บทที่ 78 อยากเปิดโรงงานเสื้อผ้า
“การตัดสินใจซื้อขายของพวกคุณมันน่าสงสัยจริง ๆ!” ฟู่จิงซือโวยวายลั่น “เกาซู บอกฉันมาสิ เธอแอบยัดเงินใต้โต๊ะใช่ไหม? ยัดไปเท่าไหร่ล่ะ?”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของฟู่จิงซือ ในลานจัดมหกรรมสินค้าก็เกิดความโกลาหลขึ้น
“เดี๋ยวนี้ยังมีคนกล้าทำเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? นี่มันไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”
“นั่นสิ! มันจะมากเกินไปแล้ว ยัดเงินใต้่โต๊ะ เพื่อให้ได้ยอดคำสั่งซื้อมา รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“ความสามารถก็ไม่มี แต่ดันได้ยอดคำสั่งซื้อเยอะขนาดนั้น ถ้าไม่โกงมา แล้วมันจะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?”
เสียงซุบซิบระงมทั่วทั้งลานสินค้า คนที่มามุงดูต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า เกาซูใช้เงินซื้อยอดสั่งสินค้ามา
พนักงานขายบางโรงงานถึงกับตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า “ใช่แล้ว! ผมได้ยินมาจริง ๆ ว่ามีคนเข้าทางหลังบ้านแอบยัดเงินใต้โต๊ะ! ไม่รู้ว่าเป็นโรงงานไหน ช่างไร้ยางอายจริง ๆ!”
“แบบนี้มันโกงกันชัด ๆ!”
“ใช่! จับตัวพวกเขาไปส่งสถานีตำรวจกันเลย!”
หลู่เหยาหลี่ปรายตามองเป่าเจียงซานและฟู่จิงซือ แม้เธอจะยิ้มอยู่ แต่แววตาของเธอกลับแฝงไปด้วยความไม่พอใจบางอย่าง “บังเอิญจังเลยนะ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันว่ามีคนทำเรื่องไม่ดีลับหลังอยู่ ใช้วิธีสกปรกแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือกลั่นแกล้งคู่แข่งด้วยการทำลายผลงาน แถมยังฉวยโอกาสเอางานของตัวเองออกมาวางขายอย่างหน้าตาเฉย ที่สำคัญไปกว่านั้น… ยังแอบส่งเงินใต้โต๊ะไปให้ลูกค้าอีก แหม… คนแบบนี้มันน่าจับส่งตำรวจจริง ๆ!”
ใบหน้าของเป่าเจียงซานซีดเผือดลงทันที
หลู่เหยาหลี่ยิ้มแล้วหันไปถามทุกคน “ทุกคนว่าฉันพูดถูกไหม? ฉันสนับสนุนให้แจ้งตำรวจ ให้ตำรวจมาที่นี่ แล้วสืบให้กระจ่างไปเลย!”
ใบหน้าของฟู่จิงซือแดงก่ำ เขาอยากจะโต้กลับไปอีก แต่ก็ถูกเป่าเจียงซานดึงไว้แน่น
พวกเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเกาซูได้ยัดเงินใต้โต๊ะหรือเปล่า แต่พวกเขาเองนั้นได้ส่งเงินไปจริง ๆ!
“อ้อจริงสิ… คุณเกาซู ฉันสนใจในพรสวรรค์ของคุณมาก ตอนนี้เราเซ็นสัญญากันแล้ว ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะนั่งคุยกันสักหน่อยไหม? เรามาคุยกันเรื่องเสื้อผ้าดี ๆ กันเถอะ” หลู่เหยาหลี่พูดกับเกาซูทั้งรอยยิ้มจริงใจ
จูหว่านหรงขยิบตาให้เกาซูอย่างซุกซน
ฝ่ายเกาซูก็หัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้าละเหี่ยใจ ก่อนจะตอบตกลง
เกาซูพาตู้เหลียงและมู่เยี่ยนฟางไปด้วยกัน ผู้จัดการโรงงานจิ้งและผู้จัดการฝ่ายขายเซี่ยบอกว่าตนเองยังไปไม่ได้เพราะต้องสะสางงานให้แล้วเสร็จ
ผู้จัดการโรงงานจิ้งและผู้จัดการฝ่ายขายเซี่ยหอบใบสั่งซื้อมากมายด้วยความยินดี เตรียมตัวกลับไปจัดการการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก
“ไอ้พวกนั้นมันขี้ขลาดจริง ๆ! กลั่นแกล้งได้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็ก ๆ” หลู่เหยาหลี่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ก่อนจะชี้หน้าเกาซู “เธอโดนรังแกขนาดนี้แล้ว จะปล่อยไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
นิสัยของหลู่เหยาหลี่นั้นเด็ดขาดและกล้าหาญ มีกลิ่นอายของทหารอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สั่งซื้อโดยที่ยังไม่ได้เห็นตัวอย่างเสื้อผ้า อาศัยเพียงแค่ฟังเกาซูอธิบายเท่านั้น
เกาซูเพียงแค่ยิ้มรับ
หลู่เหยาหลี่อดไม่ได้ที่จะพูดต่อ “เธอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า ฉันจะมาสั่งซื้อเสื้อผ้าของเธอ? ถึงได้ใจเย็นขนาดนี้?”
