บทที่ 94 หรือว่าแม่ไม่ต้องการผมแล้ว…
เช้าวันต่อมา
เกาซูตื่นตั้งแต่ตี 4 ไปตลาด เพื่อซื้อขาหมูมาตุ๋น กว่าจะได้กินกันจริง ๆ ก็เกือบเที่ยง เพราะต้องใช้เวลาตุ๋นนาน
ระหว่างกินมื้อเที่ยง ทุกคนก็พูดคุยกันสนุกสนาน โดยเฉพาะจงอี้ที่เอาแต่อวดว่าตนเองเรียนไปถึงไหนแล้ว
เห็นแบบนี้ เกาซูก็โล่งใจ เจ้าหนูถูกขัดเกลาจนกลายเป็นคนที่อยู่ในรอยแล้ว เธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีก
หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ เกาซูก็เดินมาคุยกับแม่สามีอีกครั้ง
“แม่คะ คราวนี้หนูอยากพาผิงอันไปด้วย”
“ทำไมล่ะ?” แม่สามีถามด้วยความประหลาดใจ “ลูกจะไม่ให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเหรอ? จะให้ไปทำงานที่โรงงานแทนหรือไง?”
“หนูหาครูสอนพิเศษในเมืองให้ผิงอันไว้แล้วค่ะ” เกาซูโกหก
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ ครูในเมืองต้องเก่งกว่าในหมู่บ้านเราแน่ ๆ ส่วนลูกก็จะได้มีเพื่อนไปด้วย แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย” แม่สามีพูดพลางเดินเข้าไปในครัว เพื่อห่ออาหารไว้ให้สะใภ้พกไปกินระหว่างทาง
หลังจากที่เกาซูกลับเข้าไปในห้องแล้ว เธอก็เล่าความคิดของตัวเองให้เกาผิงอันฟัง ให้ผิงอันไปทำงานที่โรงงานกับเธอ ยังไงตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องไปสอบในเมืองอยู่แล้ว
เกาผิงอันไม่สงสัยอะไรเลย พี่สาวพูดอะไรเธอก็เชื่อ แล้วเธอก็เริ่มเก็บของทันที
มีเพียงจงอี้แค่คนเดียวที่เกาซูไม่รู้จะอธิบายยังไงกับแววตาใสซื่อของเขา
“จงอี้…” เธอนั่งยอง ๆ ลง สองมือจับไหล่เล็ก ๆ ของเด็กน้อยไว้ ไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ
จงอี้เอียงคอมองเธอ ไม่เข้าใจว่าเธออยากจะพูดอะไร
หญิงสาวกลั้นความเจ็บปวดไว้ในใจ พยายามยิ้มอย่างฝืนทน “จงอี้ ต่อไปนี้ เธอต้องเชื่อฟังปู่กับย่าให้ดี ๆ นะ จำไว้นะ ต้องตั้งใจเรียนให้มาก ๆ… เข้าใจไหม? ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ และเป็นคนที่มีความรู้”
สีหน้าของจงอี้เปลี่ยนไปทันที “แม่… ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ? หรือว่าแม่ไม่ต้องการผมแล้ว… แม่จะไปไหนเหรอ?”
