บทที่ 38 ความจริงในใจของนางหวัง
เหยียนซีเห็นว่าหัวข้อสนทนาตกมาอยู่ที่ตนเอง เด็กหญิงจึงแสร้งทำเป็นเขินอายแล้ววิ่งเข้าไปในห้องครัว
“ดูเด็กคนนี้สิ รู้จักเขินอายเสียด้วย ฮ่า ๆ ” แม่จิ้นเป่ากล่าวหยอกก่อนจะหัวเราออกมา
นางหวังหัวเราะพลางตีนางครั้งหนึ่ง “อย่าล้อซีเอ๋อร์ของข้าเลย นางเป็นคนหน้าบางน่ะ”
“ไอ้หยา แค่นี้ก็ปกป้องกันเสียแล้วหรือ”
ทุกคนหัวเราะลั่น
เมื่อเห็นนางหวังมีความสุข ก็มีบางคนที่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด “การให้กำเนิดออกมาก็ยังไม่สู้เก็บได้ เจ้าเก็บเด็กสาวคนนี้มาได้ ส่วนต้าลี่กลับเลือก…”
“แม่เถี่ยต้าน เมล็ดแตงโมนี้หอมนัก เจ้าแกะกินอีกสักหน่อยสิ” มารดาของหลิวจิ้นเป่าได้ยินนางพูดเรื่องไม่เหมาะสม ก็ยัดเมล็ดแตงโมกำมือหนึ่งใส่มือของนาง
แม่เถี่ยต้านผู้นี้ก็เป็นแม่ม่าย หลังจากบุตรชายเติบใหญ่และแต่งงานกับลูกสะใภ้ ในทุกวันนางก็จะอยู่บ้านเพื่อทรมานลูกสะใภ้ ดังนั้นเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของนางหวัง นางก็รู้สึกว่านางหวังกำลังอวดลูกสะใภ้อยู่
ครอบครัวท่านอาสามมีความสัมพันธ์อันดีกับคนในหมู่บ้าน แม่เถี่ยต้านเห็นว่าไม่มีใครเห็นด้วย อีกทั้งยังมีสองสามคนถลึงตามองตนพร้อมกับเบ้ปาก นางจึงเอาเมล็ดแตงโมมาสองกำมือ พึมพำว่าที่บ้านยังมีธุระ ก่อนจะหันหลังและจากไป
เมื่อนางหวังได้ยินคำพูดของนาง รอยยิ้มก็จางหายไป
คนอื่น ๆ ที่เห็นว่าบรรยากาศถูกทำลาย ก็ไม่ละอายใจที่จะนั่งต่อไป แต่สักพักก็จากไปกันหมด
เหยียนซีเห็นว่าอารมณ์ของนางหวังไม่ดีนัก เด็กหญิงจึงเดินไปนั่งลงตรงหน้าอีกฝ่าย “ท่านป้า เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
นางหวังถอนหายใจ ลูบหัวของเหยียนซีเบส ๆ “ซีเอ๋อร์ คำพูดเมื่อครู่ที่ป้ากล่าว ล้วนมาจากใจจริง ตลอดชีวิตของผู้หญิงอย่างเรานั้นช่างยากลำบากนัก ถ้าหากข้าไม่ได้พบพ่อของพี่เอ้อร์หลางของเจ้า เกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว”
เหยียนซีอยากจะถามอีกฝ่ายให้เข้าใจ แต่นางหวังกลับเช็ดน้ำตา ก่อนจะลุกขึ้นเริ่มทำงานเก็บกวาด “พวกเราต้องเก็บกวาดบ้านเสียหน่อย ทั้งข้าก็ต้องรีบทำเสื้อผ้าด้วย เอ้อร์หลางกลับมาก็ต้องไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ไปศาลบรรพบุรุษของตระกูล จะทำลวก ๆ ไม่ได้”
หลิวเหิงมีอายุสิบสี่ปีแล้ว แต่เพิ่งจะได้เข้าไปในศาลบรรพบุรุษเป็นครั้งแรกงั้นหรือ?
เหยียนซีฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่า ฐานะของนางหวังและหลิวเหิงในหมู่บ้านยางซานนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ว่าตามเหตุผลแล้ว ผู้ชายควรได้เข้าไปยังศาลบรรพบุรุษตั้งแต่เด็กแล้วไม่ใช่หรือ
โดยเฉพาะเรื่องซ่อมแซมหลุมศพ เหตุใดหัวหน้าตระกูลหลิวต้องนำเรื่องการย้ายหลุมศพมาเป็นเงื่อนไขด้วย?
