บทที่ 26 ดึงธงหนังเสือขึ้นสู่ยอดเสา
เหยียนซีภูมิใจนำเสนอหลิวเหิงแบบสุด ๆ โดยเฉพาะการเน้นย้ำว่าหลิวเหิงได้รับการยกย่องจากขุนนางระดับอำเภอทั้งหลาย และในไม่ช้าเขาจะได้เป็นซิ่วไฉอีกด้วย
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าการสอบระดับท้องถิ่นอย่างฝู่ซื่อและเยวี่ยนซื่อนั้นเป็นอย่างไร แต่พวกเขารู้ว่ามีปัญญาชนคนหนึ่งในครอบครัวของอีกฝ่าย และยังเป็นปัญญาชนที่เก่งกาจมาก และในไม่ช้าจะกลายเป็นซิ่วไฉ
สำหรับคนธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำอย่างพวกตน ย่อมด้อยกว่าบัณฑิตขั้นซิ่วไฉมากอยู่แล้ว เมื่อพวกตนเห็นซิ่วไฉก็ต้องเรียกด้วยความเคารพว่านายท่าน
นายท่านขั้นซิ่วไฉเชียวนะ! นั่นคือผู้ที่เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางก็ไม่ต้องคุกเข่าอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้ทัศนคติของทุกคนเปลี่ยนไปในทันที
มีบางคนเดินทางมาจากแดนไกล หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็บังเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถอยห่างออกไป
เมื่อเห็นการแสดงออกของทุกคนแล้วเหยียนซีก็โล่งใจ
ในโลกก่อน เธอเคยทำงานฝ่ายการตลาด จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับมือกับคนทุกประเภท และยังเคยเผชิญกับพวกอันธพาลเจ้าถิ่นอีกด้วย
หากต้องการความมั่นคง ก็จำต้องพึ่งพาบางสิ่งเอาไว้เสียบ้าง
ดังนั้นตัวตนของหลิวเหิงในฐานะบัณฑิต นอกจากทรงพลังในหมู่บ้านหยางซานแล้วยังใช้ได้ดีในท่าเรือแห่งนี้
ไม่ว่าสถานการณ์ของหลิวเหิงจะเป็นอย่างไร ก็ให้ใช้หนังเสือเป็นธง*[1] ก่อน เพื่อแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ว่า ‘เบื้องหลังของพวกเธอคือว่าที่นายท่านขั้นซิ่วไฉ’
ตามการคาดคะเนของหญิงสาว กิจการเล็ก ๆ อย่างการขายชาคลายร้อนนี้ไม่ควรมีใครมาตั้งข้อสงสัย
ทว่าสิ่งที่เหยียนซีไม่คาดคิดก็คือ การแนะนำสินค้าของตนในวันนี้ ส่งผลให้ผู้คนพูดถึงร้านขายชาคลายร้อนที่แสนสดชื่นนี้ พวกเขาจะพูดถึงเสมอว่า “น้ำชาคลายร้อนที่เปิดขายที่ศาลานี้เป็นของครอบครัวปัญญาชน”
คำกล่าวนี้มันถูกส่งต่อแบบปากต่อปาก และในที่สุดเมื่อแพร่มาถึงแผงลอยของเด็กหญิง ใครต่อใครก็เรียกชื่อสินค้าตรง ๆ เลยว่า ‘ชานักปราชญ์’ ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ไปโดยปริยาย
ในตลาดการค้า เหยียนซีกับนางหวังไม่เคยย้ายหน้าร้าน ทั้งสองต้มน้ำและขายชาคลายร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียกว่าพวกนางไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหารกลางวันเสียด้วยซ้ำ
เนื่องจากนี่เป็นความคิดกะทันหันของเหยียนซีในการออกมาตั้งแผงขายของ นั่นจึงทำให้พวกนางไม่ทันได้เตรียมอาหารแห้งมาด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เหยียนซีก็รู้สึกหิวมากจนไม่สามารถทนได้อีก เด็กหญิงจึงวิ่งไปซื้อแป้งทอดที่แผงลอยตรงหัวสะพาน
ร้านขายแป้งทอดเป็นของคู่สามีภรรยาสูงวัย พ่อเฒ่ากำลังนวดแป้งเพื่อทำแป้งทอด ส่วนแม่เฒ่าก็ทำหน้าที่ทอด
เมื่อเห็นเหยียนซีมาซื้อแป้งทอด แม่เฒ่าก็เตือนเธอว่า “เจ้าหนู ถ้าเจ้าต้องการตั้งแผงขายเป็นเวลานาน เจ้าต้องไปหานายทะเบียนที่ฝั่งตะวันออกของเมืองและจ่ายค่าธรรมเนียมแผงลอยก่อนนะ”
หากไม่ได้ชำระค่าธรรมเนียมการตั้งแผงลอย เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบก็ไม่แปลกที่จะโดนยึดแผง
“เอ่อ ขอบคุณขอรับ” เหยียนซีขอบคุณแม่เฒ่าสำหรับการเตือนความจำให้และเธอซื้อแป้งทอดไส้เนื้อผักดองแห้งสองชิ้น
“ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ต้องขอบคุณ” แม่เฒ่าเห็นเหยียนซีแล้วก็ยิ้มชอบใจ และยังบอกให้พ่อเฒ่าทำแป้งใหม่เป็นพิเศษ เพื่อใส่ไส้ให้มากขึ้นด้วย
เหยียนซีกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อตอบแทนเธอจึงเทชาให้สองผู้เฒ่าได้ดื่มคลายร้อน
แป้งทอดที่นำขึ้นจากเตาใหม่ ๆ ยังร้อนมาก กระดาษน้ำมันบาง ๆ จึงป้องกันความร้อนไม่ได้เลย เด็กหญิงเอาแขนเสื้อรองไว้อีกชั้น เมื่อกลับมาก็แบ่งกับนางหวังคนละชิ้น แค่พวกนางได้กินแป้งทอดกับชาคลายร้อนก็เพียงพอแล้ว
ต้องยอมรับว่าแป้งทอดไส้เนื้อผักดองแห้งมีกลิ่นหอมมากจริง ๆ
เมื่อถึงเวลาตลาดวาย และจนกระทั่งอาทิตย์ลับขอบฟ้า จำนวนเรือที่ท่าเรือก็ค่อย ๆ ลดลงด้วย
ฝูงชนแยกย้ายกันไปช้า ๆ และเดินทางกลับบ้านกันทีละคนสองคน
ในที่สุดเหยียนซีกับนางหวังก็ได้นั่งพักหายใจหายคอ หมดวันได้เสียที
นางหวังใช้ผ้าเช็ดหน้า ช่วยเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้เหยียนซีพลางพูดว่า “ซีเอ๋อร์ หากวันพรุ่งนี้เจ้าจะมาตั้งร้าน เจ้าควรไปทางตะวันออกสุดของเมืองและจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนดีหรือไม่?”
“ท่านป้า ท่านก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?” เรื่องที่เหยียนซีได้รับการเตือนจากแม่เฒ่าขายแป้งทอด
“ข้ามาตลาดนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าท่านป้าคนนี้เป็นแค่ท่อนไม้ไม่รู้ความหรือไร?” เนื่องจากกิจการดำเนินไปอย่างดีมาก นางหวังจึงผ่อนคลายและพูดติดตลกออกมาได้
ทั้งสองเก็บข้าวของโดยเฉพาะการดับไฟในเตาอั้งโล่ให้ดับสนิท และเก็บทุกอย่างใส่ตะกร้าเหมือนตอนขามาทุกประการ
เหยียนซีลองประเมินน้ำหนักสัมภาระที่นางหวังต้องแบกไว้ สำหรับร่างกายเล็ก ๆ ของเธอ แทบขยับเขยื้อนไม่ได้เลย
แม้ว่านางหวังจะเป็นสตรีที่ผอมบาง ทว่าก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเธอ
พอจินตนาการไปว่าสักวันหนึ่งหากเกิดอะไรขึ้นกับนางหวัง แล้วเธอจะออกมาตั้งแผงขายของคนเดียวได้อย่างไรกัน?
“เราเพิ่งตั้งร้านกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเด็กและยังอ่อนแอ ข้าต้องมากับเจ้าอยู่แล้ว หากในอนาคตเจ้าสามารถตั้งแผงขายเองได้แล้ว อย่างแย่ที่สุดข้าก็จะมาส่งเจ้าในตอนเช้าและมารับเจ้ากลับในตอนเย็น” นางหวังวางแผนไว้สำหรับอนาคตหมดแล้ว
ณ ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่านี้อีก เพราะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์วันนี้ เหยียนซีไม่สามารถมาคนเดียวได้จริง ๆ อย่างไรนางหวังก็ต้องช่วยแบกของมาด้วย
“ซีเอ๋อร์ เจ้าใส่น้ำตาลลงในชาแบบนั้น เราจะได้กำไรหรือ?” นางหวังเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะน้ำตาลปริมาณเพียงหนึ่งชั่ง ก็มีราคามากกว่าสามสิบอีแปะแล้ว
“ท่านป้าไม่ต้องกังวล เราจะไม่ขาดทุนแน่” เนื่องจากมีคนอยู่รอบ ๆ เหยียนซีจึงไม่พูดว่าการเติมน้ำตาลเป็นแค่กลยุทธ์
เธอใช้ช้อนไม้ที่ซื้อมาเป็นพิเศษ ลักษณะของมันคล้ายกับช้อนที่ใช้ในซุปราเมงญี่ปุ่นของโลกอนาคต
ช้อนแบบนี้ดูเหมือนปากกว้าง แต่ในความเป็นจริงด้านล่างนั้นตื้นและแคบมาก ดังนั้นสองช้อนโต๊ะจึงไม่มากเลย
ถึงอย่างไรรสหวานของชาคลายร้อนนี้ ก็อาศัยความหวานของชะเอมเป็นหลัก
ทว่าหลักการตลาดก็คือ การขายของให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปที่สุด
ก็คล้ายกับการที่เธอใช้ถุงผ้าใส่ชาที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่ทุกคนก็รู้สึกว่ามันมีความพิเศษอยู่ในนั้น
