บทที่ 42 หารายได้เพิ่ม
ท่าเทียบเรือของตำบลชิงหลงยังคงคึกคักมีชีวิตชีวาเช่นเคย
ทันทีที่หลิวเหิงพาพวกนางไปที่ศาลา เขาเห็นนางหวังและเหยียนซีคอยทักทายและพูดคุยกับผู้คนอยู่เรื่อย ๆ จึงต้องคอยกระตุ้นให้พวกนางรีบผละออกมาจากพวกเขาเสียที
ครั้งนี้เหยียนซีไม่ได้แต่งตัวหวือหวา เด็กหญิงยังคงสวมเสื้อผ้าอย่างเด็กผู้ชาย ตัดเย็บจากผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาลแขนสั้น
เนื่องจากไม่ได้เจอกันมาสองสามวัน ท่านป้าเกาจึงแวะมาทักทาย เหลือบมองหลิวเหิงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้นางหวัง “นี่คงเป็นนายท่านถงเซิงใช่หรือไม่? ดูมีความสามารถมากจริง ๆ ด้วย อีกทั้งยังเหมาะสมกับซีเอ๋อร์ดีจริง ๆ ”
เหมาะสม?
หลิวเหิงตกตะลึง เมื่อเขาตั้งใจฟังคำชื่นชมและเสียงหัวเราะของผู้คนที่อยู่รอบตัว ราวกับเหยียนซีเป็นภรรยาของเขาอย่างไรอย่างนั้น มีหรือที่คนเช่นเขาจะฟังไม่ออก?
โชคดีที่เขายังระงับคำพูดตัวเองเอาไว้ได้ และโชคดีที่ไม่มีใครกล้าคุยกับนายท่านถงเซิงอย่างเขา มิฉะนั้น เกรงว่าคนเหล่านี้อาจถูกตอกหน้ากันไปเป็นแถบ ๆ
เมื่อนางหวังได้ยินประโยคนั้น ก็จำได้ทันทีว่าตัวเองเคยบอกว่าเหยียนซีเป็นลูกสะใภ้ของนาง จึงรีบเอนตัวไปด้านข้างของหลิวเหิง และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นด้วยเสียงต่ำ
“แม่กลัวว่าซีเอ๋อร์จะเสียหาย ตอนนั้นก็เลยบอกพวกเขาไปแบบนั้น…”
หลิวเหิงลูบหน้าผากตัวเอง ที่แท้แม่เขาก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นนี่เอง แล้วเขาจะพูดอะไรได้อีก?
“ท่านแม่ ข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ซีเอ๋อร์เป็นผู้หญิง หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไปจริง ๆ ชื่อเสียงของนางคง…”
“ซีเอ๋อร์บอกว่ายังอีกนาน ป่านนั้นทุกคนคงลืมกันไปหมดแล้ว”
ทำไมเรื่องราวถึงได้เลอะเทอะไปกันใหญ่เช่นนี้กัน?
