บทที่ 32 คนร้ายมาเยือนที่หัวสะพาน
เดิมที นางทำใจใช้เงินไม่ลง หลังจากได้นำรถลากมาใช้งาน นางก็เห็นด้วยกับความคิดของเหยียนซี เพราะหากไม่เข้าถ้ำหมาป่าก็จะไม่ได้ลูกมา ดังนั้นหลังจากมีรถลากคันนี้ มันจึงประหยัดทั้งแรงและเวลาในการเดินทางไปเปิดร้านมาก
เหยียนซีได้ดัดแปลงรถลากคันนี้มาจากรถลากสองล้อในยุคสมัยใหม่ โดยปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อให้มันรับน้ำหนักสิ่งของต่าง ๆ ได้มากขึ้น
รถลากทั้งคันเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ตรงหน้ารถมีเตาสองเตาที่เหมือนกับเตาอบขนม ซึ่งสามารถต้มน้ำได้สองกาพร้อมกัน จะเผาถ่านหรือฟืนก็ล้วนสะดวกสบาย
บริเวณท้ายรถมีถังสองใบ ถังหนึ่งใส่น้ำสำหรับต้มชา ส่วนอีกถังใช้สำหรับพักน้ำชาให้เย็น หากเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนยังสามารถเอามาใช้ล้างชามได้ด้วย
รถลากคันนี้ทั้งสี่ด้านล้วนมีขอบกั้น ขอบทั้งสามด้านสามารถปลดวางลงได้ ส่วนขอบด้านที่หันเข้าหาลูกค้าเป็นแบบคงที่
อีกทั้งเธอยังได้บทเรียนจากการที่หวังชีทำชามแตกมาปรับปรุง โดยขอร้องให้คนทำปล้องไผ่ชนิดพิเศษ เพื่อนำมาผูกกับชามขนาดใหญ่สองใบด้วยหูเกี่ยว หลังจากพักให้น้ำเย็นแล้ว เธอก็นำมาแขวนไว้ตรงขอบกั้นที่คงที่
บนปล้องไม้ไผ่ยังให้คนแกะสลักและลงสีเป็นคำว่า ‘ชาชิงซินดับร้อน’ ให้เป็นพิเศษอีกด้วย
เมื่อมีคนมาซื้อ พวกเขาก็สามารถหยิบไม้ไผ่ไปได้ปล้องหนึ่ง ถ้าจ่ายเงินหนึ่งอีแปะก็สามารถนำปล้องไม้ไผ่ไปได้ คราวหน้าก็ค่อยเอากลับมาคืน
นอกจากนี้เธอยังเตรียมถ้วยไม้ไผ่อีกยี่สิบสามสิบใบ ไม้ไผ่หนึ่งลำสามารถเทใส่ถ้วยได้สี่ใบ คนที่มารอขึ้นเรือที่ศาลาหรือคนที่มาส่งญาติและเพื่อน หากจ่ายเงินหนึ่งอีแปะก็จะได้สี่ถ้วย พวกเขาสามารถแบ่งกันดื่ม นั่งพิงราวไม้ น่าดูชมยิ่งนัก
ตอนแรกนางหวังยังคิดว่าเหยียนซีใช้เงินผิดวิธี จนกระทั่งมาลองดูที่ท่าเรือก็พบว่าร้านค้าของเด็กหญิงเป็นที่นิยมมาก
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมลงแรงเพื่อแลกกับเงินเหมือนพวกหวังชี ซึ่งได้สูญเสียเหงื่อไปมากก็ต้องดื่มน้ำเยอะหน่อย หากดื่มชาสองแก้วใหญ่ไม่ไหว คนเหล่านั้นก็จะเลือกดื่มน้ำชาที่มีขนาดเล็กกว่าสี่ถ้วยแทน
ทว่าก็ยังมีคนรวยที่ยอมจ่ายเงินหนึ่งอีแปะ เพื่อซื้อน้ำชาถ้วยเล็กหนึ่งถึงสองถ้วย ซึ่งก็ถือได้ว่าเธอได้รับกำไรอีกครึ่งหนึ่งมาเปล่า ๆ
นอกจากนี้ เหยียนซียังเตรียมสินค้าใหม่มาด้วย น้ำชาคลายร้อนนั้นจำเป็นต้องเตรียมทุกวัน ส่วนชาต้าม่าย ชาใบเตย ชาดอกจินอิ๋นและอื่น ๆ จะต้มเพียงหนึ่งถึงสองกาในทุกวันเท่านั้น หากวันไหนฝนตก เธอก็สามารถต้มชาขิงกาใหญ่มาขายได้อีก
เหยียนซีเป็นคนปากหวานและมีชีวิตชีวายิ่ง ดังนั้นในช่วงยี่สิบกว่าวันมานี้ เด็กหญิงจึงได้ทำความรู้จักกับพ่อค้าแม่ขายทุกคนที่อยู่โดยรอบ เช่น สามีภรรยาสูงอายุคู่นั้นที่ขายแป้งทอดอยู่ตรงหัวสะพาน ทุกคนล้วนเรียกพวกเขาว่าท่านลุงเกา ท่านป้าเกา หลังจากเหยียนซีสนิทสนมกับพวกเขา เราก็พ่วงร้านขายของด้วยกันไปเสียอย่างนั้น
ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ เมื่อกินแป้งทอดแล้วก็รู้สึกคอแห้งนัก ดังนั้นมันจึงเหมาะจะกินคู่กับชาคลายร้อน จ่ายเงินสามอีแปะก็จะได้อาหารหนึ่งมื้อ
