บทที่ 85 ฉันจะแนะนำผู้ชายที่ดีกว่ามู่อวิ่นเฉิงให้เธอ
เกาซูถึงขั้นวางแผนที่จะเช่าบ้านใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย พาจงอี้ไปอยู่ด้วย เพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีกว่าในชนบท และเมื่อเขามาเยี่ยมก็จะได้มีที่พัก
นั่นจะเป็นบ้านของพวกเขาสองคน
เธอได้จินตนาการถึงการตกแต่งบ้านเอาไว้แล้วเช่นกัน…
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ
บางทีเขาอาจจะไม่ต้องการเธอแล้วก็ได้…
ถ้าเขาไม่ต้องการเธอแล้ว จงอี้ก็คงไม่ต้องการเธอเช่นกัน
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะเหลือเพียงแค่โรงงานเท่านั้นที่ยังเป็นของเธอ
ไม่สิ… บ้านก็ยังเป็นของเธออีกด้วย
เธอจะยังสามารถเช่าบ้านได้ สามารถตกแต่งบ้านตามที่เธอต้องการ ให้เป็นบ้านที่แสนสบายสำหรับเธอและเกาผิงอัน เพียงแค่พวกเธอสองคน ไม่มีคนอื่น!
แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน…
เอาเข้าจริง อาชีพการงานก็ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง
เธอคิดพลางยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความขมขื่นเล็กน้อย แต่ก็มีความรู้สึกปลงตกอยู่ในนั้นด้วย
“เกาซู?” เขาเรียกเธออีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเธอด้วยความสงสัยและครุ่นคิด
“หืม?” เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยื่นหนังสือให้เขาดู “คุณช่วยดูข้อนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
เขามองดูสมุด แล้วก็มองหน้าเธอ จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “เธอเหม่ออะไรอยู่? คิดอะไรอยู่เหรอ?”
“หา? ฉันไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย! แค่กำลังคิดเกี่ยวกับโจทย์ข้อนี้อยู่ งั้นฉันลองทำเองก่อนดีกว่า ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ค่อยมาถามคุณแล้วกัน”
เกาซูก้มหน้าลงทำโจทย์ต่อ ไม่คิดจะสบตาเขาอีก
เธอเข้าใจทุกอย่างอย่างถ่องแท้แล้ว…
เธอมาที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณของเขาเท่านั้น…
หากเขามีอนาคตที่สดใสกว่า มีโอกาสที่ดีกว่า เธอควรจะดีใจกับเขาไม่ใช่เหรอ?
เธอจะปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่ต้องการ โดยจะไม่โกรธเกลียดเขาเลยสักนิด…
แน่นอนว่า การชวนทะเลาะในโรงพยายามก็จะไม่เกิดขึ้น เธอจะไม่ทำให้เขาต้องมาปวดหัวเพราะความงี่เง่าของเธอเด็ดขาด
เขาจะพูดอะไร จะทำอะไร เธอก็จะทำตามนั้น
ตอนนี้เขาต้องการให้เธอดูแล เธอก็จะดูแลเขาให้ดีที่สุด แม้ว่าจะต้องจ้างพยาบาลพิเศษ เงินที่เขาให้เธอมามีมากพอที่จะดูแลเขาได้อีกนาน
เมื่อเขาหายดี และทำเรื่องย้ายอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อเขาไม่ต้องการเธอ… เธอก็จะกลับไป…
จะกลับไปทำงานหาเงิน ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย แล้วไปเรียนหนังสือ พร้อมกับเกาผิงอัน ใช้ชีวิตของพวกเธออย่างมีความสุข แค่นั้นก็พอแล้ว
ถึงจะต้องเศร้า หรือเจ็บปวด แต่ใครบ้างล่ะที่ไม่เคยเจ็บปวดในชีวิต?
ถึงอย่างนั้น ทุกอย่างจะผ่านไปได้แน่นอน…
ในช่วงบ่ายวันนี้ นอกจากการดูแลเขาแล้ว เกาซูก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำโจทย์
เธอทำทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยไม่ถามเขาอีกเลย
สุดท้ายแล้ว ทุกคนควรต้องพึ่งพาตัวเองไม่ใช่หรือไง?