นางหวังเห็นท่าทางประหลาดใจของเด็กญิง ก็ถอนหายใจออกมา “จริง ๆ จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีอันใดหรอก พ่อของเอ้อร์หลางนั้น อ้อ เจ้าควรเรียกเขาว่าท่านลุง เขาเป็นช่างเหล็ก เจ้ารู้หรือไม่ ครั้งหนึ่งเขาเคยออกไปตีเหล็กแล้วช่วยข้ามาจากแม่น้ำ หลังจากนั้น เขาเห็นว่าเอ้อร์หลางฉลาด ก็อยากจะสนับสนุนให้เอ้อร์หลางได้เรียน คิดไม่ถึงว่าเมื่อเอ้อร์หลางอายุได้เจ็ดขวบ เตาหลอมก็ล้มและเขาก็จากไปเช่นนั้น”
“ถือว่าเขาจากไปอย่างกะทันหันในวัยหนุ่ม ว่ากันว่ากฎของตระกูลหลิวนั้น คนที่ตายโหงไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสุสานบรรพบุรุษได้ ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงถูกฝังอยู่ที่หลังเขา ตอนนี้หัวหน้าตระกูลรับปากว่าจะย้ายหลุมศพให้ เราสามารถฝังเขาในสุสานบรรพบุรุษได้แล้ว”
นางหวังนึกถึงความรู้สึกไม่เป็นธรรมเมื่อตอนนั้น ที่ตระกูลไม่ให้ฝังหลิวต้าลี่ไว้ที่สุสานบรรพบุรุษ ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล เพียงคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าตนทำผิดต่อหลิวต้าลี่ ตอนนี้ในที่สุดก็จะได้ย้ายหลุมศพแล้ว เมื่อนางตายไปก็จะมีหน้าไปพบหลิวต้าลี่ได้แล้ว
อย่างไรเหยียนซีก็ไม่ได้เป็นคนโบราณ ไม่สามารถเข้าใจความหมายของบรรพบุรุษหรือสุสานบรรพบุรุษได้ แต่เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างปวดใจ เด็กหญิงก็ทำได้เพียงโน้มน้าวออกมาแห้ง ๆ “ท่านป้าไม่ต้องเสียใจไปนะเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะถูกฝังที่สุสานบรรพบุรุษหรือไม่ ท่านลุงไม่มีทางโทษท่านอย่างแน่นอน”
“นั่นน่ะสิ เขาเป็นคนดี แต่เขากลับไม่ได้อยู่ชื่นชมกับความโชคดีของเอ้อร์หลาง”
“ท่านป้า ท่านหัวหน้าตระกูลพูดได้ถูกต้อง ท่านลุงในโลกหลังความตายต้องรับรู้ได้แน่ และต้องมีความสุขกับพี่เอ้อร์หลางอย่างแน่นอน จริงสิ ถ้าหากพี่เอ้อร์หลางกลับมาแล้วต้องเตรียมไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษทันที ท่านป้าต้องรีบทำเสื้อผ้าเสียหน่อยนะเจ้าคะ” ในเมื่อโน้มน้าวไม่ได้ ก็หาอะไรให้นางหวังทำเสียหน่อยดีกว่า
เพียงนางหวังได้ฟังก็คิดว่ามีเหตุผล นางจึงไปหาผ้าที่ซื้อมาให้หลิวเหิงแล้วเริ่มทำงาน ส่วนผลไม้แห้งและขนมที่วางไว้ข้างนอก นางสั่งให้เยียนซีไม่ต้องรีบเก็บ อย่างไรสองสามวันนี้ที่บ้านก็ต้องมีคนมาไม่หยุดเป็นแน่
แน่นอนว่าต่อมาก็มีคนมาพูดคุยถึงบ้านเป็นครั้งคราว
จริง ๆ แล้วนางยังมีคำพูดอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวออกมา อย่างเช่นว่าเหตุใดนางจึงตกน้ำ หลังจากหลิวต้าลี่ช่วยนางมาแล้ว ทำไมทางบ้านของนางจึงไม่มาตามหา หลังจากหลิวต้าลี่ตายจากไป เหตุใดตระกูลหลิวจึงทำเช่นนี้?
