สาว พี่ชายทั้งหลาย เร่มาทางนี้ ก่อนจะเดินผ่านไปลองแวะมาดูผ้าทางนี้ได้ แผงนี้ขายผ้าฝ้ายเนื้อดี เส้นใยแข็งแรงทนทาน! ผ้าฝ้ายคุณภาพสูงส่งตรงจากเมืองหลัก สามารถเลือกซื้อผ้าฝ้ายเหล่านี้ได้ในราคาผืนละห้าสิบอีแปะเท่านั้น!”
เสียงตะโกนของเหยียนซีดังกังวาน เป็นจังหวะจะโคนน่าฟัง ทุกคนที่เดินอยู่ทั้งสองฝั่งต่างมองไปตามเสียงนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งผละออกมาจากแผงขายเสื้อผ้า เพราะคิดว่ามันมีราคาแพงเกินไป เมื่อได้ยินว่ามีผ้าแบบผืนขายในราคาห้าสิบอีแปะ จึงให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
[1] จ้าวเจี่ยว 皂角 เป็นฝักผลจากต้นจ้าวเจีย เป็นพืชดอกสมุนไพรของจีนที่ถูกนำมาใช้ทำเป็นสบู่ นำผลฝักมาบดทำให้เกิดฟองมากเมื่อผสมในน้ำ
MANGA DISCUSSION