บทที่ 15 อาสามมีเหตุผล
“เรื่องดี ๆ อย่างการได้เงินสามสิบตำลึงมาเปล่า ๆ ไม่ได้มีมาทุกวัน ท่านจะสับสนไม่ได้เชียว สามสิบตำลึง สามสิบตำลึงเต็ม ๆ ไม่ใช่เงินสามอีแปะนะ!”
“จะเงินบ้านไหนก็ใช่ว่าจะหามาได้ง่าย ๆ ทั้งนั้น แต่กับท่านนี่ถึงกับมีเศรษฐีนำเงินมาวางถึงหน้าบ้าน อีกอย่าง ตอนนี้ที่บ้านท่านก็กำลังเงินขาดมืออยู่ ตอนนี้ใคร ๆ ต่างก็ยุ่งกับการเตรียมดินเพาะปลูก ล้วนไม่มีใจจะมาคิดทวงหนี้ แต่เมื่อผ่านไปถึงช่วงที่ขาดแคลนเงินก็ล้วนรอใช้เงินกันทั้งนั้น อย่างบ้านข้านี่ รอให้เพาะกล้าเสร็จแล้ว หลาน ๆ ฝั่งท่านแม่ข้าก็ต้องเริ่มหาคู่แล้ว ข้ายังต้องเตรียมเงินสินสอดอีก”
อาสะใภ้สามกล่าวรัวราวกับจะขู่
นางหวังกลับเงียบไม่พูดสิ่งใด
นางเห็นว่านางหวังไม่มีการเคลื่อนไหวก็โมโหขึ้นมา “เงินที่ไหนก็ไม่ได้หามาง่าย ๆ บ้านข้านั้นไม่ได้ฟุ่มเฟือยเช่นบ้านท่านนี่ เงินหนึ่งตำลึงนึกจะไม่เอาก็ไม่เอาเสียแล้ว ไอ้หยา หากฟุ่มเฟือยเพียงนี้ เช่นนั้นท่านก็คืนเงินที่ติดค้างบ้านข้ามาเสียก่อนสิ!”
“ข้า…ข้าจะคืนโดยเร็วที่สุด…” เมื่อพูดถึงหนี้สิน น้ำเสียงของนางหวังก็อ่อนลง “อาสะใภ้ รอเดือนหน้าเถิด เดือนหน้าข้าทอผ้าขายแล้วจะคืนให้ท่าน…”
“โอ๊ยตาย…ยังต้องรอเดือนหน้าอีกหรือ ใครบ้างที่เขาไม่ต้องใช้เงิน เงินสามสิบตำลึงยังไม่เห็นค่า…”
“นี่เป็นเรื่องความเป็นอยู่ตลอดชีวิตของหญิงสาว หากข้ารับเงินมาคงจะเสียมโนธรรมเอาได้” ถึงแม้นางหวังจะเสียงเบา แต่นางก็ไม่ได้คลุมเครือแม้แต่น้อย
อาสะใภ้สามได้ยินคำว่า ‘เสียมโนธรรม’ ก็รู้สึกว่านางหวังนั้นกำลังชี้หน้าด่าตนอยู่! นางจึงเด้งตัวขึ้นแล้วเริ่มเรียกร้องให้นางหวังคืนเงิน เรียกร้องไปก็ไม่สามารถเงียบปากลงได้อีก “เสียมโนธรรมหรือ ท่านเสียมโนธรรมไปน้อยเสียที่ไหน ดูต้าลี่สิ ใครไม่รู้บ้างว่าเอ้อร์หลางของท่าน…”
ได้ยินย่าสามโดนว่าต่อหน้า ใบหน้าของเหยียนซีก็แดงระเรื่อ นางหวังต้องโดนดูถูกเพราะเห็นแก่ตนเอง เธอไม่สนใจว่าพวกนางจะจับได้ว่าตนแอบฟังหรือไม่ เด็กหญิงกัดฟันลุกขึ้นและเดินเข้าประตูไป
ไม่มีเงินใช้หนี้แต่เมื่อโดนด่า ให้เธอเป็นคนไปขวางแล้วรับมันไว้ก็ยังดี
ไม่รอให้เด็กหญิงผลักประตู ก็มีร่างของคนคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ผลักประตูลานบ้านให้เปิดออกเร็วกว่าเธอก้าวหนึ่ง เหยียนซียังไม่ทันได้เข้าไป เสียงใหญ่นั้นก็คำรามออกมา “หญิงผู้นี้นี่ มาอาละวาดอะไรอยู่ตรงนี้”
ชายผู้นั้นพุ่งตัวผ่านหน้าเหยียนซีไป เหยียนซีมองดูแล้วก็เหมือนว่าชายผู้นี้จะอายุประมาณห้าสิบกว่าปี บนร่างใส่เสื้อกระสอบตัวสั้น ขากางเกงม้วนขึ้น บนเท้าเต็มไปด้วยโคลน ดูเหมือนเพิ่งจะออกมาจากที่นา ตามแขนตามขาล้วนเต็มไปด้วยโคลนที่ยังไม่ได้ล้าง
เพียงคนผู้นี้เข้าประตูมา ก็ลากแขนย่าสามแล้วผลักออกไปข้างนอก “งานการที่บ้านมีตั้งมากไม่ทำ มาอาละวาดอะไรอยู่ข้างนอก หากข้าได้ยินเจ้าพูดเรื่องไร้สาระอีก เจ้าก็กลับไปอยู่บ้านแม่เจ้าเสีย!”
