บทที่ 11 สงบสุขและตั้งถิ่นฐาน
นางหวังไม่ได้สนใจว่าเหยียนซีจะคิดอะไร นางหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าหน้าแล้วยื่นให้เด็กหญิง “เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของเอ้อร์หลาง ช่วยชีวิตของเอ้อร์หลางเอาไว้ สัญญาซื้อขายทาสนี้ ป้าขอคืนให้เจ้า”
“ท่านป้า…” เหยียนซีคิดไม่ถึงว่าก้อนหินที่กดทับอยู่ในใจของตนจะถูกยกออกไปแล้ว เงินตั้งหนึ่งตำลึงที่ซื้อเธอมา สองแม่ลูกกลับคืนหนังสือสัญญาให้เธอง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ
“ท่านป้า…” เหยียนซีกำลังคิดจะกล่าวขอบคุณสองสามประโยค แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าปากของตนติดขัด จนกล่าวอันใดไม่ออก สุดท้ายก็ทำได้เพียงพูดอย่างจริงจัง “ท่านป้า เงินหนึ่งตำลึงนี้ ต่อไปข้าจะต้องคืนให้ท่านแน่”
เมื่อเห็นเหยียนซีเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เอ้อร์หลางเพิ่งจะบอกนางว่าเด็กหญิงไม่ยอมเป็นทาส นางคิดอยู่ว่าเด็กหนุ่มคงคิดมากเกินไป
เด็กวัยเก้าขวบ มีของกิน มีเสื้อผ้าใส่ ไม่ต้องโดนทุบตีหรือต้องทนหิว เท่านี้ก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ
คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมีความคิดเช่นนี้
เดิมทีเอ้อร์หลางให้นางหวังคืนสัญญาค้าขายทาสนี้ให้เหยียนซี ทว่าพวกเขาก็ยังมีเงินไม่มากนัก ตอนนั้นนางหวังรู้สึกปวดใจเล็กน้อย
ต่อให้ในใจนางหวังจะไม่อยากให้เหยียนซีไปเป็นทาส แต่เมื่อมีสัญญาซื้อขายทาสติดตัว ก็มักจะมีความคิดที่ว่าตอนนี้หากคืนให้ไป เงินนี้ก็จะกลายเป็นเปล่าประโยชน์
เอ้อร์หลางกลับโน้มน้าวนางหวังว่าจะช่วยคนก็ต้องช่วยจิตใจด้วย เหยียนซีนั้นสภาพจิตใจไม่ดีแล้ว พวกเขาแม่ลูกก็ไม่ควรขังคนเอาไว้ หากคนเขาหนีไป ความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่าไม่ใช่หรือ?
ตอนนี้เมื่อดูใบหน้าเล็กที่เคร่งขรึมของเหยียนซีแล้ว ก็เห็น ๆ อยู่ว่าอายุนางเพียงเก้าขวบเท่านั้น แต่กลับมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ ทั้งยังบอกนางหวังว่าจะคืนเงินให้ บุตรของนางช่างกล่าวได้ถูกต้องจริง ๆ
สองสามวันนี้ที่อยู่ด้วยกันมา นางกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าเด็กคนนี้ไม่เต็มใจ
“ถ้าหากเจ้าอยากกลับบ้าน เช่นนั้นก็เหมือนกับที่เอ้อร์หลางบอก พวกข้าจะช่วยหาข่าวมาให้เจ้า ส่งเจ้ากลับไป แต่เอ้อร์หลางกล่าวว่า สัญญาของเจ้าเขียนเอาไว้ว่า ‘มารดาตาย บิดาป่วย’ จึงได้ถูกนำตัวมาขาย อาการป่วยของพ่อเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะรักษาจนดีขึ้นได้หรือไม่…”
นางหวังกล่าวไปพลางนำเสื้อผ้าสองชุดของเหยียนซีมาพับแล้ววางไว้หัวเตียง “ถ้าหากว่าบิดาของเจ้าเองก็… ที่บ้านเจ้ามีคนอื่น ๆ อีกหรือไม่”
“ท่านป้า ข้าไม่อยากกลับไปเจ้าค่ะ” เรื่องนี้แน่นอนมาก สำหรับเหยียนซีแล้วแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย “ข้าสามารถ… สามารถอยู่ที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อยู่ที่บ้านพวกข้าน่ะหรือ?”
