บทที่ 104 เตรียมการสำหรับวันตรุษ
เหยียนซีเงยหน้าขึ้นมอง และคนที่เข้ามาพูดอย่างนั้นคือชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมบุนวม ดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยประมาณยี่สิบปี เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร และน้ำเสียงที่ใช้ไม่สามารถบอกเจตนาได้ แต่รู้สึกว่ามันคือการจับผิด
ตั้งแต่หลิวเหิงได้รับการยอมรับในฐานะซิ่วไฉ การค้าขายของเด็กสาวก็เป็นไปอย่างราบรื่น หากมีคนรู้ว่าครอบครัวเธอมีปัญญาชนก็จะไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่อง แต่คนผู้นี้กล้าเข้ามาจับผิดหลิวเหิงอย่างนั้นหรือ
“ตอนนี้หลิวซิ่วไฉร่ำรวยไปถึงไหนแล้วเล่า” เมื่อเห็นว่าหลิวเหิงไม่ได้เอ่ยปากตอบ คนคนนั้นก็ยังถามต่อไป
นั่นเป็นคำถามที่ดูแคลนหลิวเหิงในฐานะพ่อค้า แบบนี้นี่เอง ในยุคสมัยนี้พ่อค้ายังคงเป็นอาชีพที่โดนดูถูก
ทว่าหลิวเหิงกลับโค้งคำนับคนที่เข้ามาพูดเช่นนั้น แล้วทักทายด้วยรอยยิ้ม “เป็นน้องอวี๋เสียนนี่เอง ไม่ได้พบกันเสียนาน ได้ยินมาว่าน้องอวี๋เสียนพลาดโอกาสอีกครั้งในปีนี้ แล้วนี่การสอบเยวี่ยนซื่อครั้งถัดไปคือปีหน้าหรือ”
ปรากฏว่าชายคนนี้เป็นเพียงบัณฑิตถงเชิงคนหนึ่งเท่านั้น
การเรียกกันตามอายุ ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด เว้นแต่จะมีสถานะอื่น โดยเฉพาะในหมู่ปัญญาชนในการสอบจอหงวน อย่างเช่นหลิวเหิงที่เป็นซิ่วไฉ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็จะถูกนับเป็นผู้อาวุโส เพราะโดยปกติแล้วเขามักจะเรียกผู้อื่นตามอายุอย่างสุภาพมากกว่า แต่ตอนนี้เมื่อเขาเริ่มเอ่ยตามสถานะ อีกฝ่ายจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
“เจ้า…” ฝ่ายตรงข้ามระงับความโกรธเคืองแล้วเอ่ยกลับมาอย่างประชดประชัน “ถึงข้าจะยังไม่ผ่าน แต่ก็ไม่เคยทำให้ความเป็นปัญญาชนต้องเสื่อมเสีย ต่างจากซิ่วไฉที่ขายโคลงกลอนหากิน ดูถูกศักดิ์ศรีตน มีโชคตลอดปี ทำมาค้าขึ้น โคลงหยาบ ๆ ที่เขียนโดยนายท่านซิ่วไฉ น่าละอายยิ่งนัก”
ได้ยินอย่างนั้น เหยียนซีก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ชายคนนี้อาจจะเป็นเพื่อนร่วมสำนักของหลิวเหิง ที่สำนักศึกษาบ้านตระกูลเผย และยังสอบไม่ผ่านมาหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าหลิวเหิงเข้าเรียนตั้งแต่อายุยังน้อยและยังสอบผ่านจึงรู้สึกอิจฉา จนแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา เขาดูถูกหลิวเหิงที่ขายชุนเหลียนหาเงิน เมื่อเธอสังเกตจากการแต่งกายด้วยผ้าแพร มีหยกประดับเอว ท่าทางคนผู้นี้จะเกิดในครอบครัวร่ำรวยสินะ