เขาก็ไม่สามารถเป็นครูของเธอได้ตลอดไปนี่นา! บางทีอาจจะแค่ครึ่งเดือน หลังจากครึ่งเดือน เมื่อเขาฟื้นตัวดีแล้ว เธอก็สามารถกลับไปได้ แล้วตอนนั้นจะไปถามใครล่ะ?
เธอหมกมุ่นอยู่กับการทำโจทย์จนกระทั่งถึงมื้อเย็น โรงอาหารเปิดให้บริการแล้ว แต่เธอยังคงครุ่นคิดอยู่
ส่วนคนที่นำอาหารเย็นมาส่งให้มู่อวิ่นเฉิงก็มาถึงแล้ว…
คราวนี้มีแค่จางเซียวเหม่ยมาคนเดียว
เธอเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงมาก เสียงของเธอดังขึ้นก่อนที่ตัวจะเข้ามาเสียอีก
“สวัสดีค่ะคุณพยาบาล”
เกาซูได้ยินดังนั้นก็รีบยัดหนังสือเข้าลิ้นชักอย่างลวก ๆ แล้วถือกล่องข้าวสองชั้นไว้ “ถึงเวลากินข้าวแล้ว! ไปก่อนนะ” พูดจบก็อุ้มกล่องข้าววิ่งออกไป
มู่อวิ่นเฉิงเอนตัวพิงเตียงคนไข้ มองเงาด้านหลังของเธอจากไปอย่างร้อนรน…
ระหว่างทางไปโรงอาหาร เกาซูบังเอิญเจอกับจูหว่านหรง ซึ่งถือถุงผ้าใบที่ข้างในเต็มไปด้วยหนังสือเรียนสำหรับเตรียมสอบ เธอเอามาให้เกาซู
“ว้าว เยอะจัง! ขอบคุณนะที่ลำบากมาส่งให้!” เกาซูกอดหนังสือไว้ในอ้อมแขนด้วยความดีใจ
จูหว่านหรงมองเธอพลางขมวดคิ้ว “เธอยังยิ้มออกอีกเหรอ!”
“หืม? ทำไมจะยิ้มไม่ได้ล่ะ?” เกาซูแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
จูหว่านหรงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดไว้ ในที่สุดเธอก็ไม่อยากพูดสิ่งที่ทำให้เกาซูกังวลใจออกมา จึงได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ฉันแบกหนังสือกองโตมาให้เธอ ไหล่แทบจะหักอยู่แล้ว เธอจะขอบคุณฉันยังไงดี?”
จะขอบคุณยังไงดีล่ะ?
เกาซูคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นฉันเลี้ยงข้าวเธอก็แล้วกัน”
“งั้นขอเป็นร้านอาหารข้างนอกนะ”
“ได้สิ”
จูหว่านหรงรู้ว่าเกาซูมีเงินเยอะมาก เธอจึงไม่คิดเกรงใจ
ทั้งสองคนไปกินข้าวที่ร้านอาหารเล็ก ๆ นอกโรงพยาบาล จูหว่านหรงสั่งอาหารมาสองสามอย่าง
เกาซูรู้สึกขอบคุณจูหว่านหรงจากใจจริง ไม่เพียงแค่เพราะนำหนังสือมาให้เธอ แต่ยังมาอยู่เป็นเพื่อนกันในตอนที่กำลังอึดอัดใจ
ทั้งสองคนกินอาหารพร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย ระหว่างนั้น จูหว่านหรงก็พยายามกระตุ้นให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง “ถ้าเธอมาสอบที่นี่ เราก็จะได้เจอกันบ่อย ๆ”
“จริงเหรอ? แล้วโรงงานของเราล่ะ? จะทำยังไง?” เกาซูถามแบบทีเล่นทีจริง
หลู่เหยาหลี่พูดถูก จูหว่านหรงยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ การทำธุรกิจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและไม่แน่นอน แต่ก็เธอก็ยังไม่นึกถึงส่วนนั้น
จูหว่านหรงถึงกับอึ้งไปกับคำถามนั้น เธอยิ้มแห้ง ๆ “ฉันลืมเรื่องนั้นไปเลย… แต่ไม่เป็นไรหรอก มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอยู่ในเมืองหลวง เธอต้องมุ่งมั่นสอบเข้าให้ได้นะ!”
