บทที่ 28 เผยซิ่วไฉคือสุดยอดอาจารย์
เมื่อหลิวจิ้นเป่าได้ยินหลิวเหิงพูดว่าหลายคนหลายใบสั่งยา เขาก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที “นั่นสินะ หลายคนหลายใบสั่งยา แม้แต่ใบสั่งยาที่ดีที่สุดก็ต้องใช้ตามอาการ”
ทั้งสองยืนอยู่ไม่ไกลจากชายร่างใหญ่ หากการดื่มชาคลายร้อนไม่ช่วยหยุดอาการเมาเรือ พวกเขาก็จะได้จัดการได้ทันท่วงที อย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้สินค้าของเหยียนซีโดนทำลายชื่อเสียงได้
น่าเสียดายที่คำชวนเชื่อเหล่านี้เสมือนการยื่นดอกไม้ให้คนตาบอด
เมื่อชายร่างใหญ่ขึ้นเรือมาแล้วก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใด และอาศัยความสูงของตน ทำให้ได้ที่นั่งบริเวณกลางเรือแล้วบอกให้น้องชายนั่งลง
ส่วนตัวเองไม่ได้นั่ง ทำแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยถือถุงใส่น้ำไว้ในมือ พลางเทใส่แก้วเป็นระยะแล้วส่งต่อให้น้องชาย
หลังเรือแล่นออกจากท่า ชายร่างใหญ่ก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น เขาคอยมองน้องชายแล้วคอยถามว่าเวียนศีรษะหรือไม่ แน่นหน้าอกและอยากอาเจียนบ้างหรือเปล่า
ทุกครั้งที่เขาถูกน้องชายจ้องมอง เขาก็จะเงียบไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามอีก
ทว่าน้องชายได้ยินสิ่งที่หลิวเหิงกับหลิวจิ้นเป่าพูด เขาจึงมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหลิวจิ้นเป่ากำลังขัดเขินที่โดนมองตอบ เขาก็พูดขึ้นว่า “สิ่งที่ท่านพูดก็คงเหมือนกับสารหนู หากไปใช้กับอีกคนอาจจะกลายเป็นน้ำผึ้ง จึงไม่มียาใดรักษาได้ทุกอาการ”
หลิวจิ้นเป่ายิ้มอย่างเขินอาย แต่หลิวเหิงค่อนข้างสงบและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “น้องชายท่านนี้พูดถูก”
น้องชายคนนี้ดูแตกต่างจากพี่ชายโดยสิ้นเชิง เนื่องจากพี่ชายตัวสูงและกำยำ แต่น้องชายดูอ่อนแอและบอบบาง แต่ไม่รู้ว่าเขายังเมาเรืออยู่หรือเปล่า เพราะใบหน้าของเขาดูค่อนข้างซีด
บางทีเขาก็รำคาญคำถามเดิม ๆ ของพี่ชาย เขาจึงตอบกลับสั้น ๆ หนึ่งหรือสองคำ ส่วนเวลาที่เหลือก็แค่หลับตาเพื่อพักสมอง
แม่น้ำหมิงซีไหลเอื่อย ๆ และเรือโดยสารข้ามฟากก็แล่นไปอย่างราบรื่น
ในที่สุดเมื่อถึงช่วงบ่าย เรือก็แล่นเข้าเทียบท่าตรงนอกเขตอำเภอหมิงสุ่ย
ชายร่างใหญ่ช่วยพยุงน้องชายลงจากเรือ เขาอุทานอย่างมีความสุขสองสามครั้งระหว่างเดิน และยิ้มยิงฟันขาวเต็มปากให้หลิวเหิงกับหลิวจิ้นเป่า “ชาคลายร้อนที่น้องชายของพวกท่านขายนั้นได้ผลดีมาก”
“นั่นก็เพราะท่านดูแลน้องชายดีเช่นกัน” หลิวเหิงหัวเราะพลางพูดติดตลก
ส่วนหลิวจิ้นเป่าก็แอบหัวเราะเบา ๆ
จริงอยู่ที่เขาได้ยินเสียงชายร่างใหญ่ส่งเสียงถามดังตลอดทาง ทำให้รู้สึกว่าผู้ชายห้าใหญ่สามหนา*[1] คนนี้ มีนิสัยจู้จี้กว่าสตรีอายุแปดสิบปีเสียอีก