เขามองไปที่โต๊ะน้ำชา เห็นว่ากลุ่มคนยังคงพูดคุยกันอย่างออกรส
เหยียนซีถูกทุกคนหยอกล้อ จึงโต้กลับด้วยท่าทางเขินอาย “ท่านป้าเกา อย่าพูดเช่นนั้นไปเลยเจ้าค่ะ ท่านป้าบอกว่าข้ายังเด็ก สำหรับเรื่องในอนาคต… นางบอกว่านางจะให้ข้าเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“ท่านป้าของเจ้านี่ช่างใจดีกับเจ้าเสียจริง” ท่านป้าเกาถอนหายใจ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเหยียนซีหรี่เล็กน้อย รอยยิ้มกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “ใช่แล้ว ท่านปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี นางเป็นคนดีมาก นั่นเป็นเหตุผลที่พี่เอ้อร์หลางประสบความสำเร็จด้านการสอบ นางกล่าวอยู่เสมอว่าหากอยากให้ลูกเป็นเด็กดี ต้องอบรมสั่งสอนตั้งแต่ยังเด็ก…”
ทุกคนชอบฟังเรื่องราวการเติบโตของนายท่านถงเซิงไม่น้อย
หัวข้อนี้ผิดเพี้ยนไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การหยอกล้อเรื่องลูกสะใภ้ ไปจนถึงความดีความชอบของนางหวัง จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องความรักของมารดาและวิธีการเลี้ยงลูก จากวิธีการเลี้ยงลูกไปสู่ความยากลำบากในการร่ำเรียนของชาวนา จากชาวนาไปสู่ความยากลำบากของการทำเกษตร…
หลังจากที่หัวข้อแปรเปลี่ยนไปหลายพันเรื่อง ชาหม้อแรกก็ต้มสุกเรียบร้อย เหยียนซีเริ่มตะโกนขายด้วยเสียงไร้เดียงสาที่คมชัดยิ่ง
หลิวเหิงในฐานะที่เป็นบัณฑิตอดคิดไม่ได้ว่าหัวข้อการสนทนาสามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายเรื่องภายในไม่กี่ชั่วอึดใจได้ขนาดนี้เชียวหรือ ในที่สุด เขาก็เข้าใจแล้วว่าบทสนทนาของผู้หญิงนี่ช่างลื่นไหลจริง ๆ
ตอนแรกนางหวังต้องการอธิบายเพิ่มเติม แต่เมื่อเห็นว่าเหยียนซีมีงานล้นมือ นางจึงรีบกลับไปช่วย
ท้ายที่สุด ในขณะที่หลิวเหิงซึ่งนั่งอยู่ลำพังกำลังกังวลว่าตัวเองควรสนทนาอย่างไรดี เมื่อเขาถึงเวลาขึ้นเรือข้ามฟาก นางหวังและเหยียนซีถึงได้มีเวลาให้เขา
นางหวังกำชับเขาตามประสามารดา ให้เขากินให้อิ่ม นอนหลับพักผ่อนให้มาก และอย่าประหยัดเงินจนเกินไป
เหยียนซีบรรจุปลาตัวเล็กทอดที่เธอทำไว้ก่อนหน้านี้ลงในกระบอกไม้ไผ่ เพื่อให้เขาพกพาติดไปที่สำนักศึกษา ก่อนจะพูดว่า “พี่เอ้อร์หลาง ไม่ต้องกังวลเรื่องที่บ้านนะเจ้าคะ ตั้งใจทำข้อสอบให้ดี”
หลิวเหิงบอกลาพวกนางทีละคน จากนั้นก็ขึ้นเรือและจากไป
เหยียนซีเฝ้าดูเรือข้ามฟากแล่นห่างออกไป จากนั้นมองย้อนกลับไปที่แผงขายชา ในใจของเขายังคงรู้สึกเป็นทุกข์ ช่วงนี้ค่าใช้จ่ายพรั่งพรูเหมือนสายน้ำ ยิ่งช่วงเดือนสิงหาคมตรงกับการสอบเยวี่ยนซื่อ การเงินของที่บ้านจึงค่อนข้างตึงมือมาก
หลิวเหิงนำเงินจำนวนยี่สิบห้าตำลึงกลับมา หลังจากชำระหนี้ต่าง ๆ ของทั้งปีนี้แล้ว เงินเหลืออยู่เพียงสิบสองตำลึง ไหนจะใช้เงินไปกับการทำพิธีย้ายหลุมศพของหลิวต้าหลี่ ถวายเครื่องบูชาในศาลบรรพบุรุษ และจัดงานเลี้ยงฉลองที่บ้าน… หลังหักลบหลายสิ่งหลายอย่าง พวกเขาเหลืออยู่เพียงสองตำลึง
เมื่อพิจารณาว่าหลิวเหิงยังต้องมีเงินไว้สำหรับใช้จ่ายในระหว่างอยู่ที่สำนักศึกษา พวกนางจึงมอบเงินสำรองสองตำลึงนั้นให้เขาติดตัวไป
ชั่วพริบตา เงินที่มีอยู่ก็กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง!