เหยียนซีเป็นคนจากอนาคต ที่มีความคิดอย่างคนยุคปัจจุบัน เธอไม่ได้คิดว่าการทำมาค้าขายเป็นเรื่องน่าอาย จึงลืมคิดไปว่าการขอให้หลิวเหิงมาช่วยขายของจะทำให้เขาโดนดูถูกเอาได้ หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกว่าตนเองคิดน้อยเกินไป จนทำให้หลิวเหิงต้องลำบาก
เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด กำลังจะหาทางอธิบายเพื่อช่วยหลิวเหิง หากแต่เขากลับส่งสายตามองชายผู้นั้นอย่างหยามเหยียด “ครอบครัวข้ายากจน และข้าขายโคลงกลอนเพื่อหาเงินจุนเจือที่บ้าน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด ส่วนโคลงนั้นจะเขียนอย่างสละสลวยหรือหยาบช้า ป๋ายเล่อเทียนยังเอากวีไปขอคำแนะนำจากหญิงสาวชาวบ้าน โคลงนั้นแต่งขึ้นก็เพื่อให้ชาวบ้านได้เข้าใจ และเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับน้องอวี๋เสียนกัน เจ้าได้เพิ่มพูนความรู้บ้างหรือไม่ สงสัยการเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะยังไม่ได้ช่วยอะไรเอาเสียเลย พยายามเข้าล่ะ ข้าเอาใจช่วย”
หลังพูดจบเขาก็ดึงตัวเหยียนซีเดินผ่านชายผู้นั้นไปทันที
“พี่เอ้อร์หลาง ท่านเจ๋งมากเจ้าค่ะ” เหยียนซียิ้มกว้างแล้วเอ่ยชื่นชม ส่วนหลิวเหิงก็ถามอย่างสงสัย
“เจ๋ง?”
“หมายความว่าท่านยอดเยี่ยมมาก”
“เจ้านี่ อ่านตำราให้มากขึ้นและลดนิยายลงบ้างเถิด” หลิวเหิงเคาะหน้าผากของนาง เพราะเขาคิดว่าเหยียนซีอ่านนิยายมากเกินไป
“ข้าเพิ่งคัดลอกหย่งโจวจี้ บันทึกการเดินทางของคนในอดีตเสร็จ ถึงบ้านแล้วจะเอาให้อ่านเจ้าค่ะ”
นั่นนับเป็นการพัฒนาความสามารถด้านกวีของเธอหรือเปล่านะ
การอ่านให้มากเป็นเรื่องดีเสมอ และยังช่วยให้เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ของยุคนี้ได้ดีขึ้น เหยียนซีจึงตอบตกลงอย่างมีความสุข
หากว่านางเป็นคนรักการอ่านมากถึงเพียงนี้ ครอบครัวของเด็กสาวอาจเป็นปัญญาชนก็ได้ เมื่อเห็นว่าเหยียนซีมีความสุข หลิวเหิงก็เริ่มคิดว่าตนเองอาจจะกำลังรู้จักนางมากขึ้นแล้ว
หลังจากเข้าไปที่สำนักศึกษาแล้วก็พบว่าเผยซิ่วกำลังส่งบัณฑิตสองสามคนที่มามอบของขวัญปีใหม่กลับไปพอดี เขาอยากพบหลิวเหิงเป็นอย่างมาก และขอให้หลิวเหิงอยู่พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันเสียก่อน
