บทที่ 41 ความรุ่งเรืองของตระกูล
สำหรับอาหารในชนบท สิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญมากที่สุดคือจะต้องมีวัตถุดิบที่เพียงพอและมีหลากหลายเพื่อให้อิ่มท้อง
ทว่าอาหารฝีมือเหยียนซีนั้นพิถีพิถันยิ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงรสชาติอาหาร แค่มองดูอาหารทุกจานล้วนมีสีสันน่ารับประทาน และมันโชยกลิ่นหอมเย้ายวนให้ลิ้มรส อีกทั้งหน้าตายังดูดีไม่น้อย
โดยเฉพาะชื่ออาหารแต่ละอย่างที่เด็กหญิงนำเสนอ อย่างเช่น หลี่ฮื้อกระโดดผ่านประตูมังกร บุปผาผลิบาน ประทัดสุขสันต์…ฟังแต่ละอย่างดูไม่ปกติเอาเสียเลย ดูเหมือนเป็นพ่อครัวใหญ่ที่ดูแลภัตตาคารขนาดใหญ่ในตัวอำเภออย่างไรอย่างนั้น?
โชคดีที่อาหารของเหยียนซีได้รับการชื่นชมอย่างล้นหลาม
จานแล้วจานเล่าถูกยกมาวางเรียงบนโต๊ะ นายอำเภอหงรู้สึกอึ้งและทึ่งกับอาหารมื้อนี้เป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเขาวางแผนว่าจะฝืนอดทนเพื่อแสดงความใกล้ชิดกับผู้คน กลับกลายเป็นว่าเขาเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้านี้มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทั้งสองจานอย่างบุปผาผลิบานและหลี่ฮื้อกระโดดผ่านประตูมังกร เขาชื่นชมด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลิ้มลองอาหารทั้งสองในอำเภอนี้ พวกเจ้ามีฝีมือไม่น้อยเลยจริง ๆ ”
“ก็แค่ฝีมือการปรุงอาหารธรรมดา เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านไม่รังเกียจ” หลิวเหิงตอบรับอย่างถ่อมตนอีกครั้ง
เป็นอีกครั้งที่เจ้าภาพและแขกเหรื่อมีความสุข นายอำเภอรั้งอยู่ที่นี่นานกว่าหนึ่งชั่วยามก่อนออกเดินทาง
หลังจากส่งนายอำเภอออกไปแล้ว หัวหน้าตระกูลหลิวจึงหารือกับหลิวเหิงเกี่ยวกับการจัดงานเลี้ยง
หลิวเหิงปฏิเสธอย่างรีบเร่ง “ขอบคุณท่านอาที่เมตตา ข้าเพิ่งสอบฝู่ซื่อผ่าน งานเลี้ยงอาจเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินไป ท่านอาจารย์ตักเตือนว่าอย่าได้เกียจคร้านจนเกินไป การสอบฝู่ซื่อในปีนี้จะจัดสอบในเดือนสิงหาคม ท่านอาจารย์จึงวางแผนว่าจะให้ข้าลองดู หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษและย้ายหลุมศพแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปที่ตัวอำเภอเพื่อทบทวนตำราขอรับ”
หัวหน้าตระกูลหลิวรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร “จริงด้วย เจ้ากลายเป็นนายท่านซิ่วไฉแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปจัดงานเลี้ยงฉลองที่หมู่บ้านของเรากันดีกว่า ข้าจะขอให้ใครสักคนเลือกฤกษ์งามยามดี เปิดศาลสักการะบรรพบุรุษและย้ายหลุมศพโดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ รบกวนท่านอารองแล้ว” หลิวเหิงแสดงความเห็นกลับไป
