บทที่ 9 แล้วคุณอยากให้ผมอยู่ไหม
เขาแอบฟังตอนเธอกับหลิวเจียทะเลาะกันอย่างนั้นเหรอ?
เธอแสร้งกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้น… น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ร่วงเผลาะลงมาทันที “ฮึก… เพราะฉันเป็นคนแบบนี้… คุณเลยไม่เชื่อฉันใช่ไหม?”
เกาซูตัดสินใจครั้งใหญ่ เธอใช้แขนโอบรอบคอของเขาไว้แน่น ริมฝีปากคลอเคลียข้างหูของชายหนุ่ม ก่อนจะกระซิบเบา ๆ “มู่อวิ่นเฉิง ฉันจะไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่า… คุณมัน… ไม่เอาไหน ไม่เคยทำหน้าที่สามี ไม่ว่าจะนอกบ้าน หรือ ‘บนเตียง’”
“เกาซู!” ในที่สุดเขาก็โกรธขึ้นมาจริง ๆ เสียที
“ว่ายังไงล่ะคุณสามี รู้จักมีอารมณ์กับเขาด้วยเหรอ หึ โดนแค่นี้ก็โกรธแล้ว… แต่ฉันล่ะ ฉันโดนชาวบ้านด่าทอว่าเป็นผู้หญิงมั่วผู้ชาย ฉันไม่น่าโมโหกว่าหรือไง… ทั้งที่ฉัน… ‘ยังบริสุทธิ์’”
“ถ้าเธอยังยั่วฉันอยู่แบบนี้ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
หญิงสาวกระตุกรอยยิ้มร้าย ก่อนจะใช้ปลายนิ้วไล้แผ่นอกกำยำ และไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่ง…
ลมหายใจของชายที่อยู่เบื้องหน้าหอบถี่ เขากระชับข้อมือของเธอเอาไว้แน่น ก่อนจะจู่โจมโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว
มู่อวิ่นเฉิงกระชากภรรยาลงมาอยู่ใต้ร่าง ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงมาทาบทับริมฝีปากของเธออย่างดุดัน
ในเมื่อเธอต้องการท้าทายความสามารถของเขา มู่อวิ่นเฉิงก็จะสนองให้ตามที่เธอร้องขอ
ชายหนุ่มบดจูบอย่างเร่าร้อน ลิ้นอุ่นกวาดต้อนและรุกล้ำอย่างรุนแรง ราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว…
เสียงลมหายใจหอบกระชั้น ความรู้สึกวาบหวามแล่นพล่านไปทั่วร่างของทั้งคู่
เกาซูรู้สึกมึนเบลอ เผลอกำเสื้อของเขาไว้แน่น ราวกับว่า ทุกอย่างรอบตัวเธอได้หยุดนิ่งลงไป
มู่อวิ่นเฉิงผละออกจากเธอ ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าภรรยาของเขาอ่อนด้อยประสบการณ์บนเตียงมากเพียงใด ในเมื่อเป็นแบบนี้ คงไม่มีทางมัดใจชายที่ไหนได้ ‘นอกจากเขา’
เกาซูยังคงมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ สติของเธอเลื่อนลอยเกินกว่าจะรู้ตัวว่า มู่อวิ่นเฉิงได้หยุดการกระทำลงไปแล้ว และตอนนี้เขาก็ได้อุ้มเธอกลับขึ้นมาบนเตียงโดยที่ตนเองก็ทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ
“นอนซะ” เขาออกคำสั่งเสียงเข้ม ก่อนจะเอี้ยวตัวไปดับไฟ
เกาซูสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปวดตุบที่ริมฝีปาก เธอยกมือขึ้นแตะมันอยู่อย่างนั้นราวกับไม่อยากเชื่อว่า สามีของเธอได้ลุกล้ำเข้ามาแล้ว
ในชาติก่อน ระหว่างเธอกับเขาไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน มีเพียงเธอที่แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ออกมา จนอีกฝ่ายเองก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ถึงอย่างนั้น มู่อวิ่นเฉิงก็ยังดูแลเธอ พยายามปฏิบัติหน้าที่สามีที่ให้เกียรติกัน จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา
“ฉันเชื่อใจเธอ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในความมืด
เกาซูเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาบอกว่าเชื่อในตัวเธออย่างนั้นเหรอ?