แค่เธอเติมน้ำตาลสองช้อนโต๊ะ ก็สร้างผลกระทบทางจิตใจที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
การได้เห็นน้ำตาลทรายขาวถูกเทลงในกาน้ำชาด้วยตาตัวเอง ทางด้านจิตวิทยาคือการบอกเป็นนัยว่าชาคลายร้อนนี้คือชาที่ใส่น้ำตาลลงไปด้วย
ขอเพียงผู้ซื้อรู้สึกว่าไม่โดนเอาเปรียบ อย่างไรกิจการนี้ก็จะอยู่ไปได้อีกนาน
เหยียนซีได้คำนวณเอาไว้หมดแล้ว วันนี้ได้ต้มน้ำชาไปหลายกา ทว่ามีการเติมน้ำตาลลงไปแค่หนึ่งหรือสองกาเท่านั้น
อีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ คือเหยียนซีต้องสร้างมาตรฐานในการแข่งขันให้สูงเอาไว้ด้วย
หญิงสาวเคยเห็นซุปเปรี้ยวตามท้องตลาด ซึ่งแท้จริงมันเป็นต้นแบบของชาคลายร้อนที่เธอทำ แต่ซุปเปรี้ยวมีรสไม่อร่อย เพราะนอกจากรสเปรี้ยวแล้วก็ไม่มีรสอื่น ซึ่งจำเจเกินไปหากต้องกินทุกวัน อีกทั้งรสเปรี้ยวของมันก็โดดมากจนบางคนไม่ชื่นชอบ
เมื่อกิจการชาคลายร้อนนี้ได้รับความนิยม พวกที่ขายซุปเปรี้ยวคงไม่อยู่เฉย หากพวกเขาต้องการปรับสูตรเพื่อแข่งขันจะทำอย่างไร?
ดังนั้นการเติมน้ำตาลทรายขาวสองช้อนโต๊ะ จึงถือเป็นอุปสรรคแรกในการเข้าสู่วงการขายชานี้
ซุปเปรี้ยวที่คนเหล่านั้นขาย มีต้นทุนอยู่ที่หนึ่งหรือสองอีแปะแล้ว ถ้าใส่น้ำตาลลงไปก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นอีกแน่
เมื่อฟังเหตุผลที่เหยียนซีอธิบาย นางหวังก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม “สมองของเจ้าช่างเติบโตได้ดีนัก ทั้งฉลาดและคิดอะไรได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน!”
เหยียนซีหัวเราะเสียงแห้ง ต้องขอบคุณภูมิปัญญานับพันปีที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งได้รวบรวมวิวัฒนาการทางกิจการต่าง ๆ ของยุคนี้ไว้ทั้งหมด
ทั้งสองมาถึงทิศตะวันออกสุดของเมืองด้วยอารมณ์แจ่มใส ภายใต้คำชี้แนะของผู้สัญจรไปมา พวกนางจึงพบสถานที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมแผงลอย และมีบุรุษสองคนนั่งอยู่ข้างใน
บุรุษเคราแพะคนแรกอายุประมาณห้าสิบปี เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา เขาก็หันไปมองสบตากับคนด้านขวาอย่างสงสัย เมื่อเห็นคนผู้นั้นพยักหน้า เขาจึงถามพวกนางด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านป้ากับน้องชายท่านนี้มาจ่ายค่าธรรมเนียมหรือ? ข้าคือนายทะเบียนของตำบลนี้ แซ่ของข้าคือไป๋”
“คารวะนายท่านไป๋” เหยียนซีเห็นการแสดงออกทางคิ้วและดวงตาของบุรุษทั้งสอง ก็เข้าใจว่าพวกเขารู้จักครอบครัวของเธอ “นายท่านไป๋ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เรามาตั้งแผง ข้าไม่รู้เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมแผงลอยมาก่อน หากกระทำสิ่งใดไปด้วยความประมาทเลินเล่อ ก็หวังว่านายท่านไป๋จะไม่ตำหนิ”
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเลย น้องชายท่านนี้สุภาพเกินไปแล้ว ผู้ได้เรียนหนังสือมักพูดจาสมเหตุสมผลจริง ๆ”
“ข้าละอายใจเหลือเกิน ความจริงข้าไม่ได้เรียนหนังสือหรอก ทว่าข้าได้เรียนรู้จากพี่ชายมาไม่กี่คำ เพราะพี่ชายกำลังจะเข้าสอบฝู่ซื่อและเงินในครอบครัวก็ไม่เพียงพอมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ท่านป้าจึงต้องพาข้าออกมาตั้งแผงขายของเพื่อหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ”
ซึ่งนายท่านไป๋ยังไม่แน่ใจจึงลองหยั่งเชิงก่อน ทว่าเหยียนซีกลับยืนยันตัวตนของปัญญาชนที่บ้านทันที หนังเสือได้ถูกดึงขึ้นแล้ว!
[1] ใช้หนังเสือเป็นธง หมายความว่า แอบอ้างอำนาจเพื่อข่มขู่ผู้อื่น
MANGA DISCUSSION