หัวหน้าตระกูลหลิวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงหารือกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ถึงเขาจะกล่าวว่าโดยเร็วที่สุด ทว่าฤกษ์ยามที่เลือกกลับกระชั้นชิดกว่าที่คาดการณ์ไว้ เขาเลือกเป็นวันที่หนึ่งมิถุนายน หลังจากเปิดศาลสักการะบรรพบุรุษแล้ว เขาก็พากลุ่มคนไปยังภูเขาด้านหลังเพื่อขุดหลุมฝังศพของหลิวต้าหลี่
เมื่อผ่านมานานหลายปี ศพก็ต้องเน่าเปื่อยย่อยสลายไปตามกาลเวลา
ประเพณีการย้ายหลุมฝังศพของหมู่บ้าน จะต้องใช้สี่คนหามโลงศพ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสี่ราชาสวรรค์ จากนั้นหยิบกระดูกขึ้นมาแล้วบรรจงใส่ไว้ในหม้อดิน ก่อนที่ลูกหลานของผู้ล่วงลับจะถือหม้อดินไปยังสุสานแห่งใหม่แล้วนำไปฝังไว้ตามเดิม
ครั้งนี้ นางหวังขอหลุมฝังศพไว้สองแห่ง แห่งหนึ่งสำหรับหลิวต้าหลี่ อีกแห่งหนึ่งสำหรับตัวนางเอง นอกจากหลิวต้าหลี่แล้ว แผ่นหินหน้าหลุมฝังศพยังสลักคำว่า ‘หลิวเหมินหวังซื่อ’ ด้วยสีแดง เพื่อที่ในอนาคตหลังจากนางสิ้นอายุขัยแล้ว จะได้นำศพมาฝังที่นี่เคียงคู่กับหลิวต้าหลี่
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในชนบทนิยมทำเช่นนี้ ทำการแกะสลักหลุมฝังศพล่วงหน้า เพื่อที่สามีและภรรยาจะได้ฝังอยู่ร่วมกันในอนาคต
หัวหน้าตระกูลหลิวไม่คัดค้าน คนอื่น ๆ เองก็เช่นเดียวกัน
หลิวเหิงในฐานะบุตรชายยอดกตัญญู เขาแต่งกายด้วยผ้ากระสอบ วางหม้อดินที่บรรจุกระดูกของหลิวต้าหลี่ลงในสุสานด้วยมือของตนเอง ก่อนจะคุกเข่าลงร่ำไห้เสียงดัง
ในปีที่หลิวต้าหลี่ถูกฝัง มีเพียงนางหวังเท่านั้นที่พาหลิวเหิงมาที่นี่ สองแม่ลูกแบกประคองโลงศพ ท่านอาสามพาลูกหลานของเขาในหมู่บ้านมาช่วยกันฝัง ตอนนี้เมื่อถึงคราวย้ายหลุมศพ เงินกระดาษปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า คนรุ่นราวคราวเดียวกับหลิวเหิงต่างมาแสดงความอาลัย มีหัวหน้าตระกูลหลิวเป็นประธานในการย้ายหลุมศพ
ในฐานะคนรุ่นหลัง เหยียนซีคอยโปรยเงินกระดาษและเผากระดาษเงินกระดาษทอง หลังจากย้ายหลุมศพแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะกลับไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่ศาลบรรพบุรุษของตระกูลหลิว
งานเลี้ยงนี้เป็นงานเฉลิมฉลองเนื่องในความสำเร็จของหลิวเหิง ข่าวที่น่ายินดีเช่นนี้ควรเสนอต่อหน้าแผ่นป้ายบรรพบุรุษ หัวหน้าตระกูลหลิวดื่มสุราจอกใหญ่ด้วยความยินดี ก่อนจะเดินไปยังแผ่นป้ายใหม่ของหลิวต้าหลี่
“ต้าหลี่ ณ เวลานั้นเป็นเพราะข้าไม่อนุญาตให้นำป้ายชื่อของเจ้ามาวางในศาลบรรพบุรุษ หากเจ้าต้องการตำหนิ จงตำหนิข้าเพียงผู้เดียว เอ้อร์หลางเป็นเด็กดี เจ้าจะต้องอวยพรเขาสำหรับทุกสิ่ง เพื่อให้เขาลุล่วงอุปสรรคต่าง ๆ ไปอย่างราบรื่น พี่น้องร่วมอุทร ไม่อาจเขียนอักษรหลิวสองตัวในจังหวะเดียวได้”
หลิวเหิงเดินเข้าไปประคองหัวหน้าตระกูล “ท่านอารอง ท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย วิญญาณของพ่อข้าที่อยู่บนสวรรค์ต้องรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และมีความสุขมากแน่ ข้าจะช่วยพยุงท่านกลับไป”