มุมปากของเกาซูยกขึ้นบาง ๆ ก่อนจะขยับเข้าไปซุกในอ้อมกอดของมู่อวิ่นเฉิง แล้วหลับไป
ในที่สุดเธอก็ผ่านวันคืนอันแสนยาวนานนี้ไปได้เสียที
เช้าวันต่อมา เกาซูตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่ม ส่วนฟูกที่ปูอยู่บนพื้นก็ถูกพับเก็บไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เธอก็กอดผ้าห่มแน่น ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย
ที่จริงแล้ว นับตั้งแต่ที่เธอได้มีชีวิตใหม่ เกาซูก็นอนหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไรนัก เธอต้องทรมานกับฝันร้ายที่คอยวนเวียนอยู่ซ้ำ ๆ ทั้งคืน บางครั้งก็ฝันเห็นหลานชายแสดงสีหน้าชั่วร้าย และบางครั้งก็ฝันถึงตอนที่กำลังจะถูกฆ่า เธอรู้สึกอึดอัดราวกับจะขาดอากาศหายใจตาย ทว่าฝันร้ายที่หลอกหลอนเธอมากที่สุด คือตอนที่เธอได้รับโทรเลขจากกองทัพ แจ้งว่ามู่อวิ่นเฉิงเสียชีวิตแล้ว เธอทรุดลงไปกับพื้น ร้องไห้จนแทบขาดใจ… นั่นแหละ… ที่แย่กว่าวันสุดท้ายในชีวิตของเธอ
และทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ความเจ็บปวดแสนสาหัสในฝันเหล่านั้น มักจะย้อนกลับมาหลอกหลอนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เกาซูไม่สามารถข่มตาหลับได้ แต่เมื่อคืนนี้ การที่ได้รับรู้ว่ามีมู่อวิ่นเฉิงที่เธอโหยหานอนอยู่ข้าง ๆ กันนั้น มันช่างอบอุ่น และรู้สึกปลอดภัย จนเธอผล็อยหลับไปโดยง่ายดาย
ขณะที่กำลังขวยเขินกับเรื่องเมื่อคืน เกาซูก็สะดุ้งขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก
เสียงนั้นเป็นเสียงงอแงของจงอี้ ดูท่าทางจะถูกผู้เป็นพ่อกำลังดุอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เธอรีบลุกขึ้นมาแต่งตัว แล้วเดินออกมาดู จากนั้นก็พบว่ามู่อวิ่นเฉิงกำลังเดินกอดอกจ้องมองจงอี้ด้วยสายตาคาดคั้นอยู่
“มีอะไร ทำไมคุณต้องดุจงอี้ด้วย?” เธอถาม
มู่อวิ่นเฉิงกลับมาทำหน้าเป็นปกติ “เขากำลังจะหนีออกจากบ้าน! ดีนะที่ฉันไปเจอเขาที่ปากทางเข้าหมู่บ้านพอดี ไม่อย่างนั้น…”
เกาซูฟังแล้วก็นึกถึงคำพูดของจงอี้เมื่อวานนี้ขึ้นมาทันที ตอนที่เขาบอกว่า “ผมจะไปแล้ว…”
เด็กคนนั้นจะหนีออกจากบ้านจริง ๆ ด้วย!
“ฉันขอไปคุยกับเขาสักหน่อยนะ”
จากนั้นเกาซูก็หายเข้าไปในครัว และกลับมาพร้อมแก้วนมอุ่น ๆ เดินเข้าไปในห้องของจงอี้
เด็กน้อยนั่งหงอย อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง แม้จะได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา แต่เขาก็ไม่ยอมหันกลับไป
“จงอี้”
เกาซูเรียกเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงน้ำนวล
ถึงอย่างนั้น เด็กน้อยก็ยังคงนั่งเงียบ ๆ ไม่ตอบอะไร
“โดนพ่อดุมาเหรอ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไร เธอจึงถามต่อ
เด็กน้อยพยักหน้ารับงึก ๆ เป็นคำตอบ
“ทำไมถึงโดนดุ เรารู้หรือเปล่า?”
เด็กน้อยส่ายหน้า
เกาซูผ่อนลมหายใจช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดู ‘ใจดีกว่าปกติ’
“ผมแค่ไม่อยากเป็นตัวปัญหา ถ้าออกจากบ้านไป ทุกคนก็จะมีความสุข”
“ถ้าออกไปแล้วทุกคนมีความสุข แล้วพ่อจะดุทำไมล่ะ?”
คำพูดของเกาซูกระตุกหัวใจเด็กน้อยให้คิดอะไรได้มากขึ้น
หากพ่อดีใจที่เขาจะออกไป ก็คงไม่ตามเขากลับมา แล้วดุด่าด้วยสีหน้าเป็นห่วงแบบนั้น
ทว่า เมื่อเขามองหน้าเกาซูแล้วก็เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น ที่ผ่านมา เกาซูไม่เคยสนใจ หรือแสดงออกว่าชอบเขาเลยแม้แต่น้อย การมีเขาอยู่ที่นี่ ก็อาจจะไม่ถูกใจอีกฝ่ายนัก
“แล้วคุณล่ะครับ… คุณอยากให้ผมอยู่ที่นี่ไหม”
เกาซูเบิกตากว้าง นิ่งอึ้งกับคำถามของอีกฝ่าย แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปก่อนที่จะได้โอกาสมีชีวิตใหม่ ตอนนั้น การกระทำที่เธอมีต่อเด็กน้อยตรงหน้าช่างห่างไกลจากคำว่าเอ็นดูเหลือเกิน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เกาซูก็อยากจะแก้ไขมันให้ดีขึ้นมาอีกครั้งจึงตอบเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าฉันไม่อยากให้อยู่ เมื่อวานฉันจะยกนมผงให้เธอทำไมล่ะ”
เด็กน้อยเอียงคอ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว ตั้งแต่รู้จักเธอมา ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างนี้มาก่อน
มันช่างอบอุ่น และรู้สึกราวกับได้รับความรักจากคนในครอบครัวอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กดื้อเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว ก็ลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ วันนี้ฉันทำอะไรให้เธอกินสักหน่อยดีกว่า… หยุดคิดมาก แล้วไปขอโทษพ่อซะ จากนี้ไป ก็อยู่ห่าง ๆ ไอ้เด็กนั่นเข้าไว้ล่ะ เข้าใจไหม”
เกาซูทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่ยังคั่งค้าง
ชาติที่แล้ว เธอทำอาชีพเกี่ยวกับอาหาร ดังนั้น ฝีมือทำอาหารของเธอจึงไม่ธรรมดา แต่ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่กับตระกูลมู่ เธอได้ชื่อว่าเป็นคนขี้เกียจ ไม่เคยทำอะไร แถมของอร่อย ๆ ก็ไม่เคยแบ่งใครอีกต่างหาก
ทว่า วันนี้เกาซูกลับเข้าครัว!
MANGA DISCUSSION