“เจ้าค่ะ ข้าทำงานได้ ข้าจะไม่ทำตัวให้เลี้ยงเสียข้าวสุกแน่ อีกอย่าง… อีกอย่างข้าจะไม่อยู่เปล่า ๆ ท่านก็ทำเหมือนว่าให้ข้าเช่าที่พักอาศัย รอให้ข้ามีวิธีหาเงินได้ ข้าก็จะจ่ายเงินให้ ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ได้สิ จะไม่ได้อย่างไร ห้องก็ยังว่างเปล่า ๆ อยู่ เจ้าเพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง ป้าจะเก็บเงินจากเจ้าได้อย่างไร รอให้เอ้อร์หลางออกไปสำนักศึกษา เจ้าก็ยังอยู่ที่บ้านกับข้าได้” นางหวังพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
นางเชื่อสุดใจว่าเหยียนซีเป็นดาวนำโชคของเอ้อร์หลาง ลึก ๆ ในใจของนางก็ไม่ยินยอมให้เหยียนซีจากไป “ใช่แล้ว เอ้อร์หลางบอกว่า ถ้าหากเจ้าอยู่ที่หมู่บ้านหยางซานแล้วไม่มีสำมะโนครัวมันจะไม่ดี”
เหยียนซีผงะ เพราะใส่ใจกับเสรีภาพ จึงได้ละเลยสิ่งนี้ ไม่ว่าเป็นยุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ สำมะโนครัวเป็นปัญหาใหญ่
ในยุคปัจจุบัน เหยียนซีต้องดิ้นร้นอยู่สิบปี เพื่อให้มีทะเบียนบ้านเป็นของตนเอง เธอสามารถซื้อบ้านและตั้งถิ่นฐานได้จนสำเร็จ
กลับมาสู่ยุคโบราณเพียงชั่วข้ามคืน ตอนนี้เธอก็ยังต้องกลับมากังวลเรื่องทะเบียนบ้านอีกครั้ง
ไม่มีที่นา ไม่มีบ้าน ทั้งยังไม่มีเงิน ร่างของเธอยังเป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่ง ทั้งยังไม่ใช่คนที่เกิดและโตในหมู่บ้านนี้ การจะอยู่บ้านตัวคนเดียวนั้นอย่าได้หวังเลย ถ้าหากต้องการจะปักหลักอยู่คนเดียวก็คงไม่สามารถรักษาอะไรไว้ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาที่อยู่และขอลงชื่อในทะเบียนบ้านเท่านั้น
ด้วยสถานการณ์ของเธอในตอนนี้แล้ว นอกจากนางหลิวและลูกชาย ใครจะยังให้เธออยู่ในทะเบียนบ้านได้อีก
เด็กหญิงมองนางหวัง จากนั้นก็มองไปฝั่งตรงข้าม หลิวเหิงเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ จะรับสถานการณ์นี้ได้หรือไม่?
หากเธอยังอาศัยอยู่ในทะเบียนบ้านหลิว จะคืนสัญญาค้าขายทาสให้หรือไม่นั้น มันจะต่างกันอย่างไร แต่ว่า… หลิวเหิงกลับยังคงคืนสัญญาค้าขายทาสให้เธอง่าย ๆ หญิงสาวซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ตนเองก็ไม่ได้มีที่ไปจริง ๆ ตอนนี้เป็นอิสระแล้วจึงไม่คิดถึงการหนีชั่วคราว เธอเองก็ผลักปัญหาทุกอย่างไปที่นางหวัง “ท่านป้า ข้าไม่รู้จักคนอื่นอีกแล้ว ไม่รู้ว่าควรไปจดชื่อลงสำมะโนครัวของใคร…”
“เอ้อร์หลางบอกว่า ถ้าหากเจ้าไม่มีที่ให้ตั้งหลัก ก็อยู่ที่บ้านของเราไปก่อน รอให้เจ้าโตขึ้นแล้วแต่งงาน ค่อยย้ายออกไปก็ย่อมได้”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้า ขอบคุณพี่เอ้อร์หลางที่ช่างใส่ใจ” เป็นเอ้อร์หลางที่บอกอีกแล้ว หลิวเอ้อร์หลางผู้นี้ยังพูดอะไรอีกกันแน่!