หัวหน้าตระกูลหลิวตบมือหลิวเหิงพร้อมกับเรอออกมา “ข้าต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่สองสามปี ดังนั้นจงอยู่ที่นี่และพูดคุยกับทุกคนให้มากเสียหน่อยเถิด เกรงว่าคนรุ่นหลังบางคนอาจไม่รู้จักเจ้า”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ไม่ต้องการอยู่ต่อให้ขัดจังหวะลูกหลาน จึงเดินออกจากศาลบรรพบุรุษแล้วกลับบ้านตนตามลำพัง
เมื่อเห็นว่าเขากลับมาเร็วกว่าที่คิด นางจ้าวภรรยาของเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ “เหตุใดถึงได้กลับมาเร็วนัก?”
“หากข้าอยู่ที่นั่นต่อ เด็ก ๆ คงไม่กล้าพูดคุยอะไรกันมากเป็นแน่ เอ้อร์หลางไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านหลายปีแล้ว เขาไม่ค่อยสนิทสนมคุ้นเคยกับคนอื่น ๆ มากนัก ข้าจึงเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ผูกมิตรกันเข้าไว้ ในอนาคตเอ้อร์หลางต้องมีอนาคตที่สดใสแน่ น้อง ๆ ทั้งหลายจะได้พึ่งพาการสนับสนุนจากเขา”
“หากรู้ว่าจะมีวันนี้ เหตุใดตอนนั้นท่านถึงยืนกรานไม่ให้ต้าหลี่…”
ในเวลานั้นเขาต่อต้านหัวชนฝา ทว่าบัดนี้กลับเปลี่ยนไปราวเป็นคนละคน
“เจ้าจะไปรู้อะไร!” หัวหน้าตระกูลหลิวจ้องนางตาเขม็ง นางจ้าวได้แต่สบตาเขาแล้วนิ่งงันไป เนื่องจากกลัวว่าตนอาจทำให้เขาขุ่นเคือง นางจึงไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ หัวหน้าตระกูลหลิวมองเห็นว่านางไม่พอใจ จึงอธิบายว่า “ผู้ที่ตกตายอย่างผิดธรรมชาติ ไม่สามารถวางป้ายไว้ในศาลบรรพบุรุษได้ นี่คือกฎของตระกูล เพราะเกรงว่าความอาฆาตแค้นของวิญญาณอาจทำให้เสียฮวงจุ้ย”
ตอนที่หลิวต้าหลี่เสียชีวิต เขาเป็นผู้ยืนกรานตัดสินใจไม่ให้ใครก็ตามวางป้ายชื่อเขาไว้ในศาลบรรพบุรุษท่าเดียว แต่ตอนนี้ เขากลับเป็นผู้ที่พยายามเกลี้ยกล่อมทุกคนให้ยินยอมนำป้ายชื่อเขามาวางในศาลบรรพบุรุษ
สำหรับหัวหน้าตระกูลหลิว การตัดสินใจของเขาล้วนเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ทว่าหากการตัดสินใจในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อใครอย่างไรบ้าง เขาไม่สนใจ หากต้องการให้ตระกูลประสบความสำเร็จ ใครบางคนต้องเป็นฝ่ายเสียสละ
นางจ้าวไม่ได้กังวลเรื่องนี้ แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเงินห้าตำลึงออกมา “ครู่นี้ตอนที่ท่านกำลังดื่มฉลองอยู่ในศาลบรรพบุรุษ แม่สาวน้อยตระกูลหลิวมาที่นี่แล้วมอบเงินห้าตำลึงนี้ให้ บอกว่าเป็นเงินรางวัลที่ได้รับเมื่อวาน”
เมื่อวานนี้หัวหน้าตระกูลหลิวหยิบเอาเงินสามตำลึงออกไป บอกนางว่าจะใช้เงินจำนวนนี้เป็นของขวัญแสดงความยินดีกับหลิวเหิง เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกหดหู่ไม่น้อย แต่เพราะเป็นการตัดสินใจของสามี นางจึงไม่อาจทัดทานได้
นางคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ทว่าเมื่อครู่เหยียนซีได้นำเงินมาคืนแล้ว นางจึงอารมณ์ดีขึ้นมาโดยปริยาย
หัวหน้าตระกูลหลิวมองลงไป “เหตุใดถึงเพิ่มมาตั้งสองตำลึง? เจ้าไม่ยอมคืนส่วนที่เกินมาให้นางหรือ?”