ย่าสามเพิ่งจะก่นด่าไปได้ไม่เท่าไรก็ถูกผู้มาเยือนลากออกไป เมื่อได้ยินเสียงของผู้มาเยือน คำพูดทั้งหมดก็ถูกปิดกั้นอยู่ในลำคอ พยายามอธิบายช้า ๆ “ท่านพี่ ข้า…”
“เมื่อวานพี่สะใภ้เจ้ามาหา แล้ววันนี้เจ้ามาทำบ้าอะไรที่บ้านเอ้อร์หลาง” สีหน้าท่านอาสามเต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาถมึงทึง
เขามีอำนาจในบ้าน อาสะใภ้สามพูดพึมพำไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ น้ำเสียงเบาลงเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ไม่มีเสียงอันใดออกมาอีก
นางหวังตกใจกับการบุกเข้ามาของท่านอาสาม มองเขาลากอาสะใภ้สามออกไปด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว กลัวว่าจะเกิดอันใดขึ้นจึงได้รีบเดินไปที่ประตูใหญ่ เห็นเหยียนซีกำลังยืนอยู่นอกประตูลานบ้าน เอ้อร์หลางเองก็อยู่ เขากำลังยืนอยู่ริมถนนห่างไปไม่กี่ก้าว
เมื่อเห็นว่าท่านอาสามจะก่นด่าอีก ก็เอ่ยปากเรียก “ท่านอา…”
ท่านอาสามคิดได้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ที่ประตูบ้านอีก ก็ถลึงตามองอาสะใภ้สามอีกครั้ง “กลับบ้านไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้!”
อาสะใภ้สามตอบรับเบา ๆ หมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของตน
เหยียนซีมองท่าทางว่านอนสอนง่ายของนาง อดไม่ได้ที่จะมองท่านปู่สามแวบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านปู่สามที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย มองดูแล้วก็เหมือนชาวไร่แก่ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง กลับกำราบย่าสามได้เพียงนี้
ท่านปู่สามไล่ภรรยาไปแล้ว มองเหยียนซีที่มองตนด้วยตาแดงก่ำ นางหวังเดินมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ท่านอา ท่านอย่าโทษท่านอาสะใภ้เลย เงินที่ติดไว้…”
“เรื่องเงินไม่ต้องรีบร้อนหรอก ท่านไม่ต้องไปฟังเรื่องไร้สาระของอาสะใภ้เลย ที่บ้านไม่ได้รีบร้อนใช้เงินอันใด” ท่านอาสามโบกไม้โบกมือขัดจังหวะคำพูดของนางหวัง ถอนหายใจ จากนั้นก็หันหน้ามากล่าวกับเอ้อร์หลาง
“อาสะใภ้ของเจ้าผู้นั้น ปกติแล้วก็เป็นเพียงคนโง่เง่าบ้าบอคนหนึ่ง เป็นคนปากเปราะ นางกล่าวอันใดพวกเจ้าก็อย่าได้ลดตัวลงไปตีกับนาง ไม่สนใจนางเป็นใช้ได้แล้ว”
ถึงแม้คำพูดเหล่านี้จะกล่าวกับเอ้อร์หลาง แต่จริง ๆ แล้วเป็นคำขอโทษต่อนางหวัง เพียงแต่เขาต้องหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย ไม่สามารถพูดอันใดกับนางหวังมากมายได้ และกลัวว่าหากตนพูดมากไปจะทำให้นางหวังรู้สึกไม่ดี
หลิวเหิงเดินมาสองสามก้าว ทำความเคารพปู่สาม “ท่านปู่สาม ท่านกล่าวเช่นนั้นพวกข้ารับไม่ไหวหรอกขอรับ เมื่อก่อนท่านอาสะใภ้ก็ดูแลเรามากมาย ให้พวกข้าซาบซึ้งเท่าไรก็ยังไม่พอขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าเป็นเด็กดี ดูแลร่างกายตนให้แข็งแรงในเร็ววันแล้วไปเรียนหนังสือ ตระกูลหลิวของเราเป็นชาวไร่ชาวนากันมาหลายรุ่น ก็หวังว่าจะมีบัณฑิตสักคน” ปู่สามอยากจะตบบ่าของเอ้อร์หลาง ยกมือขึ้นก็เห็นสองมือเต็มไปด้วยโคลน จึงวางมือลงอย่างอาย ๆ อีกครั้ง
