บทที่ 31 ทุกคนมีความสุข
หลิวเหิงแช่แป้งสาลีผัด กลิ่นหอมเย้ายวนเสียจนปลายนิ้วของผู้คนโดยรอบสั่นไหว
ผู้เข้าสอบเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่บ้านมีเงิน เมื่อก่อนพวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจ แต่ตอนนี้กลับทนความหิวโหยไม่ได้ อาหารของพวกเขาต่างกินยากทั้งสิ้น เมื่อเทียบกันแล้ว อาหารของเด็กหนุ่มกลับดูน่ากินกว่ามาก
หากไม่ใช่เพราะอยู่ในสนามสอบ เกรงว่าคงจะมีแต่คนด่าเขาว่าจงใจรบกวนสมาธิของผู้อื่น
หลิวเหิงไม่ได้รู้สึกอันใดแม้แต่น้อย เขาคลี่ผ้าแล้วปูลงบนโต๊ะสอบอย่างไม่รีบร้อน หลังจากกินโจ๊กแป้งสาลีเสร็จแล้ว เขาก็ถอนหายใจอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็นำปลาแห้งคั่วเกลือออกมาเคี้ยวกินช้า ๆ
ปลาแห้งคั่วเกลือนี้คั่วได้กรอบมาก เมื่อเคี้ยวแล้วจึงมีเสียงกรุบเบา ๆ เมื่อได้ฟังเสียงเล็ก ๆ นี้แล้ว ความสนใจของผู้คนโดยรอบก็ถูกดึงดูดไปทันที
แล้วเช่นนี้ คนอื่นจะทนได้อย่างไร?
มีผู้เข้าสอบบางคนนึกเสียดายที่ของกินที่ตนเองนำมาไม่ผ่านกระบวนการคิดอย่างรอบคอบเสียก่อน จริง ๆ แล้วตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา ทุกคนในสนามสอบล้วนเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่หัวข้อการสอบ จึงมีไม่กี่คนที่คิดว่าจะจัดการของกินอย่างไร ดังนั้นอาหารที่มีโภชนาของเหยียนซี จึงเป็นการริเริ่มว่าพวกเขาควรเตรียมอาหารให้ดีอย่างแท้จริง
ผู้เข้าสอบที่นั่งอยู่ทางด้านหน้าถึงกับหันมามองหลิวเหิงแวบหนึ่ง
หลิวเหิงรู้สึกอย่างไรก็บอกไม่ถูก พวกเขากินอาหารเหมือนกันแท้ ๆ หรืออาหารของตนกำลังส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปกันนะ?
เมื่อกินปลาแห้งคั่วเกลือไปสองกำมือ เด็กหนุ่มก็ขอชาร้อนหนึ่งถ้วยมาดื่ม หลิวเหิงรู้สึกได้ว่าท้องของเขาไม่ว่างเปล่าอีกแล้ว จากนั้นเขาก็ตรวจดูที่มืออย่างใจเย็น ขณะเก็บผ้าน้ำมันให้เรียบร้อย แล้วเริ่มก้มหน้าเขียนคำตอบอีกครั้ง
ท่านเจ้าเมืองที่นั่งอยู่ทางด้านหน้าก็เห็นความเคลื่อนไหวของผู้เข้าสอบที่อยู่ด้านล่างเช่นกัน เมื่อมองตามสายตาของคนเหล่านั้นไป เขาก็พบกับผู้เข้าสอบที่มีอายุน้อยคนหนึ่งกำลังกินอาหารแต่ละจานอย่างเอร็ดอร่อย และมีสีหน้าพึงพอใจ
ที่ผ่านมาเสบียงอาหารที่นำเข้ามาในสนามสอบล้วนมีรสชาติไม่อร่อยนัก ท่าทางของผู้เข้าสอบผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ขณะคาดหวังว่ากระดาษข้อสอบของผู้เข้าสอบผู้นี้ จะชวนให้เพลิดเพลินเช่นเดียวกับท่าทางกินอาหารของเขา
