บทที่ 13 อาสะใภ้สามมาอีกแล้ว
ดวงตาทั้งสองข้างของเหยียนซีเป็นประกาย การข้ามมิติต้องมีการผจญภัย เธอนั้นเป็นที่รักของสวรรค์จริง ๆ!
“พี่เอ้อร์หลาง โสมไม้ไผ่นี้เป็นของดีใช่หรือไม่”
“ย่อมเป็นของดีอยู่แล้ว ซีเอ๋อร์ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าจะหาพบได้ยากยามขึ้นเขา เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคจริง ๆ” นางหวังพร่ำบอกอยู่ทุกวันว่าเหยียนซีเป็นดาวนำโชค ตอนนี้หลิวเหิงเองก็ยอมรับในโชคของนาง จึงกล่าวชมด้วยรอยยิ้ม
เป็นของดีจริง ๆ หรือ เหยียนซีถามอย่างสงวนท่าที “พี่เอ้อร์หลาง โสมไม้ไผ่เหล่านี้ถ้าหากเก็บไปขาย คงทำเงินได้ไม่น้อยใช่หรือไม่”
“ทำเงินหรือ” หลิวเหิงมองใบหน้าเปล่งประกายและเต็มไปด้วยความสุขของเหยียนซี เด็กชายตะลึงเล็กน้อย “น่าจะได้กระมัง เจ้าจะเอาโสมไม้ไผ่ไปขายหาเงินหรือ”
“ใช่น่ะสิ ข้าว่าตรงนี้มี หนึ่ง สอง สาม… เก้า เห็ดเยื่อไผ่เก้าอัน จะขายในราคาร้อยตำลึงได้หรือไม่”
อาหารอันโอชะ นี่แหละอาหารป่า น่าจะขายได้เงินไม่น้อยเลยกระมัง ได้เงินร้อยตำลึงมาไว้ในมือ ตนก็จะมีเงินขวัญถุงก้อนแรกแล้ว มีเงินเหล่านี้มาทำทุน ตนก็จะสามารถทำกิจการเล็ก ๆ ได้ จากนั้นกิจการเล็ก ๆ ก็จะกลายเป็นกิจการใหญ่ รอให้ร่างนี้เติบโตก็ค่อยซื้อที่ดิน ซื้อบ้าน จากนั้นก็คืนเงินให้สองแม่ลูกตระกูลหลิว และกลายเป็นเศรษฐี…
ราวกับเห็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝนแห่งเงินตรา เหยียนซีมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นก็กดมุมปากเอาไว้ ไม่ได้เงยหน้ามองท้องฟ้า
“ร้อยตำลึงหรือ แค่ก… แค่ก ๆ ๆ!” ปกติแล้วหลิวเหิงจะอ่อนโยนและสุขุม เมื่อได้ยินเหยียนซีกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญก็ตกใจทั้งรู้สึกว่าน่าขัน เขาสูดลมหายใจครั้งหนึ่งแต่ก็สำลัก อดไม่ได้ที่จะไอออกมาหลายครั้งก่อนจะหยุดลงอย่างยากลำบาก พลางมองไปยังท่าทางสดใสของเหยียนซีอีกครั้ง “แค่ก ๆ ซีเอ๋อร์ โสมไม้ไผ่นี้ไม่ใช่รากโสมหรอกนะ!”
ต่อให้เป็นรากโสม ก็ไม่ใช่ทุกต้นที่จะทำเงินได้ร้อยตำลึง
เขากล่าวอย่างสุขุม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไม่สามารถห้ามเอาไว้ได้
มันตลกเพียงนั้นเลยหรือ?
“เช่นนั้น… เช่นนั้นสิบตำลึงเล่า?”