แต่นางไม่อยากพูด เหยียนซีเองก็ไม่ถาม ชีวิตของเด็กกำพร้าและมารดาที่เป็นม่าย จะต้องไม่มีความสุขเป็นแน่ แต่ช่วงหลายวันนั้นที่หลิวเหิงป่วย เหตุใดจึงไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมบ้างเลย
เทียบกับจำนวนคนในวันนี้ ช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหวจริง ๆ
เด็กหญิงอยากจะให้นางหวังมีความสุขเสียหน่อย เธอจึงพูดคุยกับนางหวังอยู่สองสามประโยค แล้วพลางนำผ้าของตนมาแล้วเริ่มฝึกปักผ้า
นางหวังมองดูเด็กหญิงเป็นระยะ ๆ บอกนางว่าตรงไหนที่ฝีเข็มห่างเกินไป ตรงไหนใกล้เกินไป มีคนหนึ่งสอน คนหนึ่งเรียน เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นางหวังมีความสุขมากเกินไปจนไม่ได้นอนทั้งคืน หากไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นเหยียนซีดับตะเกียง เกรงว่านางคงนั่งเย็บผ้าอยู่ทั้งคืน
วันต่อมา ด้วยวความที่ทั้งสองคนล้วนนอนดึก ตะวันขึ้นสูงแล้ว นางหวังพึ่งได้ลุกขึ้นไปเก็บผักในทุ่งแล้ว เหยียนซีได้แต่หาวแล้วจะลุกไปล้างหน้าบ้วนปาก เด็กหญิงที่กำลังยืดเหยียดอยู่ที่ลานบ้าน อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหลิวเหิงตะโกนเรียกอยู่นอกประตู
เป็นหลิวเหิงที่ตัวเปรอะเปื้อนจากการเดินทาง เพราะเร่งรีบกลับมาจากเมืองถงอัน
ดูแล้วเขาผอมลงไปไม่น้อย สีผิวก็คล้ำลง แต่ดวงตาสีดำสองดวงกลับเปล่งประกายมีชีวิตชีวา “ซีเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!” เขารีบเดินเข้ามาในลานบ้าน วางกระสัมภาระในมือลง “มีอะไรกินหรือไม่ ข้าหิวจะตายแล้ว”
“เช้าขนาดนี้ ที่ท่าเรือมีเรือหรือเจ้าคะ” เหยียนซีเทน้ำให้เขาล้างหน้า เธอเห็นว่าเพียงเขาล้างหน้า น้ำในถังก็สกปรกไปหมด
เด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอก “ท่านไม่ได้ล้างหน้ามานานเพียงใดแล้วเนี่ย”
“เมื่อวานนี้ข้านั่งเรือมาถึงอำเภอหมิงสุ่ย ดึกแล้วไม่มีเรือ วันนี้รอเรือรับผู้โดยสารไม่ไหว จึงได้ขอติดเรือขนสินค้าของคนอื่นมา” เพียงหลิวเหิงเห็นน้ำในถัง ตนเองก็รู้สึกอายเล็กน้อย เขาจึงเทน้ำแล้วก็เปลี่ยนน้ำเป็นอีกถัง “แต่ข้าหิวจะตายแล้ว”
โชคดีที่ตั้งแต่เริ่มตั้งแผงขายน้ำชา เหยียนซีก็ลงแรงปรับปรุงอาหารที่บ้านให้ดีขึ้น และมักจะซื้ออาหารจากอำเภอมาบ้างเป็นครั้งคราว
ตอนนี้ที่บ้านไม่ขาดของกินแล้ว
เมื่อได้ยินหลิวเหิงบอกว่าหิว เธอก็ไปดูที่ครัว ก่อนจะตวงแป้งชามใหญ่ ใส่ไข่สองฟองลงไปผสม เมื่อตีรวมกันไปได้พักหนึ่งก็เติมน้ำจนเปลี่ยนเป็นแป้งเปียก จากนั้นก็หั่นต้นหอมใส่เข้าไป เติมเกลือเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ตั้งกระทะให้ร้อน ใช้น้ำมันหมูทาลงไปชั้นหนึ่ง ตวงแป้งเปียกสองช้อนแล้วใส่ลงไปจนมีเสียงดังซู่ ปล่อยให้แข็งตัวอยู่ในกระทะสักหน่อย ไม่นานนักก็กลายเป็นแป้งทอดไข่และหัวหอมแผ่นหนึ่ง
เมื่อเอาแป้งทอดไข่แผ่นที่สามออกจากเตา หลิวเหิงก็นั่งลงในครัว ท่าทางรออาหารอย่างใจจดใจจ่อ
“ตรงนี้ร้อนนัก พี่เอ้อร์หลาง ท่านไปที่โถงกลางเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะยกไปให้”
“กินที่นี่เถิด เหตุใดต้องยกไปยกมาด้วย” หลิวเหิงกลับเหนื่อยเสียจนไม่อยากก้าวขาอีกแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อนางหวังกลับมา ก็เห็นหลิวเหิงนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเล็ก มองเหยียนซีทำงานอยู่ตรงหน้าเตาอย่างรอคอย “เอ้อร์หลาง เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
“ท่านแม่!” หลิวเหิงขยับที่นั่ง “ท่านเองก็ยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่ขอรับ”
เหยียนซีหั่นแตงกวาอีกครั้ง นำแป้งทอดไข่แผ่ออก ทาซอสพริกเต้าเจี้ยวลงไปชั้นหนึ่ง ห่อด้วยแตงกวาเส้นและน้ำมันหมู ทำให้เป็นม้วน แป้งทอดไข่สามแผ่นม้วนอยู่ในจานอย่างประณีต จากนั้นก็นำโจ๊กที่นางหวังทำเอาไว้ก่อนออกจากบ้านมาด้วย “ท่านป้า พี่เอ้อร์หลาง กินเถิดเจ้าค่ะ”
หลิวเหิงกัดแป้งม้วนไปคำหนึ่ง “เยี่ยมจริง! อยู่ข้างนอกไม่เคยกินอะไรที่อร่อยเพียงนี้เลย”
MANGA DISCUSSION