หลังจากที่หลิวเหิงไปศึกษาที่สำนักศึกษาประจำเมืองแล้ว คงไม่สะดวกที่นางหวังที่เป็นผู้หญิงคนเดียวจะเข้าไปเยี่ยม เหยียนซีจึงเข้าไปเยี่ยมบ้านตระกูลเผยหลายครั้งในนามของหลิวเหิง และอาจารย์เผยรู้ดีว่าเหยียนซีเชี่ยวชาญด้านอาหารการกินเป็นอย่างมาก เขาจึงขอให้นางช่วยเตรียมอาหารสำหรับปีใหม่ให้
ทั้งสองอยู่บ้านตระกูลเผยหนึ่งชั่วยามก่อนจะกลับไปที่ตำบลชิงหลง
นางหวังและทั้งสองกลับบ้านมาพร้อมกัน และได้พบกับนางกู้ แม่ของหวังชี ที่เชิญนางหวังไปที่บ้าน
ดังนั้น หลังจากที่หลิวเหิงและเหยียนซีกลับมาพวกเขาก็ไปที่บ้านของหวังชีก่อนที่ทั้งสามคนจะกลับมาที่บ้านด้วยกัน
ของสำหรับปีใหม่พร้อมแล้ว ต่อไปก็คือการเตรียมตัวสำหรับฉลองปีใหม่ด้วยกัน
ช่วงวันตรุษ นอกจากการรวมญาติแล้ว สิ่งสำคัญก็คืออาหารการกิน
เมื่อหลับถึงบ้าน นางหวังเอาถั่วเหลืองที่แช่น้ำแล้วไปโม่ที่โรงโม่ของหมู่บ้านเพื่อบดทำน้ำเต้าหู้ และเอามาทำเต้าหู้ที่บ้าน
เหยียนซีได้เรียนรู้การทำเต้าหู้เองเป็นครั้งแรก
หลิวเหิงช่วยโม่ถั่วเหลือง เขาเอาน้ำเต้าหู้สองถังกลับมาที่บ้าน เทมันลงไปในหม้อขนาดใหญ่สำหรับปรุงอาหาร เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้แรงมาก เหยียนซีไม่สามารถยกได้ และชายหนุ่มเป็นคนยกถังทั้งสองเทด้วยตัวเองทั้งหมด
เมื่อต้มน้ำเต้าหู้จนเดือด นางหวังก็ตักออกจากหม้อแล้ววางพักไว้ด้านข้าง “พรุ่งนี้เราค่อยเอาน้ำเต้าหู้มาอุ่นอีกครั้ง” และตอนนี้น้ำเต้าหู้พร้อมแล้ว
นางหวังตักน้ำเต้าหู้ขึ้นมา แล้วเอาเกลือและหม้อสำหรับทำเต้าหู้ออกมา น้ำเต้าหู้เหล่านี้จะค่อย ๆ จับตัวเป็นเต้าหู้อยู่ภายในหม้อนี้
ทันทีที่ใส่เกลือลงไป นมถั่วเหลืองก็เริ่มจับตัวเป็นก้อน
นางหวังเอาชามใบใหญ่ขึ้นมาตักก้อนเต้าหู้นิ่ม ๆ ออกมาจากหม้อ “นี่คือเต้าหู้อ่อน เอ้อร์หลางชอบกินแบบใส่ซีอิ๊ว ซีเอ๋อร์ เจ้าชอบกินแบบไหนก็ปรุงเอาได้เลย ตอนนี้ยังร้อน ๆ อยู่”
เต้าหู้อ่อนทำออกมาด้วยวิธีเช่นนี้เอง
เหยียนซีมีกุ้งแห้งกับสาหร่ายที่ซื้อมาจากตลาด เธอเอาใส่ลงไปในชาม สับต้นหอมใส่ลงไป เอาเต้าหู้อ่อนหนึ่งช้อนใหญ่ใส่ลงชาม ความร้อนของมันทำให้กุ้งแห้ง สาหร่าย ต้นหอม ส่งกลิ่นหอมน่ากิน
เธอเติมซีอิ๊วเล็กน้อยแล้วส่งชามเต้าหู้ให้หลิวเหิง