เมื่อชายร่างใหญ่เห็นว่าโดนทั้งสองหัวเราะขบขัน เขาก็เกาท้ายทอยพลางยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย
ทุกคนรีบเดินจากท่าเรือไปยังประตูที่ว่าการอำเภอแล้วรีบเข้าเมือง
นอกจากนี้ยังมีคนขับเกวียน และลูกหาบที่ประตูเมืองคอยตะโกนเรียกลูกค้า และแน่นอนว่าหลิวเหิงจะไม่ใช้เงินไปกับเรื่องนี้ หลังจากบอกลาหลิวจิ้นเป่าแล้วแยกทางกัน เขาก็แบกสัมภาระไว้บนหลังและแยกบางส่วนมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเดินช้า ๆ ไปที่สำนักศึกษาของตน
สำนักศึกษาแห่งนี้เปิดโดยครอบครัวของเผยซิ่วไฉ นับเป็นสถานที่เงียบสงบท่ามกลางเสียงวุ่นวาย เมื่อเดินข้ามถนนเล็ก ๆ สองสายที่อยู่เยื้องกับถนนหลักของประตูทางที่ว่าการอำเภอ ก็จะเห็นประตูสีดำเปิดอยู่สองบานพร้อมแผ่นป้ายที่เขียนว่า ‘สำนักศึกษาเผยซื่อ’ ด้วยตัวอักษรที่ชัดเจน
ในเมื่อสำนักศึกษานี้เปิดโดยตระกูลเผย จึงเป็นสมบัติตกทอดตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเผยซิ่วไฉ หลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน สำนักศึกษาแห่งนี้ได้ผลิตปัญญาชนและซิ่วไฉออกมามากมาย เรียกว่าเป็นรองแค่สำนักศึกษาประจำอำเภอเท่านั้น
ขุนนางผู้ปกครองอำเภอหมิงซีก็พลอยยกย่อง และแผ่นป้ายนี้ก็เขียนโดยขุนนางผู้ปกครองท่านหนึ่ง
มีประตูทางเข้าสามทางสู่สำนักศึกษาแห่งนี้ ประตูทางเข้าแรกเป็นห้องบรรยายบทเรียนสำหรับลูกศิษย์ ทางเข้าที่สองเป็นหอพักสำหรับศิษย์ที่อยู่ไกลและไม่สะดวกกลับบ้านทุกวัน สำหรับทางเข้าที่สาม เป็นห้องหนังสือและที่พักของอาจารย์บรรณารักษ์
เนื่องจากมีลูกศิษ์จำนวนมากในสำนักศึกษา ที่นี่จึงมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันอยู่ ดังนั้นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเผยซื่อ จึงมีตั้งแต่เด็กที่มีความรู้แจ้งไปจนถึงซิ่วไฉผู้ใหญ่
อาจารย์ทั้งสี่ในห้องโถงล้วนแต่เป็นซิ่วไฉผู้ทรงเกียรติ
หลิวเหิงเดินผ่านเข้าประตูและเห็นเผยซิ่วไฉอยู่ในห้องบรรยาย เขาก้าวเดินเร็ว ๆ สองสามก้าวแล้วตะโกนออกมาว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ”
เผยซิ่วไฉเงยหน้าขึ้นมองและดีใจมากที่เห็นอีกฝ่าย “อาการป่วยของเจ้าหายดีแล้วหรือไม่? อืม นับว่าเป็นความโชคดีของเจ้าเช่นกัน เพราะปีก่อน ๆ การสอบฝู่ซื่อจัดขึ้นในเดือนสี่ ทว่าเนื่องจากปีนี้ท่านเจ้าเมืองคนใหม่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง อาจารย์ได้ยินว่ามีความล่าช้ามาก ดังนั้นการสอบฝู่ซื่อจึงจะจัดขึ้นในเดือนห้าและเจ้าก็เข้าสอบได้ทันเวลา”
สามารถใช้คำว่าโชคดีได้จริง ๆ เนื่องจากการสอบฝู่ซื่อได้เปลี่ยนเป็นเดือนห้า และเท่าที่เผยซิ่วไฉจำได้ มันเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
หลิวเหิงนับเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของเขา อีกฝ่ายสอบได้อันดับที่ห้าในการสอบเซี่ยนซื่อประจำปีนี้ ทว่าบัณฑิตถงเซิง*[2] ที่สอบได้อันดับหนึ่งนั้นมีภูมิหลังตระกูลที่ดี ทั้งยังเริ่มเล่าเรียนตั้งแต่อายุห้าขวบ
ส่วนหลิวเหิงเพิ่งได้เรียนหนังสือเมื่ออายุเก้าขวบ และไม่ง่ายเลยที่จะสอบได้อันดับห้าประจำอำเภอหมิงซีในการสอบครั้งแรก
เมื่อเขาได้ยินว่าหลิวเหิงล้มป่วย เขาจึงขอให้คนนำเงินไปส่งให้สองตำลึงเพื่อรักษาอาการป่วยของหลิวเหิง เพราะคงน่าเสียดายที่เด็กหนุ่มจะพลาดการสอบฝู่ซื่อกับเยวี่ยนซื่อในปีนี้
แต่ไม่นึกเลยว่าลูกศิษย์คนนี้จะเป็นผู้มีวาสนานัก สามารถหายจากอาการป่วยและร่วมสอบฝู่ซื่อได้ทันเวลา
การอ่านตำราต้องใช้พรสวรรค์ก็จริง กระนั้นยังปฏิเสธไม่ได้ว่าการสอบขุนนางโชคชะตาก็สำคัญ
ชื่อเล่นของเผยซิ่วไฉคือเผยซิ่ว เขาจึงขาดโชคไปเล็กน้อยในการสอบ
ทั้งที่เขาก็เรียนหนักตั้งแต่เด็ก และเมื่ออายุได้ยี่สิบปี เขาก็สอบเป็นซิ่วไฉได้ ซึ่งการสอบท้องถิ่นทั้งสามระดับ เขาล้วนทำคะแนนเป็นอันดับหนึ่งดังนั้นเขาจึงได้เป็นบัณฑิตยุ้งฉาง*[3] ของอำเภอหมิงสุ่ย และได้รับเงินอุดหนุนค่าอาหารจากราชสำนักทุกเดือน
น่าเสียดายที่เขาโชคไม่ดีนัก แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะเป็นซิ่วไฉที่มีชื่อเสียงมาก แต่ปีถัดมา ระหว่างทางที่เขากำลังเดินทางไปสอบเซียงซื่อ*[4] เขาก็ได้ข่าวว่าท่านปู่เสียชีวิต
ตามธรรมเนียมแล้วบุตรชายคนโตและหลานชายคนโตต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี ทว่าอีกสามปีต่อมา มารดาของเขากลับเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรง จากนั้นอีกสามปีต่อมา บิดาของเขาก็เสียชีวิตอีกคน ส่งผลให้เขายังไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อได้เสียที
เขาจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดเรื่องการสอบจอหงวน แล้วหันมาทุ่มเทให้กับการสอนความรู้แก่ผู้คน
เผยซิ่วยอมรับหลิวเหิงเข้าสู่สำนักศึกษาเพราะคำแนะนำของสหาย หลังจากได้สอนไปสักระยะหนึ่ง เขาก็พบว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์มาก ทำให้เขาอบรมสั่งสอนอีกฝ่ายอย่างรอบคอบ
ดังนั้นเผยซิ่วไฉจึงรู้สึกว่าหลิวเหิงไม่เพียงแต่มีความสามารถมากกว่าอาจารย์เช่นตนเท่านั้น ทว่ายังมีโชคในการสอบที่ดีกว่าอีกด้วย ครั้งนี้เขาจะต้องสอบฝู่ซื่อผ่านแน่นอน
เขาบอกให้หลิวเหิงกลับไปพักผ่อนที่หอพักก่อน “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ช่วงนี้ยังต้องเรียนหนัก และอาจารย์มีคำถามสองสามข้อให้เจ้าทำด้วย เอาไว้จะอ่านให้ฟัง หลังจากนั้นเราต้องเดินทางไปที่เมืองหลวงให้เร็วขึ้นกว่ากำหนด อาจารย์จะจัดการเรื่องที่สำนักศึกษาแล้วออกเดินทางโดยไว”