หลิวเหิงยิ้มพลางส่ายหัว แววตาที่มองเหยียนซีเต็มไปด้วยความรัก ทว่าทำให้เหยียนซีรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโง่ ถึงแม้เธอจะไม่รู้สภาพการณ์ราคาในตลาด แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องมองเธอเหมือนเป็นคนโง่ก็ได้นี่
หลิวเหิงเห็นสีชมพูระเรื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าของเหยียนซี ด้วยกลัวว่านางจะเขินอายขึ้นมาจึงกระแอมอีกครั้ง พยายามกดรอยยิ้มที่มุมปากอย่างสุดความสามารถ
“จะขายได้มากเพียงนั้นได้อย่างไร เจ้าคิดดูสิ โสมที่ดีที่สุดขายได้ราคาเท่าไร โสมไม้ไผ่นี้ถึงแม้จะหายากในที่อื่น ๆ แต่เรามีภูเขาและต้นไผ่มากมายอยู่ที่นี่ ที่ยังพอมีโสมไม้ไผ่อยู่ ดอกโสมไม้ไผ่ทั้งเก้านี้ ถ้าหากตากแดดเสียจนแห้ง เกรงว่าจะไม่ได้เงินสักแดงเสียด้วยซ้ำ”
“แต่หากเอาโสมไม้ไผ่เหล่านี้ไปที่ร้านยาในตำบล บางทีอาจจะได้สักยี่สิบสามสิบอีแปะ นี่ก็สุดยอดมากแล้ว ตอนนี้ค่าแรงงานต่อวันยังไม่ถึงยี่สิบอีแปะเลย”
ค่าแรงงานก็คือการขายแรงงานแลกเงิน ด้วยโสมไม้ไผ่ไม่กี่อันนี้ หากเทียบกับค่าแรงงานหนึ่งวัน ก็ถือว่าไม่น้อย แต่ต่างกับที่เหยียนซีคำนวณไว้ในใจมากเกินไป หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก
เธอคิดเอาไว้คือตัวเองนั้นเต็มไปด้วยพรสวรรค์ คงทำเงินได้มหาศาลในคราวเดียว
แต่การมีเงินเข้ามาก็ถือเป็นเรื่องดี อย่างไรก็ถือว่าเป็นก้าวแรกสู่กำแพงเมืองจีน
เหยียนซีคิดอย่างถ่องแท้ จากนั้นก็ก้มลงขุดเห็ดเยื่อไผ่ออกมาอย่างมีความสุขและระมัดระวัง
“มีชิ้นแรกก็ต้องมีชิ้นที่สอง ข้าจะไปหาอีก ถือโอกาสขุดสมุนไพรไปด้วยเลย” เด็กหญิงนำหน่อไม้วางไว้ในตะกร้าด้านหลัง กลัวว่าจะทับเห็ดเยื่อไผ่เสียหาย จึงเอาผ้าเช็ดมือมาห่อแล้วถือไว้ “พี่เอ้อร์หลาง วันนี้เกลี่ยหน้าดินเสร็จดีหรือยังเจ้าคะ อีกเดี๋ยวข้ากลับมาจะไปปลูกถั่วกับท่านน่ะ”
“ไม่ต้องหรอก งานแค่นี้ ไม่นานข้าก็ทำเสร็จแล้ว” หลิวเหิงเห็นว่าเหยียนซีดูมีความสุขและตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับพึงพอใจเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มส่ายหัวพลางยกยิ้ม ก่อนจะหยิบเอาจอบไปขุดวัชพืชต่อ
น่าเสียดายที่ดูเหมือนโชคดีของเหยียนซีจะใช้หมดไปเสียแล้ว เมื่อเดินไปรอบป่าไผ่ขนาดใหญ่ แม้แต่ที่ชุ่มชื้นไร้แสงแดดเธอก็ไปหามาแล้ว กลับไม่พบเห็ดเยื่อไผ่อีกเลย
เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงแล้ว หญิงสาวทำได้เพียงเก็บเอาดอกคุณนายตื่นสายตามทางมา วางแผนจะเอากลับไปทำน้ำสลัด ทั้งยังเก็บกิ่งไผ่แห้งมาจำนวนหนึ่ง นำหญ้ามามัดรวมกันแล้ววางไว้บนหน่อไม้ แบกกลับไปเพื่อทำเป็นเชื้อเพลิง
เธอลองชั่งน้ำหนักดู พลางทักทายหลิวเหิงอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็แบกตะกร้าลงเขา เมื่อไปถึงลำห้วยหมิงก็เอาบุ้งกี๋ออกมา ไม่นึกว่าวันนี้จะยังจับปลาหมูได้อีกสองสามตัว ทั้งยังมีปลาและกุ้งที่กระโดดไปมาอีกด้วย
กุ้งแห้งเอาไปตากแดดเป็นของว่างให้ไก่ลวี๋ฮวา ปลาหมูนี้จับได้เป็นครั้งแรก สามารถเอาไปอบกินได้ เหยียนซีวางแผนวิธีทำกิน พลางนำบุ้งกี๋ยกขึ้นมาไว้ในมือแล้วค่อย ๆ เดินกลับบ้าน
ในตอนนั้น คนในหมู่บ้านล้วนยุ่งอยู่กับการเพาะกล้าต้นข้าว ที่นาล้วนมีแต่ร่างคนโก้งโค้งทำงาน ส่วนเด็ก ๆ ที่เดินได้แล้วก็ช่วยได้อีกแรง ส่วนที่โตหน่อยก็อยู่ที่บ้านซักเสื้อผ้าและทำอาหาร บางคนก็มาที่นาข้าวช่วยส่งกล้า
ทุ่งนาที่มีน้ำใส สะท้อนสีท้องฟ้าและเมฆสีขาวราวกับกระจก ต้นกล้าที่ถูกเพาะเป็นกลุ่มนั้นก็หยั่งรากลงในท้องฟ้าครามและเมฆขาว
ภาพการทำไร่ที่วุ่นวายนี้ทำให้คนมองดูรู้สึกสบายใจมาก เหยียนซีมองเท่าไรก็ไม่เคยเบื่อ