หลิวเหิงมองเต้าหู้อ่อนขาวเด้ง ต้นหอมสับสีเขียว สาหร่ายสีเข้มในชาม ส่งกลิ่นหอมและดูน่ากินกว่าที่เคย “ซีเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงทำให้มันแตกต่างออกไป”
“เพราะข้าชอบกินแบบนี้” เหยียนซีตอบด้วยรอยยิ้ม “ลองชิมดูสิ อร่อยไหม”
“อร่อยมาก”
เมื่อได้ยินว่ามันอร่อย เหยียนซีก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น “ท่านป้า ข้าจะตักให้ท่านชามหนึ่งด้วย”
“ข้าไม่ชินกับการกินกุ้งแห้งที่ยังไม่ได้ต้มหรือเอาไปทอด แต่ใส่สาหร่ายลงไปได้” นางหวังคิดว่ากุ้งแห้งจะอร่อยขึ้นเมื่อนำไปทอด ไม่อย่างนั้นกลิ่นของมันจะยังเหม็นคาวอยู่
อาหารทะเลไม่ได้พบเห็นมากนักในตำบลชิงหลง แต่เมื่อถึงวันตรุษ จะพบว่ามีสาหร่าย เคยแห้ง กุ้งแห้ง ปลาแห้ง และอาหารทะเลอื่น ๆ ก็มีให้เลือกซื้อมากมาย
ราคาก็ไม่แพงมากนัก แต่เพราะชาวบ้านไม่ค่อยได้กินกันจะซื้อเพียงสาหร่ายและปลาแห้งเป็นส่วนมาก
เหยียนซีมีความสุขมากที่ได้เห็นของพวกนี้ อาหารทะเลเป็นของดี ช่วยเสริมแคลเซียมและไอโอดีน เธอซื้อมาหมดทุกแบบ วางแผนจะให้นางหวังและหลิวเหิงได้กินอาหารทะเลเลิศรสในช่วงวันตรุษ
เหยียนซีตักเต้าหูอ่อนให้นางหวัง ท่านป้านั่งกินอยู่หน้าเตา จากนั้นก็ย้ายถังเต้าหู้อ่อนไปวางไว้ด้านบน ข้าง ๆ แท่นที่เรียกว่าพิมพ์เต้าหู้ ตักเนื้อเต้าหู้ทั้งหมดใส่ลงไปในถุง จากนั้นก็เอาถุงใส่ลงไปในพิมพ์เต้าหู้ แล้วค่อย ๆ กดเพื่อไล่น้ำออก เมื่อรีดน้ำออกจนหมดแล้วก็วางถุงเต้าหู้ลงในตะกร้าไม้ วางอ่างไม้ที่มีน้ำอยู่เต็มและกดลงไป จากนั้นก็บีบน้ำออกแล้วอัดเป็นก้อน ก็จะได้เป็นเต้าหู้
เพื่อให้เต้าหู้เป็นรูปร่างสวยงาม กุญแจสำคัญอยู่ที่การกดและเอาน้ำออกในตอนสุดท้าย
ไม่ใช่ทุกครอบครัวในหมู่บ้านหยางซานที่ทำเต้าหู้ได้ ดังนั้นนอกจากทำกินกันในบ้านแล้ว นางหวังก็จะเอาไปแลกกับถั่วของบ้านที่ไม่ได้ทำเต้าหู้ด้วย
เวลาคนอื่นอยากมาซื้อเต้าหู้ พวกเขาจะไม่ถามเป็นการซื้อขายด้วยเงินแต่จะเรียกว่าเป็นการเอาถั่วมาแลก มีร้านที่ขายเต้าหู้โดยเฉพาะสามารถเอาถั่วหนึ่งชั่งมาแลกได้เป็นเต้าหู้หนึ่งชั่ง และส่วนต่างจากถั่วที่เหลือจากการทำนั้นคือกำไร
เหยียนซีเคยไปที่ร้านเต้าหู้ และมองว่านี่เป็นธุรกิจที่ไม่เลวเลย แต่มันเหนื่อยเกินไป แค่เอาถั่วเหลืองไปโม่ก็เหนื่อยมากพอแล้ว แต่ละขั้นตอนเป็นงานที่หนักมาก เธอไม่สามารถใช้ร่างเล็ก ๆ เช่นนี้ทำงานหนักอย่างนั้นได้
MANGA DISCUSSION