“ฉันไม่รู้หรอกค่ะ” เกาซูพูดอย่างจริงจัง “ฉันแค่มั่นใจในตัวเอง เพราะมีความมั่นใจ เลยไม่กลัวใครจะมาขัดขวางทั้งนั้น”
“เฮอะ!” หลู่เหยาหลี่มองจูหว่านหรง “เกาซูเป็นคนหยิ่งผยองขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นบอกฉัน ตอนแรกฉันนึกว่าเธอเป็นคนอ่อนแอ โดนรังแกแล้วจะร้องไห้อย่างเดียวซะอีก”
จูหว่านหรงเคยเห็นแบบร่างชุดนี้ของเกาซูมาก่อน “ไม่ใช่หรอกค่ะ เธอมีพรสวรรค์จริง ๆ เสื้อผ้าอาจถูกสับเปลี่ยนได้ แต่พรสวรรค์ไม่มีใครขโมยไปได้หรอกนะ!”
“นั่นสิ…” หลู่เหยาหลี่เดิมทีก็ชื่นชมพรสวรรค์ของเกาซูอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งชอบไปอีก โดยเฉพาะ ‘ความมั่นใจ’ ของอีกฝ่าย
หลู่เหยาหลี่พยักหน้า “เจ้าสองคนนั้น ฉันไม่ใส่ใจจะรู้ชื่อแซ่หรอกนะ แต่ตอนนี้เรารู้พฤติกรรมของพวกเขาแล้ว การจัดการคนแบบนี้มันง่ายยิ่งกว่าหายใจซะอีก”
แต่ประเด็นสำคัญของหลู่เหยาหลี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้
“ว่าแต่… ในโรงงานของเธอมีคนแบบนี้ เธอไม่รำคาญหรือไง? ได้ยินว่าเธอเป็นแค่คนงานชั่วคราว เธอไม่มีความคิดอยากจะเป็นอย่างอื่นบ้างเหรอ?” หลู่เหยาหลี่ถาม
เกาซูเองก็มีความคิดเอาไว้อยู่แล้ว
เธอเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการอาหารในชาติก่อน ชาตินี้จะยอมเป็นแค่คนงานชั่วคราวในโรงงานได้อย่างไร? แต่เธอเพียงแค่รอโอกาสเท่านั้นเอง
อีกอย่าง เธอเริ่มทำการดัดแปลงเสื้อผ้าเพียงเพื่อหาเงินก้อนใหญ่ได้เร็ว ๆ ความจริงแล้ว เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำงานที่นี่ต่อไปนานนัก แต่ตอนนี้ เมื่อหลู่เหยาหลี่ถามมาเช่นนี้ เธอกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา
“คุณหลู่ คุณมีความเห็นยังไงเหรอคะ?”
หลู่เหยาหลี่โบกมือ “เรียกคุณหลู่อะไรกัน เรียกเหยาหลี่ก็พอ”
เกาซูยิ้ม “อืม… พี่เหยาหลี่… พี่มีความคิดเห็นยังไงงั้นเหรอ?”
หลู่เหยาหลี่กระแอมเสียง ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ใช่ความคิดของฉันหรอก แต่เป็นของเสี่ยวหว่านต่างหาก”
“เธออยากเปิดโรงงานเสื้อผ้า และร่วมหุ้นกับเธอ แต่เด็กคนนี้ทั้งขี้เกียจ ทั้งเอาแต่ใจ และยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้คิดอย่าง พรุ่งนี้คิดอีกอย่าง เธอลองคิดดูเองก็แล้วกัน ว่าจะทำงานกับเธอได้ไหม!”
ธุรกิจเอกชน เป็นเจ้าของกิจการเอง สำหรับเกาซูแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในยุคนี้ มันกลับเป็นเรื่องที่ใหม่มาก
ไม่ต้องพูดถึงมู่เยี่ยนฟางกับตู้เหลียงเลย แม้แต่สองคนจากทางเหนือก็ยังตกใจ “จริงหรือเปล่า?”
“จริงสิ!” จูหว่านหรงไม่พอใจกับการประเมินของหลู่เหยาหลี่ “พวกพี่ชอบบอกว่าฉันเอาแต่เล่น เอาแน่เอานอนไม่ได้ ตอนนี้ฉันอุตส่าห์มีความแน่วแน่ที่จะทำอะไรสักอย่างแล้ว ะราก็มาหัวเราะเยาะฉันอีก!”