หญิงสาวฟังเสียงพูดคุยหัวเราะของผู้คนจากที่ไกล ๆ พลางยกบุ้งกี๋แล้วหมุนกาย มองเห็นประตูลานบ้านเปิดออกครึ่งหนึ่ง เธอคิดว่านางหวังคงจะกลับมาแล้ว
ไม่รู้ว่าของวันนี้ขายออกหรือไม่ เด็กหญิงยกตะกร้าขึ้นด้านหลัง พลางเดินกลับบ้านด้วยฝีเท้าที่ว่องไว
ตอนนี้ที่นี่เป็นบ้านของเธอแล้ว
เมื่อเดินมาถึงกำแพงบ้าน เหยียนซีก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านในตัวบ้าน
“แม่เอ้อร์หลาง ข้าเห็นว่าท่านหอบของเขาตำบลไปตั้งแต่เช้าตรู่ ไปซื้ออะไรหรือ”
“จะไปกล้าซื้ออะไรที่ไหนกัน อาสะใภ้ บอกตามตรงนะ ที่บ้านนี่ใกล้จะอดตายกันแล้ว ข้าทอผ้าสองสามฉื่อเพื่อเอาไปขายในตำบล แลกเป็นข้าวกลับมาเพียงเล็กน้อย”
“ไอ้หยา นี่บ้านท่านมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ หากไม่มีข้าวก็มาเอาที่บ้านข้าสักสองจินสิ”
“จะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร เงินที่ยืมมาจากบ้านท่านก็ยังไม่ได้คืน จะกล้าไปรบกวนท่านอีกได้อย่างไรกัน วันนี้ไปขายผ้าในตำบลก็ซื้ออาหารมาเล็กน้อยแล้ว” นางหวังบอกปัดอย่างเกรงใจ
บ้านของอาสามมีชีวิตที่ไม่เลว เขามีลูกชายคนเดียว หลังจากแต่งงานกับภรรยาก็ให้กำเนิดบุตรชายสองคน หลานชายทั้งสามคนของอาสามนั้น หลานคนโตอยู่ทำไร่ที่บ้าน ส่วนหลานคนเล็กก็ออกไปฝึกงานข้างนอก ที่บ้านล้วนทำงานใช้แรงงาน
ท่านอาสามอยากให้ตระกูลหลิวมีบัณฑิตมาโดยตลอด เขาจึงให้ความสำคัญกับหลิวเหิงมาก ดังนั้นจึงดูแลสองแม่ลูกอย่างดี แต่อาสะใภ้สามกลับดูถูกนางหวังผู้เป็นม่ายและบุตรชายผู้กำพร้า นางกลัวว่าจะถูกพวกเขาเอาเปรียบ
ทว่าวันนี้อีกฝ่ายกลับกระตือรือร้นเพียงนี้ นางหวังอดรู้สึกประหลาดใจกับการได้รับความรักเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้
อาสะใภ้สามยิ่งกระตือรือร้นกว่าเดิม “ซื้อมาแล้วก็ดี ถ้าหากขาดแคลนอันใดขึ้นมาก็ไม่ต้องเกรงใจข้าล่ะ จริงสิ แม่เอ้อร์หลาง เหยียนซีที่บ้านของท่านถูกซื้อมาด้วยเงินหนึ่งตำลึงจริงหรือ”
หัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับตน เหยียนซีจึงรีบเดินไปที่ประตูลานบ้าน หดเท้าโดยไม่รู้ตัว พิงเสาประตูของลานบ้าน พลางเปิดประตูออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อบังร่างเล็กของตนอย่างพอดิบพอดี
เด็กหญิงมองไปข้างในผ่านช่องว่างระหว่างประตูลานบ้านและเสาขอบประตู ก็เห็นย่าสามที่เคยมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ยืนอยู่ตรงลานบ้านพูดคุยกับนางหวังอยู่
นางหวังได้ยินคำถามของอาสะใภ้สามก็ขมวดคิ้ว “อาสะใภ้ ท่านไปได้ยินมาจากไหนหรือ”
“ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น เหอเซียนกูบอกเอาไว้ เอ้อร์หลางรอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้มาได้ ก็เพราะนางแนะนำให้ท่านซื้อเด็กคนนั้นมาเพื่อเรียกโชค อย่าว่าตั้งแต่ที่ซื้อเด็กคนนั้นมา สุขภาพของเอ้อร์หลางก็ดีขึ้นทุกวัน เมื่อก่อนป่วยหนักเพียงนั้น ตอนนี้กลับลงไปทำไร่ได้แล้ว เมื่อก่อนเห็นท่าทางเขาเช่นนั้น ใครจะไม่เป็นกังวลเล่า หากเอ้อร์หลางเป็นอันใดไป ท่านว่าชีวิตของท่าน…”
“นั่นน่ะสิ โชคดีที่พระโพธิสัตว์เมตตา” ทว่านางหวังยังคงมีความกลัวอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของอาสะใภ้สาม นางก็ขอพรออกมาทันที
“แม่เอ้อร์หลาง ตอนนี้เอ้อร์หลางสุขภาพดีแล้ว ท่านคิดจะรับเด็กเหยียนซีคนนั้นเป็นสะใภ้ตอนไหนหรือ ไม่กี่วันก่อนตอนที่ข้ามาก็ได้เห็นแล้ว ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะอายุน้อย แต่ก็ดูฉลาดนัก ช่างเหมาะกับเอ้อร์หลาง…”
MANGA DISCUSSION