เมื่อเวลาเดินมาถึงช่วงบ่าย พระอาทิตย์กำลังใกล้จะตกดิน ในสนามสอบมีผู้เข้าสอบที่เป็นผู้นำในการเคาะระฆังเพื่อส่งข้อสอบ หากผู้ส่งข้อสอบคนแรกที่นี่ตอบคำถามในข้อสอบได้ดีก็ถือว่าโชคดี อย่างไรคนแรกที่ส่งข้อสอบ ท่านเจ้าเมืองก็ยินดีจะดูให้เสียหน่อย หากเห็นว่าไม่เลว เขาก็อาจจะจดจำชื่อไว้ เช่นนั้นหากคนผู้นี้ทำได้ดีในสนามที่สองอีก เขาย่อมมีหวังจะได้รับการรับรอง
หลิวเหิงพิจารณาตัวเองแล้วว่าเขาไม่ใช่คนมีไหวพริบนัก แต่เป็นคนทำงานอย่างสุขุมมั่นใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ร้อนรนเพียงเพราะมีคนส่งข้อสอบ ส่วนผู้เข้าสอบคนหนึ่งข้าง ๆ เขาน่าจะอยากรีบส่งข้อสอบโดยเร็วที่สุด
เพราะเขารีบร้อนจนทำแท่นฝนหมึกคว่ำ หมึกสาดไปโดนกระดาษข้อสอบจนแผ่นกระดาษเลอะเทอะไปหมด หากสนามสอบแรกไม่อาจส่งข้อสอบได้ การสอบในครั้งนี้ก็เท่ากับมาเสียเที่ยวแล้ว
ผู้เข้าสอบผู้นั้นอายุราว ๆ ยี่สิบสามปีแล้ว เพียงเห็นกระดาษข้อสอบเลอะเทอะก็ร้องออกมาว่า “ข้อสอบของข้า” จากนั้นก็มีคนตะโกนบอกว่า “ห้ามส่งเสียงรบกวนในสนามสอบ” จากนั้นนักการก็เดินมาลากตัวคนออกไปทันที
เมื่อมีคนผู้นี้เป็นตัวอย่าง ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ก็ระมัดระวังมากขึ้น
หลิวเหิงเป็นคนที่เก้าที่ส่งข้อสอบ
ข้อสอบของเขาถูกส่งไปด้านหน้า ท่านเจ้าเมืองก็กวาดสายตามองแวบหนึ่ง เขาลอบพยักหน้า ถึงแม้อายุจะยังน้อย แต่กลับเขียนได้ไม่เลว เห็นได้ชัดว่าพยายามมาอย่างหนัก
หลังจากเด็กหนุ่มส่งข้อสอบเสร็จแล้ว เขาก็เดินมาถึงประตูใหญ่ของสนามสอบ คนที่ส่งก่อนก็ยังรอคอยอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งคนที่สิบส่งข้อสอบแล้วออกมา ประตูใหญ่บานนั้นก็เปิดออก
ตามกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของสนามสอบ หลังจากส่งข้อสอบแล้ว ผู้เข้าสอบก็ต้องส่งให้ครบสิบคน หากไม่ครบสิบคนก็ทำได้เพียงรออยู่ตรงหน้าประตูใหญ่
จากนั้นทุกคนก็เดินออกจากประตูใหญ่ด้วยกัน
มีผู้เข้าสอบร่างท้วมคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเบียดตัวมาตรงหน้าของหลิวเหิง “สหายผู้เข้าสอบท่านนี้ ข้าชื่อเฉินโหย่วฝู ไม่รู้ว่าของกินที่เจ้านำมานั้นไปซื้อมาจากที่ใดหรือ”
หลิวเหิงรีบทักทายตอบ “สวัสดีท่านพี่เฉิน ข้าหลิวเหิง ของกินของข้านำมาจากที่บ้านขอรับ”