“ฉันไม่ได้หัวเราะเยาะเธอสักหน่อย เธอคุยกับเกาซูเองเถอะ” หลู่เหยาหลี่จิ้มหน้าผากจูหว่านหรงด้วยความเอ็นดู
ในเรื่องการเปิดโรงงานของตัวเอง เกาซูกับจูหว่านหรงไม่มีความเห็นขัดแย้ง อาจพูดได้ว่าเห็นพ้องต้องกันทันที
แต่การก่อตั้งโรงงานไม่เหมือนกับการตั้งแผงขายของ ที่แค่ตั้งแผงออกไปก็ได้แล้ว ยังมีขั้นตอนและกระบวนการอีกมากมายที่ต้องทำ แน่นอนว่ามันคือการทำ ‘เรื่องใหญ่’
จูหว่านหรงกลัวว่าเกาซูจะเปลี่ยนใจ จึงรีบยืดอกพูดด้วยแววตามุ่งมั่น “ไว้ใจฉันเถอะ เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง เธอแค่ทำหน้าที่ของตัวเองไปก็พอ”
เกาซูไม่ได้รีบร้อนอะไร เธอยังอยากร่วมงานกับโรงงานเสื้อผ้าเหมาเหมาต่อไปอีกสักพัก ที่นี่คือที่ที่ให้กำเนิดเธอในฐานะนักออกแบบอย่างเต็มตัว เธอยังรู้สึกขอบคุณผู้จัดการจิ้งและผู้จัดการเซี่ยที่ไว้ใจผู้หญิงบ้านนอกอย่างเธอในตอนนั้น
ใช่แล้ว เธอก็แค่ผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง เป่าเจียงซานและฟู่จิงซือพูดไม่ผิด ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร การที่ผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่งสามารถลืมตาอ้าปากได้ โรงงานเสื้อผ้าเหมาเหมาก็ยังมีบุญคุณกับเธอ
เมื่อเกาซูพูดแบบนี้ หลู่เหยาหลี่จึงบอกว่า เธอให้ความสำคัญกับความกตัญญูมากเกินไป
เกาซูทำได้เพียงยิ้มรับ
มันก็จริงอย่างที่จูหว่านหรงว่า ชาติที่แล้วเธอฝักใฝ่ที่จะกตัญญูต่อคนที่ไม่เห็นค่าในตัวเธอ แต่มาตอนนี้ เธอรู้แล้วว่า เธอควรให้ความสำคัญและใส่ใจความรู้สึกคนที่มองก้อนกรวดอย่างเธอว่าเป็นเพชรเสียมากกว่า ใครที่ให้เกียรติเธอ เกาซูก็จะให้เกียรติเขาเช่นกัน นี่เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เธอเพิ่งจะสำนึกได้เอาตอนที่ตายไปแล้ว
หลังจากพูดคุยกับหลู่เหยาหลี่และจูหว่านหรงตลอดทั้งคืน เรื่องการเปิดโรงงานก็ได้ข้อสรุปแล้ว วันรุ่งขึ้น เกาซู ตู้เหลียงและมู่เยี่ยนก็ฟางกลับเข้าโรงงาน
มู่เยี่ยนฟางยังคงตื่นเต้นมากจนถึงตอนนี้ ไม่เพียงแต่ได้เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเมืองหลวงและทางเหนือ แต่ยังจะได้เปิดโรงงานเป็นของตัวเองด้วย!
เกาซูก็รู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้กำลังสนใจเรื่องการทำธุรกิจเป็นพิเศษ
แต่การทำธุรกิจขนาดใหญ่กับการทำธุรกิจขนาดเล็กนั้นแตกต่างกันมาก การทำธุรกิจขนาดใหญ่ต้องใช้ความรู้ทางวิชาการอย่างเต็มระบบ
เธอจึงบอกพวกเขาทั้งสองว่า “ในเมื่อพวกพี่ตั้งใจจะทำธุรกิจกับฉันแล้ว ฉันก็จะบอกไว้เลยว่า เรากำลังเจอกับปัญญาด่านแรกแล้ว พวกเราทุกคนไม่มีความรู้มากนัก ถ้าจะทำธุรกิจใหญ่ ความรู้ทางวิชาการเป็นสิ่งจำเป็น พวกพี่ต้องคิดดูว่า อยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเรียนรู้วิชาการอย่างจริงจังสักสองสามปีไหม?”
เกาซูได้ชักชวนทั้งสองคนให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยความจริงใจ
แต่ทั้งสองคนปฏิเสธหัวชนฝา
MANGA DISCUSSION