“มะ… ไม่ใช่อย่างนั้น…” เกาซูตกใจกับคำพูดของเด็กน้อย ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้อ่อนไหวขนาดนี้กันนะ ไม่สมกับเป็นลูกชายของทหารเลยจริง ๆ
ดวงตาของจงอี้แดงก่ำ “มะ… แม่ของผมก็พูดแบบนี้ตอนที่ท่านกำลังจะจากไป บอกให้ผม… เชื่อฟังพ่อ… แล้วก็ต้องตั้งใจเรียน…”
จงอี้มักจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงพ่อแม่มาตลอด เพราะเมื่อพูดถึงทีไร น้ำตาจะไหลอยู่ทุกที
พอได้พูดถึง ปากของเขาก็เริ่มสั่น น้ำตาคลอหน่วย ทำเอาเกาซูถึงกับลนลานทำตัวไม่ถูก
เธอดึงเด็กน้อยมาสวมกอดแน่น พยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่น้ำตาก็ไหลอาบสองแก้มจนหยดลงบนเสื้อของอีกฝ่าย เสียงสะอื้นเบา ๆ ทำให้เสี่ยวเปาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองมาดูด้วยความกังวล “น้าซู…”
เกาซูรู้ว่าตัวเองเผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป จึงรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วหันไปยิ้มให้เสี่ยวเปา ก่อนจะลูบหัวจงอี้เบา ๆ “ฉันไม่ได้ทิ้งพวกเธอไปไหนหรอก แค่คราวนี้ไปนานหน่อย เลยต้องฝากฝั่งให้ดีเท่านั้นล่ะ อย่าคิดมากไปเลยนะ”
จงอี้ถอนหายใจด้วยความโล่ง เขาพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย “ผมจะเชื่อฟังครับแม่ ผมจะทำการบ้านทุกวัน และจะไม่ดื้อกับคุณปู่คุณย่า”
เกาซูแอบกังวลเล็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องการเรียนของจงอี้ เธอพาเกาผิงอันไปด้วย จากนี้จึงไม่มีใครคอยอยู่สอนหนังสือเจ้าเด็กน้อยแทนตัวเอง อีกอย่าง อีกไม่นานเจ้าหนูจะต้องเข้าโรงเรียนแล้ว แบบนี้เธอคงวางใจได้ไม่มากนัก แต่เมื่อนึกถึงชายวัยกลางคนที่จงอี้แอบไปเจอบ่อย ๆ ก็ตระหนักได้ว่า ยังมีคนที่พร้อมจะดูแลและให้เวลากับจงอี้มากกว่าเธอเสียอีก
เกาซูจับมือเล็ก ๆ ของเขาเอาไว้ พยายามฝืนยิ้ม แล้วเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ถ้า… ถ้าคิดถึงกัน… ให้พ่อแม่ของเสี่ยวเปาพาไปเจอฉันที่โรงงานแล้วกันนะ”
ดวงตาของจงอี้เป็นประกาย เขาพยักหน้าแรง ๆ หลายที ก่อนจะยิ้มอย่างร่าเริงออกมาอีกครั้ง
มู่เฟินเดินออกมาจากครัวพร้อมกับกล่องอาหารหลายใบ เห็นสภาพเกาซูแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก “เกิดอะไรขึ้น? เสี่ยวซู? ลูกร้องไห้ทำไม?”
เกาซูลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เธอส่งยิ้มพลางบอกว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ก่อนจะกระซิบบอกแม่สามีว่า “เมื่อกี้จงอี้พูดถึงพ่อแม่เขา หนูเลยร้องไห้ตามน่ะค่ะ”
มู่เฟินเข้าใจสถานการณ์ จึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ แล้วรีบจัดแจงกล่องอาหารให้เกาซู “นี่เป็นของที่แม่ทำเอง ลูกเอาไปกินระหว่างทางด้วยนะ ส่วนกระปุกนี้เป็นไช้เท้าดองที่เราปลูกเอง เอาไว้กินที่โรงงานนะ อย่าไปซื้อให้สิ้นเปลืองเลย”
ในยุคที่เธอตาย ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอดีขึ้นมาก ได้กินอาหารดี ๆ มากมาย แต่กลับรู้สึกว่าผักดองที่บ้านเกิดอร่อยที่สุด ถึงจะลองซื้อตามท้องตลาด หรือลงมือทำเอง ก็สู้รสชาติที่แม่สามีทำไม่ได้เลยจริง ๆ แต่น่าเสียดาย หากรู้ว่าต้องแยกจากกันเร็วอย่างนี้ เธอน่าจะขอให้แม่สามีสอนทำเสียตั้งนานแล้ว