เมื่อเหยียนซีนึกถึงสิ่งเหล่านี้ เธอก็อยากถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ไม่เลย แทบไม่มีความหวังว่าจะมีเงินเก็บได้เลย ดังนั้นเธอคงต้องหารายได้เพิ่ม!
กิจการแผงขายชามีรายได้เกือบจะคงที่ในอัตราวันละหนึ่งร้อยอีแปะ เดือนหนึ่งคิดเป็นเงินเกือบสามตำลึง
ครัวเรือนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านหยางซาน ไม่มีเงินสดเก็บไว้ที่บ้านมากนักในเวลาหนึ่งปี
หัวหน้าตระกูลหลิวมีอีกฉายาหนึ่งคือ ‘เคาะประตูหนึ่งพัน’ ซึ่งหมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่ชาวบ้านไปเคาะประตูบ้านเขาเพื่อขอยืมเงิน พวกเขาสามารถหยิบยืมเงินได้ตลอดเวลา หากจำนวนที่ยืมน้อยกว่าหนึ่งพัน ด้วยฉายานี้ ทำให้เธอรู้ว่าคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านไม่ค่อยจะมีเงินเก็บกันสักเท่าไหร่
หากพวกเขารู้ว่าแผงน้ำชาแห่งนี้มีรายได้ประมาณสองถึงสามตำลึงในเดือนเดียว ดวงตาพวกเขาคงลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการสอบของหลิวเหิงแล้ว เงินสามตำลึงต่อเดือนนั้นยังไม่เพียงพออยู่ดี
ชาดับร้อน เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นตามชื่อ ก็คือมีไว้สำหรับคลายความร้อนในช่วงหน้าร้อน มันจึงสามารถขายได้สูงสุดเพียงครึ่งปีเท่านั้น เมื่ออากาศเย็นลงก็ไม่มีใครอยากดื่มชาสมุนไพรกันแล้ว ตอนนี้เดือนมิถุนายน คาดการณ์คร่าว ๆ เธอก็คงสามารถขายได้จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนเป็นอย่างมากที่สุด ต่อให้กิจการจะดีแค่ไหน รายได้รวมก็อยู่ที่ประมาณสิบตำลึงเท่านั้น
นอกเสียจากไม่ต้องซื้ออาหารไว้กินดื่ม พวกเขาถึงจะอยู่รอดได้แบบเหลือเฟือ
เหยียนซีวาดฝันถึงเรื่องรายได้อยู่เสมอ เธออยากเหมาสินค้าจากแหล่งขายแล้วนำมาขายเก็งกำไรกับลูกค้าต่อ
นางหวังเองก็รู้ว่าเหยียนซีกำลังกังวลเรื่องอะไร นางรู้สึกสะเทือนใจและละอายใจมาก ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ นางไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องกังวลใจเลย แต่ทว่านางไม่มีทักษะอื่น ดังนั้นจึงทำได้เพียงทำงานเย็บปักในขณะที่ตั้งแผงขายชาไปด้วย แต่ละวันนางแทบอดใจไม่ไหวที่จะได้กลับบ้านไปทอผ้า
กลางเดือนมิถุนายน วันนี้นางหวังนำผ้าที่ตนเองทอไปขายตามร้านค้าผ้าในเมือง ส่วนเหยียนซีกำลังง่วนอยู่กับการตั้งแผงขายน้ำชาเพียงลำพัง
เด็กหญิงเหลือบมองดูหวังชีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นครั้งคราว เห็นว่าเขายุ่งอยู่กับการหาบของขึ้นและหาบลงจากเรือบรรทุกสินค้า กระสอบสินค้าที่ยกขึ้นลงล้วนมีเครื่องหมายของร้านค้าผ้าเหอจี้
เหยียนซีนำชาดับร้อนที่เหลือจากการขายไปให้หวังชี จากนั้นมองไปที่เรือบรรทุกสินค้าอีกครั้ง “พี่หวังชี ข้าเดาว่าของที่พี่ยกขึ้นเรือลงเรือทั้งหมดคงเป็นผ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่ แต่เป็นผ้าฝ้ายนำเข้าซะส่วนใหญ่ กับผ้าป่านที่เพิ่งนำเข้ามาเหมือนกัน”
เหยียนซีพลันบังเกิดเสี้ยวหนึ่งของแรงบันดาลใจขึ้นมา “ปลายทางของผ้าพวกนี้จะถูกส่งไปที่ใดหรือ?”