เขากล่าวกับนางหวังอีกครั้ง “แม่เอ้อร์หลาง ท่านอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของอาสะใภ้เลย ท่านทำถูกแล้ว อาสะใภ้นั้นถูกหลอก อย่าลดตัวไปเทียบกับนางเลย”
“ขอบคุณท่านอา อาสะใภ้เองก็ถูกหลอกเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกข้าเลี่ยงได้ ความตั้งใจจริงของนางก็เพราะหวังดีกับเรา ท่านอา เข้ามาดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด”
“ไม่ล่ะ ที่นายังต้องรีบตำกล้ากันอีก ข้าขอตัวก่อน” ท่านอาสามมาเร็วไปเร็ว โบกมือปัดหลิวเหิงที่กำลังจะคัดค้าน หมุนตัวเดินผ่านทางเล็กที่มุ่งหน้าไปหลังเขา เดินไปทางทิศเหนือ
นางหวังมองเหยียนซีที่แบกตะกร้าบนหลัง ถือบุ้งกี๋เอาไว้ ก็เดินมารับบุ้งกี๋ที่มือของนาง “ไปกันเถิด กลับบ้านกัน”
หลิวเหิงหยิบจอบจากมุมกำแพงแล้วตามเข้าประตูไป
เหยียนซีเห็นว่าบนขาของเขาก็เลอะโคลนเช่นกัน เมื่อคิดถึงตอนที่ท่านปู่สามมานั้นก็ช่างบังเอิญนัก ตอนที่ตนแอบฟังอยู่ หลิวเหิงเองก็กลับมาแล้ว น่าจะได้ยินคำพูดของย่าสาม จึงได้ไปตามท่านปู่สามมาจัดการเรื่องนี้
เพียงคิดได้ว่าหลิวเหิงจับได้ว่าตนแอบฟัง ทั้งยังถูกนางหวังเห็นเข้า เธอก็พยายามอย่างมากที่จะแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เดินเข้าประตูนำตะกร้าวางไว้ตรงประตูครัวดังเช่นปกติ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนางหวังแวบหนึ่งคิดจะกล่าวอันใด เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางก็รีบก้มหน้า ในหัวกำลังครุ่นคิดว่าจะใช้คำพูดอย่างไร
นางหวังมองท่าทางร้อนตัวของเด็กหญิงก็ถอนหายใจ เดินไปขวางตรงหน้านางเอาไว้ ยกมือลูบมวยสาวน้อยที่ม้วนเมื่อตอนเช้า “ซีเอ๋อร์ อย่ากลัวไปเลย”
นางมองสองมือของเหยียนซี มือสองข้างนี้เป็นเพราะใช้ดึงกิ่งไม้ในป่าไผ่ จึงทำให้ขูดจนเป็นแผล มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เพียงมองก็รู้ว่าเป็นมือที่ใช้แรงงานมาอย่างหนัก
“ย่าสามของเจ้าก็พอจะพูดถูกอยู่บ้าง ครอบครัวเจ้าบ้านหลิวนั้นเป็นคนร่ำรวยจริง ๆ ในฐานะแม่ก็ย่อมอยากให้บุตรสาวแต่งงานกับครอบครัวดี ๆ กินของดี แต่งตัวดี แต่เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินมาจากในตำบล ถึงแม้ตระกูลหนิวจะร่ำรวย แต่ไม่ใช่คนที่ใจดี คนที่ทำงานอยู่บ้านเขานาน ๆ กินก็กินไม่อิ่มท้อง ข้าวสารที่อยู่ในบ้านไปนาน ๆ ก็ขึ้นราหมด จึงจำใจเอาออกมาให้คนอื่นเขากิน เจ้าบ้านหนิวผู้นั้น เพื่อให้มีบุตรเยอะและร่ำรวยจึงได้ซื้อคนมาหลายครั้ง แต่ภรรยาเขาร้ายกาจนัก หลังจากนั้นได้ยินว่าคนเหล่านั้นถูกม้วนด้วยเสื่อแล้วเอาไปทิ้งไว้บนเขา คนเช่นนี้ จะเป็นบ้านที่ดีได้อย่างไร ข้าจะผลักไสคนไปสู่นรกเช่นนี้ได้อย่างไร”
MANGA DISCUSSION