“เฮ้อ…” เฉินโหย่วฝูเพียงได้ยินว่าเขานำมาจากบ้านก็ถอนหายใจ “ข้ายังคิดอยู่ว่าถ้าซื้อมาจากในเมือง ข้าก็จะได้ไปซื้อมาบ้าง” เฉินโหย่วฝูผู้นี้ดูแล้วเป็นคนชอบกิน คิดไม่ถึงว่าเพียงพูดออกมาก็กลืนน้ำลาย “ข้าซื้อขนมเปี๊ยะใหญ่สองชิ้นมาจากโรงเตี๊ยม กลืนไม่ลงเลยจริง ๆ”
ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ เห็นท่าทางเสียดายของเฉินโหย่วฝู ก็มีคนดึงมือเขา “พี่เฉิน พวกเรามาสอบนะ ไม่ได้มาซื้อของกิน ใช่ว่ากินดีแล้วจะเขียนได้ดี เหตุใดต้องเสียเวลากับพวกตะกละด้วย”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็น ข้าว่าผู้เข้าสอบหลิวนั้นอายุยังน้อย แต่กลับเข้าสอบฝู่ซื่อได้เช่นนี้ เขาจะต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่”
ปัญญาชนมักดูถูกกันและกันมาตั้งแต่สมัยก่อน บางคนเกลียดหลิวเหิงเพราะการกินอาหารอย่างเปิดเผยในสนามสอบ เฉินโหย่วฝูกลับไม่ได้มีนิสัยเสียเช่นนั้น เพียงแต่เขาไม่ได้ถามอันใดมากมายก็ถูกคนลากตัวไปเสียแล้ว
เผยซิ่วไฉเองก็รออยู่ตรงประตู เขาได้ยินคนกลุ่มเล็ก ๆ นี้คุยกันทั้งหมด แต่เขากลับกล่าวกับหลิวเหิงเพียงว่า “อย่าไปฟังคำไร้สาระของคนอื่นเลย เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียหน่อย และเตรียมพร้อมกับการสอบพรุ่งนี้เถิด”
เป็นเพราะบิดาของหลิวเหิงจากไปนานแล้ว จึงประสบกับคำถากถางมาไม่น้อย ดังนั้นเขาย่อมไม่นำคำซุบซิบนินทาของผู้อื่นมาใส่ใจ และกลับไปเตรียมการสอบต่อที่โรงเตี๊ยมกับเผยซิ่วไฉ
การสอบฝู่ซื่อครั้งต่อมาก็เหมือนกับครั้งแรกที่ผู้เข้าสอบต้องออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง
แต่เพราะมีประสบการณ์ในวันแรกแล้ว กระแสของคนสองวันหลังจากนั้นก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อสอบสนามสุดท้ายเสร็จสิ้น หลิวเหิงก็กลับมาที่โรงเตี๊ยมก่อนจะนอนหลับไปทันที เขารู้สึกราวกับหัวสมองว่างเปล่า เหนื่อยเสียจนลืมตาแทบไม่ขึ้น
หลังจากสอบฝู่ซื่อเสร็จ ประมาณสิบวันก็จะประกาศผล
เดิมทีเด็กหนุ่มคิดจะเก็บเงินไว้ โดยคิดจะกลับบ้านเร็วหน่อย อย่างไรเสีย ถ้าหากมีข่าวดีก็จะมีคนไปแจ้งถึงบ้านอยู่แล้ว
เผยซิ่วไฉรู้สึกว่านาน ๆ ทีจะได้มาที่เมืองถงอัน เขาจึงพาเด็กหนุ่มไปพบกับเพื่อนสนิทของตนเสียหน่อย โดยเฉพาะในบรรดาเพื่อนสนิทเขานั้นมีคนสอบผ่านจู่เหรินแล้ว ถ้าหากหลิวเหิงสอบผ่านฝู่ซื่อได้ในครั้งนี้ ต่อไปก็จะเป็นการสอบเยวี่ยนซื่อ หากฟังคำแนะนำของคนที่มีประสบการณ์เสียหน่อย มันก็จะมีผลดีกับการสอบครั้งต่อไป