“ส่งไปที่ตัวอำเภอ หรืออาจจะส่งไปยังเมืองหลักสักที่กระมัง?” หวังชีเกาหัวอย่างไม่แน่ใจ
นับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าเหยียนซีเป็นผู้หญิง เขาก็ไม่กล้าพูดคุยกับนางแบบเป็นกันเองอีก นับประสาอะไรกับการตบไหล่อีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อน
เหยียนซีไม่ปล่อยให้ประกายแห่งแรงบันดาลใจหลุดลอยไป เด็กหญิงขอให้ท่านป้าเกาช่วยดูแลแผงขายชาแทนชั่วคราว จากนั้นก็หันหลังกลับและไปตามหานางหวัง
นางหวังกำลังจะเดินเข้าประตูร้านค้าผ้าเพื่อขอเสนอราคา แต่แล้วเหยียนซีก็ลากนางออกมาเสียก่อน
“ท่านป้า ร้านค้าผ้าให้ราคาเท่าไรหรือเจ้าคะ?”
“ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ ห้าร้อยยี่สิบอีแปะสำหรับผ้าป่านหนึ่งผืน”
“ท่านป้า อย่าเพิ่งขายผ้าผืนนี้เลย ให้ข้าลองเอามันไปขายที่ตัวอำเภอดูได้หรือไม่?” เหยียนซีใช้เวลาเกลี้ยกล่อมนางหวังอยู่นาน หลังจากที่นางหวังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็ยอมควักเงินค่าโดยสารทางเรือ และยอมให้นางลองดู
นางกังวลที่เหยียนซีต้องขึ้นเรือคนเดียว ตอนแรกนางว่าจะไปด้วย แต่ก็ไม่อยากทิ้งแผงขายชา จะปิดแผงขายชาอีกวันหนึ่งก็กลัวว่าจะเสียรายได้ เมื่อหลิวจิ้นเป่ากลับมาที่บ้านของท่านอาสาม นางก็ขอให้เขาพาเหยียนซีไปที่ตัวอำเภอแทน
เหยียนซีติดตามหลิวจิ้นเป่าไปขึ้นฝั่งที่อำเภอหมิงสุ่ย ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยทันทีที่เห็นท่าเรือ เนื่องจากท่าเทียบเรือของอำเภอหมิงสุ่ยนั้นไม่ได้ใหญ่ไปกว่าตำบลชิงหลงสักเท่าไรนัก
หลิวจิ้นเป่าบอกว่านั่นเป็นเพราะถนนหลักของตำบลชิงหลงเชื่อมต่อกับอีกสองอำเภอ จึงไม่นิยมขนส่งสินค้าจากสองอำเภอดังกล่าวไปที่เมืองหลักทางเรือนัก แต่เลี่ยงไปใช้ถนนหลักของตำบลชิงหลงแทน
ตำบลชิงหลง เป็นตำบลที่มั่งคั่งที่สุดในอำเภอหมิงสุ่ย
เหยียนซีเป็นคนบ้านนอกที่มีโอกาสเข้าสู่เขตตัวอำเภอหมิงสุ่ยเป็นครั้งแรก เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างปัญหาให้กับหลิวจิ้นเป่า เธอจึงทำตัวเหมือนเด็ก เดินตามหลินจิ้นเป่าต้อย ๆ ผ่านเข้าประตูอำเภอไป
หลังจากผ่านเข้าประตูอำเภอมาแล้ว เหยียนซีพบว่าอำเภอหมิงสุ่ยค่อนข้างดีกว่าตำบลชิงหลงเล็กน้อย อย่างน้อยสภาพแวดล้อมก็กว้างขวางกว่าและมีประชากรมากกว่า ผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนถนนนิยมสวมผ้าฝ้ายมากกว่าผ้าป่าน
MANGA DISCUSSION