“เดี๋ยวเถอะ เห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน!” นางจ้าวค้อนขวับใส่เขา “ในสายตาท่าน ข้าเป็นคนเปลือกตาตื้นที่โลภเห็นแก่เงินกระนั้นหรือ? ข้าบอกซีเอ๋อร์แล้วว่าเมื่อวานนี้ท่านนำเงินไปมอบให้เพียงสามตำลึงเท่านั้น”
“แล้วเหตุใดมันถึงได้เกินมาเล่า?”
“ซีเอ๋อร์บอกว่า ท่านให้นางยืมเงินสามตำลึง นางจึงนำมาจ่ายคืนในวันนี้ ส่วนเงินอีกสองตำลึงเป็นค่าตอบแทนสำหรับการทำงานหนักของท่าน หนำซ้ำนางยังซื้อสุราติดมามอบให้ท่านด้วย หากข้าไม่ยอมรับไว้ นางอ้างว่าจะถูกป้าดุเมื่อกลับไป ในภายหลังเอ้อร์หลางจะเป็นผู้มาขอบคุณท่านด้วยตนเอง”
นางจ้าวกล่าวระหว่างเก็บรวบรวมเงินห้าตำลึง “อย่าประเมินพวกเขาผิดไปเชียว เอ้อร์หลางอาจไม่ใช่คนช่างพูด แต่แม่สาวน้อยคนนั้นวาจาฉะฉานนัก ทั้งยังเป็นคนมีเหตุผลมาก ข้าได้ยินมาว่านางหวังซื้อตัวนางให้มาเป็นภรรยาของเอ้อร์หลางงั้นรึ?”
“อย่าคาดเดาอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า และอย่าได้นำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายให้พวกผู้หญิงในหมู่บ้านฟังเชียว นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปพูดจาไร้สาระได้” หัวหน้าตระกูลหลิวนึกไปถึงบทละครที่องค์หญิงโยนลูกบอลแพรปักแล้วได้แต่งงานกับจอหงวน ในอนาคตหลิวเหิงจะได้เป็นขุนนาง ไม่อาจทำให้สะใภ้คนนี้ด่างพร้อยได้
สองแม่ลูกตระกูลหลิวไม่รู้เลยว่าหัวหน้าตระกูลหลิวคิดไปไกลถึงเพียงนั้น พวกเขายุ่งอยู่กับงานตลอดทั้งวัน ในที่สุดพิธีย้ายหลุมศพของหลิวต้าหลี่ก็เสร็จสิ้นลง พวกเขาทั้งหมดพลันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลังจากนอนพักผ่อนหนึ่งคืน หลิวเหิงก็กลับไปที่ตำบลชิงหลงกับนางหวังและเหยียนซีในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาตั้งใจว่าจะกลับไปที่สำนักศึกษาเพื่ออ่านทบทวนตำรา นางหวังและเหยียนซีจึงรีบร้อนเตรียมชาไปขาย
MANGA DISCUSSION