เหยียนซีรู้สึกว่าท่าทางของหลิวเอ้อร์หลางในตอนนี้กำลังโบกพัดขนวิหค ส่วนเธอเล่า เธอกลับเป็นหมากในกำมือของเขาที่ต้องเชื่อฟัง
แต่เมื่อดูสีหน้าจริงใจของนางหวัง หญิงสาวก็คิดว่าตนเองอาจจะสงสัยไปเองก็ได้
นางหวังพูดในสิ่งที่บุตรชายฝากเอาไว้หมดแล้ว เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืด ก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “เอาเถอะ รีบไปล้างตัวแล้วพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะไปบ้านนายทะเบียนเพื่อไปบอกกล่าวเสียหน่อย ให้เขาจัดการเรื่องสำมะโนครัวให้เจ้า” จากนั้นนางหวังก็ออกจากห้องไป
ช่วงฤดูใบไม้ผลิในหมู่บ้านบนเขา ท้องฟ้ามืดเร็ว อีกทั้งยังเงียบมาก นาน ๆ ครั้งจะมีเสียงหมาเห่าหอนครั้งสองครั้ง ทั้งยังมีสัตว์จำพวกนกส่งเสียงร้องอยู่บ้างในตอนกลางคืน
เหยียนซีนอนบนเตียงไม้กระดานแข็ง ถือสัญญาค้าขายทาสไว้ในมือ หญิงสาวยืมแสงพระจันทร์มองดูสองสามครั้ง จากนั้นก็พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง
ความสุขมาถึงกะทันหันเกินไป ทั้งยังไม่รอให้เธอดิ้นรนเพื่ออิสระเลย เหตุใดอิสระจึงมาถึงมือได้ง่ายดายถึงเพียงนี้กัน?
เมื่อได้รับอิสระกลับมา หญิงสาวก็เริ่มงงงวยและจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยนี้ได้หรือไม่ อย่างไรในช่วงเวลานี้ เธอก็คงต้องพึ่งพาสองแม่ลูกตระกูลหลิวเพื่อใช้ชีวิต ตอนนี้เป็นอิสระแล้ว ถ้าหากเธอยังพึ่งพาคนอื่นเพื่อมีชีวิตต่อ เช่นนั้นอิสรภาพนี้ก็ไร้ประโยชน์
ในเมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี!
เพียงแต่ในยุคสมัยที่ไร้ญาติขาดมิตร เธอควรดำรงชีวิตอย่างไรเล่า
โชคดีที่ร่างกายของเธอนั้นยังเป็นเด็ก ต่อให้ในหัวจะมีความคิดมากมาย แต่ร่างกายก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ไม่ทันรอให้เธอได้คิดแผนออก หญิงสาวก็จมลงสู่ดินแดนแห่งความฝันเสียแล้ว
จนกระทั่งนางลืมตาตื่นมาพร้อมเสียงไก่ขัน ด้านนอกหน้าต่างก็สว่างแล้ว เหยียนซีมองเพดานสีดำอย่างว่างเปล่า เมื่อได้ยินเสียงนางหวังเดินออกมาก็รีบลุกขึ้นนั่งในชั่วลมหายใจ
ตอนนี้ถือว่าเธอเป็นคนที่ขออาศัยอยู่ในบ้านตระกูลหลิว กินข้าวของเขา อยู่บ้านเขา ก็ไม่ควรไม่ทำงานไม่ใช่หรือ?
หญิงสาวนำสัญญาค้าขายทาสยัดใส่กล่องเล็ก ๆ ทันใดนั้นก็กระโดดลงจากเตียง สวมใส่รองเท้ากระโดดอบอุ่นร่างกายสองสามครั้ง จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไป
นางหวังถือไม้กวาดกำลังกวาดระเบียงและห้องโถงอยู่ เหยียนซีวิ่งเข้ามาสองสามก้าว “ท่านป้า ข้ากวาดให้เจ้าค่ะ”
“เจ้าตื่นเช้าเพียงนี้เลยหรือ” นางหวังปัดมือของนางออกไป “ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนเถิด”
เหยียนซีตอบรับคำหนึ่ง แล้วตักน้ำล้างหน้า มองดูไก่ลวี๋ฮวาสองตัวกำลังเดินไปเดินมาในลานบ้าน ในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญที่ ‘หาเงินได้’ เก่งที่สุด บอกได้เลยว่าเจ้าไก่สองตัวนี้เป็นไก่ชนชั้นสูง ทว่าตอนนี้ทุกคนเพิ่งจะตื่นนอน นางหวังก็นำผักโยนลงพื้น เพื่อให้อาหารเจ้าไก่สองตัวนี้กินเป็นของกินเล่นก่อนมื้ออาหารเสียแล้ว
เช่นนี้แล้ว หญิงสาวถือว่ายังไม่ได้มีประโยชน์เท่าเจ้าไก่ลวี๋ฮวาสองตัวนี้ เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถทำเงินได้สักแดงเดียว
อาจเพราะสัมผัสได้ถึงปมด้อยของเหยียนซี เจ้าไก่สองตัวเริ่มส่งเสียงร้องพลางวิ่งมาตรงหน้าของเธอ แล้วพ่นอึไก่กองโตออกมา
เหยียนซีอยากจะกินแม่ไก่ตุ๋นในซุปใสเสียจริง!
ทันทีที่หลิวเหิงก้าวขาออกจากห้อง ก็เห็นเหยียนซีกำลังจ้องไก่สองตัวตาเขม็งด้วยความเกลียดชังและขมขื่น
MANGA DISCUSSION