และเมื่อมีนายจ้างมาขนของ ก็ต้องจำใจเชิญคนงานมาดื่มที่ร้านน้ำชา เมื่อดื่มชาคลายร้อนหนึ่งแก้ว ก็จะลดความกดดันไปได้อย่างหมดจด
หลังจากที่หวังชีทำชามแตก แต่ไม่ให้เขาชดใช้ด้วยเงิน เขาก็รู้สึกผิด ดังนั้นจึงคอยแนะนำคนให้บ้างเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยกิจการของพวกนาง
เมื่อพัฒนากิจการในหลาย ๆ ด้าน แผงขายน้ำชาของพวกเหยียนซีก็มีรายได้ที่มั่นคง ซึ่งราคามักจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยอีแปะต่อวัน มากที่สุดก็ได้ถึงสองร้อยอีแปะ
วันนั้นนางหวังอดทนจนกลับถึงบ้าน จึงได้นับอย่างมีความสุขอยู่หลายรอบ วันต่อมานางก็ไปซื้อผ้าที่ร้านผ้าประมาณสองสามฉื่อด้วยความตื่นเต้น นางจะทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แก่หลิวเหิงกับเหยียนซี
“เจ้าอยู่ที่บ้านมาตั้งนานแล้ว ชุดที่ใส่ก็มีแต่เสื้อผ้าเก่า ตอนนี้มีเงินมากขึ้นแล้ว ป้าจะช่วยทำชุดใหม่ให้เจ้าสักสองชุด”
“ท่านอาสะใภ้ ตอนนี้ข้าจะใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ได้อย่างไร” เหยียนซีหมุนตัวให้นางหวังมองดู ตนกำลังแต่งตัวเป็นผู้ชายอยู่
นางหวังตีนางทีหนึ่ง “เดิมที ข้ากลัวว่าเจ้าไปตำบลคนเดียวจะไม่สะดวก ตอนนี้ข้าก็อยู่ด้วยทุกวัน เหตุใดยังต้องแต่งตัวเช่นนี้อีก”
“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ อาสะใภ้ ข้าแต่งตัวเช่นนี้ดีกว่า มันสะดวกดีเจ้าค่ะ” อันที่จริงก็เป็นเด็กเหมือนกันทั้งหมด แต่เหยียนซีก็ได้รู้ว่าชายหญิงในยุคโบราณนั้นแตกต่างกันมาก
หากเด็กหญิงวัยสิบขวบเป็นคนพูด ล้วนไม่ได้ผลดีเท่าเด็กชายเป็นคนพูดจา ทุกคนล้วนคิดเช่นนั้น เธอกลัวจริง ๆ ว่าหากตนเองแต่งตัวเป็นหญิง เมื่อออกไปทำงานอาจจะไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีเช่นนี้
“รอพี่เอ้อร์หลางของเจ้าเข้าสำนักศึกษาเสียก่อน ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” นางหวังเห็นความกังวลของนาง จึงรู้สึกเช่นกันว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผล
นอกจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้ นางหวังล้วนขอให้คนนำเงินทั้งหมดไปส่งให้หลิวเหิงที่เมืองถงอัน เพราะเขาอาศัยอยู่ในตัวเมืองจึงต้องใช้เงินเยอะ หากกังวลเรื่องเงินน้อยลง ก็จะได้เอาใจไปจดจ่อกับการสอบได้
เหยียนซีย่อมไม่คัดค้าน
หลิวเหิงถือเป็นเสาหลักสำคัญที่สุดของบ้านนี้
เถ้าแก่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้ามส่งคนมาสอบถามเกี่ยวกับสูตรน้ำชาคลายร้อนของเหยียนซีอยู่หลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะพ่อค้านั่นไม่ได้กลัวว่าหลิวเหิงจะสอบผ่าน นางก็เกรงว่าการเจรจาในครั้งนี้จะไม่ใช่การหารือธรรมดา แต่เป็นการบังคับซื้อ
เธอจึงจงใจตั้งราคาที่หนึ่งอีแปะเพื่อไม่ให้เป็นจุดดึงดูดความสนใจมากนัก อีกทั้งยังทำให้ผู้คนคิดว่าพวกนางได้กำไรเพียงน้อยนิด จนไม่อาจคาดได้ว่ากิจการขนาดเล็กเช่นนี้ที่มีราคาเพียงหนึ่งอีแปะ จะไม่อาจหลุดรอดสายตาของผู้ที่สนใจไปได้