คนที่สอบผ่านจู่เหรินมักจะมีประสบการณ์ในการเขียนเรียงความและตอบคำถาม แต่หากเป็นคนที่ไม่ได้สนิทสนมกันก็จะไม่มีการพูดถึงประสบการณ์ดังกล่าวแน่นอน
หลิวเหิงรู้ว่าท่านอาจารย์มีเจตนาดี ดังนั้นจึงยอมเชื่อฟังและทำตามการจัดแจงของอาจารย์
ขณะที่เขาเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองถงอัน เหยียนซีกับนางหวังก็ยังคงยุ่งอยู่ที่อำเภอหมิงสุ่ย
ในตอนนี้ น้ำชาดับร้อนของเหยียนซีนั้นขายดีขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นเพราะวันแรกที่ขายน้ำชา จ้วงฮั่นผู้นั้นได้ซื้อน้ำชาไปแก้งหนึ่งเพราะไม่อยากให้น้องชายเมาเรือ ส่วนผลก็คือคนที่นั่งเรือลำเดียวกับเขาได้เห็นกับตา เมื่อน้องชายผู้นี้ขึ้นเรือแล้วก็ไม่ได้เมาเรือจนอาเจียน
ดังนั้นเมื่อกลับมาที่อำเภอหมิงสุ่ย พวกเขาก็ต่างบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนจึงยิ่งเชื่อว่า น้ำชานักปราชญ์ที่ตั้งอยู่ข้างศาลาสามารถห้ามอาการเมาเรือได้จริง ๆ คนมากมายที่กลัวจะเมาเรือ ก่อนจะขึ้นเรือพวกเขาก็จะมาซื้อน้ำชาคลายร้อนนี้ไปจำนวนหนึ่ง
อีกทั้งอากาศในทุกวันนี้ก็ยิ่งร้อนขึ้น การได้ดื่มน้ำชาคลายร้อนที่มีรสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เช่นนี้ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ดังนั้นคนที่มารอขึ้นเรือที่ท่าเรือ หรือแม้แต่คนที่ผ่านท่าเรือก็จะยอมจ่ายเงินหนึ่งอีแปะเพื่อซื้อมัน
ลำห้วยหมิงถือเป็นเส้นทางหลักในการส่งขนส่งสินค้าทางน้ำของเมืองถงอัน เพราะมันทั้งราคาถูกและรวดเร็วกว่า เมื่อเรือจอดเทียบท่า สินค้าต่าง ๆ จากเมืองโดยรอบจะถูกลำเลียงมาส่งที่บริเวณนี้ จากนั้นจึงใช้รถลากไปขายตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนั้นท่าเรือชิงหลงที่มีคนผ่านไปมา กิจการขายน้ำชาของเหยียนซีจึงดีขึ้นตาม
คนที่ทำงานแถวท่าเรือก็คิดว่าน้ำชารสหวานแก้วนี้เป็นสินค้าชั้นเยี่ยม เมื่อพวกเขาทำงานมาเหนื่อย ๆ ก็จะแวะมาดื่มด้วยราคาเพียงหนึ่งหรือสองอีแปะเท่านั้น
เมื่อได้ดำเนินกิจการเองแล้ว เหยียนซีก็คาดการณ์ไว้ว่าตัวเองกับนางหวังคงจะแบกหามของหนัก ๆ ทุกวันเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน แม้นางหวังจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ไม่ใช่เหล็กกล้า เธอเพียงต้องการหาเงิน ไม่ใช่การทำงานหนักเยี่ยงกรรมกร ดังนั้น หลังจากไล่สอบถามมาหลายแห่ง หญิงสาวจึงยอมกัดฟันจ่ายเงินไปสองตำลึงเพื่อซื้อรถลากหนึ่งคัน
MANGA DISCUSSION