ในชีวิตของเธอ แม้แต่แม่แท้ ๆ ยังไม่เคยทำอาหารใส่กล่องให้กินระหว่างการเดินทางแบบนี้ หนำซ้ำยังบังคับให้เธอเป็นคนรับผิดชอบในส่วนนี้แทบตนเองอีกต่างหาก เจ้าน้องชายตัวดีก็มักจะประจบประแจงจนวัน ๆ ไม่ต้องทำอะไร คิดแล้วก็น่าเสียดาย ที่เธอจะต้องมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ไปแล้วเช่นนี้
“ขอบคุณนะคะแม่” เกาซูลูบกล่องอาหารเบา ๆ พร้อมกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก! แล้วก็ไม่ต้องทำหน้าจะร้องไห้แบบนั้นด้วย” แม่สามีหัวเราะพลางลูบผมเธอ “รีบไปเถอะ ถ้าไม่ไปตอนนี้ก็จะตกรถเอาได้นะ”
ทุกอย่างที่ควรจัดการก็เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ควรสั่งเสียก็เสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน เกาซูพาน้องสาวออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ตัวอำเภอ
เธอหันมองไปทางหมู่บ้านของสามี จากนี้ไป คงไม่มีโอกาสได้กลับมาบนภูเขาแห่งนี้อีกแล้ว…
“พี่… นี่พี่… กับพี่เขย… มีปัญหาอะไรกันเหรอ” เกาผิงอันไม่ใช่คนโง่ ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
เกาซูยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกนั้นหรอก เธอแค่ตั้งใจเรียนก็พอ พวกเราสองพี่น้องยังมีเส้นทางอีกยาวไกล ยังมีวันเวลาดี ๆ อีกมากมายรออยู่ข้างหน้า”
“ค่ะ” เกาผิงอันยืนเคียงข้างพร้อมจับมือพี่สาวไว้แน่น “ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะอยู่ข้างพี่เสมอนะ”
“ไปกันเถอะ” เกาซูผายมือไปยังรถลากที่จอดรออยู่
และในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟ จากนั้นก็นั่งรถไฟเข้าตัวเมืองของจังหวัด เพื่อกลับไปยังโรงงานเสื้อผ้าเหมาเหมา
เวลานี้โรงอาหารคงปิดแล้ว สองพี่น้องจึงแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านหน้าโรงงานก่อน แล้วจึงค่อยเดินเข้าไป
เกาผิงอันยังใหม่กับสถานที่แห่งนี้ สายตาจึงมองสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ “พี่… พี่เหวินอยู่ไหนเหรอ?”
“เขาอยู่หอพักชายน่ะ” เกาซูชี้ไปยังตึกด้านหลัง “เขาอยู่ตึกนั้น ส่วนเราอยู่ตึกนี้ ระหว่างนี้เธอไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น แค่ตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปก็พอ เข้าใจไหม”
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” น้องสาวเดินตามเกาซูเข้าไปในหอพักด้วยความตื่นเต้น “พี่… พวกเรานอนเตียงเดียวกันใช่ไหม?”
“ใช่แล้วล่ะ” เกาซูวางกระเป๋าลงแล้วเริ่มจัดของ “ทำไม? ไม่ชินเหรอ?”
“เปล่าค่ะ!” น้องสาวหัวเราะ “ฉันชอบต่างหากล่ะ!”
เกาซูยิ้ม “เก็บของเข้าที่ซะ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว อาบน้ำนอนพักผ่อนเถอะ”
เกาซูรู้สึกเหนื่อยล้าจริง ๆ แต่ไม่ใช่เหนื่อยกาย หากแต่เหนื่อยใจต่างหาก
ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา เธอรู้สึกราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับอยู่บนอก ทำให้หายใจไม่สะดวก และได้แต่คิดว่า หากได้นอนพักก็คงจะลืมความรู้สึกเหล่านี้ไปได้บ้าง แต่เธอก็คิดผิดถนัด เพราะนอกจากการนอนจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว ยังทำให้เธอฟุ้งซ่านมากกว่าเดิมเสียอีก
กระทั่งหลับไปแล้ว เรื่องของมู่อวิ่นเฉิงก็ยังตามมาหลอกหลอนถึงในฝัน
MANGA DISCUSSION