ถ้าหากเธออยากจะหาเงินให้ได้มากกว่านี้ เช่นนั้นคนที่อิจฉาตาร้อนก็ต้องมีมากขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงหวังว่าหลิวเหิงจะทำข้อสอบได้ดี รีบสอบผ่านระดับซิ่วไฉ จู่เหริน ตลอดจนถึงระดับจิ้นซื่อ ถึงตอนนั้น เธอที่อยู่ในอำเภอหมิงสุ่ยก็จะมีต้นไม้ใหญ่ให้พึ่งพิง
เมื่อลองนับวันดู หลิวเหิงน่าจะสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอไม่รู้ว่าการสอบจะเป็นอย่างไรบ้าง
นางหวังพยายามนับวันและพร่ำว่าไม่รู้เอ้อร์หลางจะกลับบ้านเมื่อใดอยู่ทุกวัน
จิตใจของนางจดจ่อกับสองสิ่ง ยิ่งใกล้ถึงวันประกาศผลก็ยิ่งเหม่อลอย มีครั้งหนึ่งที่เธอต้มน้ำชากาหนึ่งเสร็จแล้ว นางก็ยังตั้งเตาเพื่อต้มน้ำอีกรอบ
เหยียนซีตกใจเสียจนไม่กล้าให้นางทำอีก ทั้งวางชาผิด รินน้ำชาโต๊ะผิดล้วนเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าหากคนถูกลวกเข้าก็จะเป็นปัญหาใหญ่
เมื่อถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนห้า นางหวังกับเหยียนซีตั้งแผงน้ำชาด้วยกัน นางกำลังพูดพร่ำถึงวันที่หลิวเหิงจะกลับมาด้วยความเคยชิน แต่นางก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางสะพานหิน
ตรงหน้าคนกลุ่มนั้น มีหญิงคนหนึ่งเดินนำมา
“คนผู้นั้นดูคุ้นตานัก แต่ไม่ใช่คนหมู่บ้านหยางซานนี่นา” นางหวังเห็นหญิงผู้นั้นก็กำลังคิดว่าตนเคยพบนางที่ไหนมาก่อน
หญิงผู้นั้นกลับหยุดยืนอยู่บนสะพานหิน หลังจากมองไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ชี้มาทางศาลาที่อยู่ด้านนี้ จากนั้นก็เดินจากไป
กลุ่มคนผู้นั้นรีบเดินมาทางศาลา ด้านหลังเป็นเกี้ยวหนึ่งคันแบบสองคนหาม
เมื่อดูจากการแต่งกายของคนเหล่านี้ พวกเขาน่าจะมาจากครอบครัวร่ำรวยสักตระกูลหนึ่ง
เหยียนซีเห็นว่าคนกลุ่มนี้สีหน้าแววตาดูไม่ใช่คนดี เธอไม่อยากจะสร้างปัญหาอะไร จึงได้ลากแผงขายน้ำชาออกไปไกลหน่อย หลีกทางให้พวกเขา
คิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มนั้นกลับคำราม ปิดล้อมรอบแผงขายน้ำชาของพวกนางไว้
เกี้ยวนั้นหยุดลงที่ด้านนอกวงล้อม หญิงชราคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เดินมา “พวกเจ้าสองคนเป็นคนหมู่บ้านหยางซานหรือ”
นางหวังพยักหน้า “ข้าเป็นคนหมู่บ้านหยางซานเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าพวกท่านมีอันใดหรือ”
“พวกข้าคือคนรับใช้ของท่านเจ้าบ้านหนิว นี่คือฮูหยินของพวกข้า ก่อนหน้านี้ฮูหยินของพวกข้าหารือเรื่องซื้อเด็กสาวที่บ้านของเจ้า นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุใดจึงไม่ส่งตัวมาอีก”
“ว่าอย่างไรนะ” นางหวังได้ยินหญิงชราผู้นี้เรียกอีกฝ่ายว่า ‘เจ้าบ้านหนิว’ นางพลันนึกถึงเรื่องที่อาสะใภ้สามเคยกล่าวไว้ ในเวลานั้นนางทั้งกังวลและโกรธเคือง จนกระทั่งยามนี้เองที่นางนึกออกว่าคนบนเกี้ยวนั้นคือใคร ที่แท้ก็เป็นสะใภ้ใหญ่ของครอบครัวอาสะใภ้สามนั่นเอง
ตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่ผู้นั้นมาที่หมู่บ้านหยางซาน นางก็เคยพบอีกฝ่ายอยู่สองสามครั้ง
เมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงชราผู้นั้นพูด นางหวังด่าคนไม่เก่ง จึงกันเหยียนซีไว้ข้างหลังตน นางโกรธเสียจนตัวแทบสั่น ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “บ้านข้าไม่คิดค้ามนุษย์ แล้วเหตุใดต้องส่งคนไปด้วย”
MANGA DISCUSSION