สำหรับการเข้าสอบฝู่ซื่อ ผู้เข้าสอบต้องให้บัณฑิตยุ้งฉางเป็นผู้ค้ำประกัน ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางไปกับหลิวเหิงด้วย
หลิวเหิงกล่าวขอบคุณเผยซิ่วไฉ และกลับไปที่หอพักเพื่อเก็บข้าวของ ในตอนเย็นเขาก็เดินทางไปที่บ้านตระกูลเผย เพื่อมอบของขวัญเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างพร้อมกับคืนเงินสองตำลึง
ทว่าเผยซิ่วไฉกลับปฏิเสธที่จะรับเงิน “ครอบครัวของเจ้าไม่ได้ร่ำรวย เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเหล่านี้หรอก”
“ท่านอาจารย์เมตตารับศิษย์เข้าศึกษา และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาท่านก็สั่งสอนอย่างใส่ใจ ตอนนี้ครอบครัวของศิษย์พอจะมีฐานะดีขึ้นบ้าง ทั้งยังใช้หนี้สินเกือบหมดแล้ว ศิษย์รู้สึกละอายหากจะใช้เงินของอาจารย์ขอรับ”
ทั้งอาจารย์และศิษย์เอาแต่ออกตัวกันไปมา ฮูหยินได้แต่เผยยิ้มและปล่อยให้ทั้งสองนั่งคุยกัน “ทั้งสองคนเอาแต่ผลักกันไปมา เช่นนั้นข้าจะตัดสินเอง เอ้อร์หลางก็เก็บเงินนี้ไว้ใช้ก่อนเถิด รอให้เจ้าสอบฝู่ซื่อแล้วกลับมา ก็ค่อยคืนเงินพวกเรา”
“ขอบคุณอาจารย์หญิง” หลิวเหิงรีบกล่าวขอบคุณเธอ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะโต้เถียงกับอาจารย์อีกต่อไป
ขณะที่รับประทานอาหาร เผยซิ่วไฉก็ได้ถามคำถามอีกสองสามข้อพลางพูดคุยเกี่ยวกับวิชาแขนงต่าง ๆ
ฮูหยินเผยรับของขวัญเอาไว้ บ๊ะจ่างมีวิธีกินง่าย ๆ นางจึงแค่อุ่นใส่ชามและนำขึ้นโต๊ะ “เอ้อร์หลาง บ๊ะจ่างของบ้านเจ้านั้นยอดเยี่ยมมาก ข้าไม่เคยเห็นวางขายตามท้องตลาดเลย”
เผยซิ่วไฉแกะใบจ่างออก เพียงแค่ลอกออกก็ได้กลิ่นหอมลอยเตะจมูกแล้ว
ตรงกลางใบจ่างสีเขียวมีแป้งข้าวเหนียวที่ถูกหมักในซอสถั่วเหลืองมาแล้ว มีการแต้มสีแดงและเนื้อแวววาว ข้างในบ๊ะจ่างเป็นหมูสามชั้นทั้งชิ้น ซึ่งเนื้อก็ถูกหมักในซอสถั่วเหลืองและเครื่องปรุง
ซึ่งแตกต่างจากบ๊ะจ่างตามปกติที่เนื้ออ้วนขาวและเยิ้มน้ำมัน บ๊ะจ่างนี้จะสัมผัสได้ถึงไขมันในปากแต่ไม่เลี่ยน รสชาติมีความเค็มของเครื่องปรุงและรับรู้ได้ถึงความสดใหม่อีกด้วย
“บ๊ะจ่างนี้ดีกว่าบ๊ะจ่างไส้เนื้อที่ขายในท้องตลาดจริง ๆ”
หลิวเหิงหิ้วมาด้วยตลอดทาง แต่เพิ่งได้ชิมบ๊ะจ่างไส้เนื้อฝีมือเหยียนซีครั้งแรก และมันอร่อยมากจริง ๆ
มื้ออาหารนี้ ทั้งเจ้าบ้านและแขกจึงเพลิดเพลินกับอาหารกันอย่างเต็มที่
[1] ห้าใหญ่สามหนา หมายถึง ลักษณะของชายโบราณที่มีสองมือ สองเท้าและหนึ่งศีรษะใหญ่ ส่วนขา เอวและคอหนา
[2] บัณฑิตถงเซิง คือนักเรียนที่สอบผ่านเซี่ยนซื่อ
[3] บัณฑิตยุ้งฉาง คือ บัณฑิตที่สอบผ่านเยวี่ยนซื่อด้วยคะแนนอันดับต้น ๆ
[4] เซียงซื่อ คือ การสอบระดับมณฑล
MANGA DISCUSSION