ในใจของจูหว่านหรงคิดว่า ‘ฮึ มาเมืองหลวงเลยสิ! ฉันจะแนะนำผู้ชายที่ดีกว่ามู่อวิ่นเฉิงให้เธอ มู่อวิ่นเฉิงกับจางเซียวเหม่ยเป็นใครกัน! ถึงตอนนั้นฉันจะทำให้สองคนนั่นต้องแหงนหน้ามองเธอ!’
ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อย กินอาหารไปเพียงเล็กน้อย สุดท้ายอาหารทุกจานก็เหลือมากกว่าครึ่ง
“ฉันกินต่อไม่ไหวแล้ว ขืนยังกินต่อ ฉันคงถอดกระโปรงตัวนี้ไม่ได้อีก” ในยุคนั้นยังไม่มีแนวคิดเรื่องการลดน้ำหนัก แต่จูหว่านหรงดูเหมือนจะนำหน้ายุคสมัยไปหน่อย “ถ้ายังกินอีก ชุดใหม่ของฉันสำหรับฤดูร้อนปีนี้ก็จะใส่ไม่ได้แล้ว”
“ไม่ต้องฝืนหรอก งั้นฉันขอห่อกลับก็แล้วกันนะ” เกาซูเผลอพูดคำว่า ‘ห่อกลับ’ ออกมาโดยไม่ทันคิด พูดจบก็เพิ่งนึกได้ว่า สมัยนี้ยังไม่มีกล่องใส่อาหารสำหรับกลับบ้านด้วยซ้ำ เธอจึงให้ร้านตักอาหารที่เหลือทั้งหมดใส่ในกล่องข้าวสองชั้นที่ตนเองพกมาด้วย
ช่วงนี้จูหว่านหรงไม่ค่อยพอใจมู่อวิ่นเฉิงนัก เธอไม่อยากเห็นหน้าเขา เธอจึงช่วยเกาซูแบกหนังสือมาส่งถึงหน้าแผนกผู้ป่วยในแล้วก็กลับไป โดยไม่ได้ทักทายมู่อวิ่นเฉิง
เกาซูแบกหนังสือพร้อมกับถือกล่องอาหาร เดินเข้ามาอย่างยากลำบาก
เธอวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อน แล้วค่อยเก็บหนังสือ
เกาซูตั้งใจจะเก็บอาหารไว้กินในเช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่กำลังจะเปลี่ยนที่วางกล่องข้าว เธอจึงถามสามีตามปกติว่า อยากเข้าห้องน้ำหรือต้องการเช็ดตัวหรือไม่
เมื่อเขาตอบว่าไม่ต้องการทำอะไรทั้งนั้น เกาซูจึงนั่งลงอ่านหนังสือต่อ
สักพัก เธอรู้สึกว่ามู่อวิ่นเฉิงกำลังจ้องมองเธออยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมองเขากลับ
มู่อวิ่นเฉิงกำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยสายตาแปลกประหลาด ราวกับว่าเธอกลายเป็นตัวประหลาดไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เกาซูรู้สึกขนลุกซู่โดยไม่ทราบสาเหตุ
เธอปิดหนังสือลง เดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วจ้องมองเขาอย่างพิจารณา
เขาเป็นอะไรไปกันแน่?
ทันใดนั้น คางของเธอก็ถูกบีบแน่น
เขาบีบแก้มทั้งสองข้างของเธอจนปากเบะ
“คุณทำอะไรน่ะ?” เกาซูร้องถามขณะถูกบีบแก้มจนปากเบะ เสียงของเธอก็ฟังดูแปลก ๆ
“เธอกินข้าวมาแล้วใช่ไหม?” เขาถาม
MANGA DISCUSSION