บทที่ 74 อุปสรรคอันใหญ่หลวง
“แม่! พอเถอะน่า! เขามาหาเสี่ยวซูต่างหาก” ตู้เหลียงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาไม่อยากให้ครอบครัวต้องขายหน้าต่อหน้าผู้จัดการจิ้งไปมากกว่านี้ จึงจัดการคุมตัวเธอไว้แล้วพูดกับผู้จัดการโรงงาน “เชิญคุยกับเสี่ยวซูตามสบายเลยครับ!”
ตู้จินเฟิงทำหน้างง “ทำไมเขาต้องมาหาเธอด้วย อย่าบอกนะว่า… เธอทำผิดร้ายแรงอย่างนั้นเหรอ!?”
เธอคิดว่าตัวเองเดาถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นผู้จัดการจิ้งคงไม่มาถึงที่บ้านแบบนี้
ทันใดนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป รีบพูดกับผู้จัดการจิ้งด้วยแววตาอ้อนวอน “ผู้จัดการคะ ถ้าเสี่ยวซูทำอะไรผิด มันไม่เกี่ยวกับเสี่ยวเหลียงนะคะ เขาเป็นคนดี ขยัน ซื่อสัตย์ ส่วนเสี่ยวซู เธอมีนิสัยไม่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งขี้เกียจ เอาแต่ใจ ชอบเอาเปรียบคนอื่น ถ้าเธอขโมยของ ให้รู้ไว้ว่า มันไม่เกี่ยวกับพวกเรานะคะ ที่ให้เธอเข้าทำงานในโรงงานก็เพราะสงสาร ถ้าเธอทำงานไม่ได้ ก็ไล่เธอออกเถอะค่ะ พวกเราไม่ว่าอะไรหรอก…”
ตู้จินเฟิงพูดรัวไม่หยุด จนไม่มีใครสามารถแทรกขึ้นมาได้ คำพูดของเธอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกคนฟังแล้วก็ตกตะลึง
ได้ฟังคำพูดใส่ร้ายป้ายสีของตู้จินเฟิงแล้ว มู่เฟินก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เธอเดินเข้ามา เอามือเท้าเอวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“คุณนายตู้ คุณพูดเกินไปแล้ว เสี่ยวซูของเราไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่ ทุกวันนี้ ที่บ้านเรามีความสุข ก็เพราะมีเสี่ยวซูอยู่ เธอหาเงินเยอะแยะมาได้ด้วยมันสมองของเธอ ถ้าคุณจะพูดขนาดนี้ ฉันคงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว”
เดิมทีมู่เฟินอยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลตู้ไว้ เพราะถึงอย่างไร มู่เยี่ยนฟางก็คือคนในครอบครัวนั้น หากมู่เฟินพูดอะไรออกไปจนเผลอสร้างความร้าวฉาน ก็กลัวว่า ชีวิตในฐานะสะใภ้ของบ้านนี้คงเป็นไปได้ยากลำบาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเช่นนั้น มู่เฟินไม่ลืมที่จะหันไปพูดกับมู่เยี่ยนฟาง “เสี่ยวเยี่ยน น้าขอโทษจริง ๆ ที่คำพูดในวันนี้ของน้าอาจทำให้เธอต้องเดือดร้อน แต่ถ้าบ้านนี้ทำร้ายจิตใจเธอจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็กลับมาที่ครอบครัวเราเถอะ”
ตู้จินเฟิงถึงกับเดือดดาลเมื่อได้ยินมู่เฟินแบบนี้ นั่นหมายความว่า เธอพร้อมที่จะตัดขาดกับตระกูลตู้ แต่ก็เป็นห่วงหลานสาว จึงพูดแบบนั้นเพื่อให้เธอมีที่พึ่ง
ตู้เหลียงตกใจมาก เขาไม่นึกว่าเรื่องราวมันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ได้ ในฐานะคนกลาง เขาหนักใจไม่น้อยเลยทีเดียว หากเลือกเข้าข้างเมีย บางทีวันนี้ คงต้องได้ตัดขาดกับพ่อแม่เป็นแน่
นาทีนี้ ไฟเริ่มลามจนยากจะมอดดับ หากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง บางทีบ้านหลังนี้อาจจะกลายเป็นสนามรบไปแล้วจริง ๆ ก็ได้
ตู้เหลียงจึงตัดสินใจที่จะแค่นเสียงเข้มขึ้นมาพูด “ทุกคนออกไปข้างนอกให้หมด! ให้ผู้จัดการจิ้งคุยกับเสี่ยวซูตามลำพัง!” จากนั้นก็หันไปตะโกนใส่แม่ “แม่! ฟังให้ชัด ๆ นะ ผู้จัดการจิ้งมาหาเสี่ยวซู! เสี่ยวซูเป็นคนสำคัญของโรงงาน! ผมกับมู่เยี่ยนฟางได้เข้าทำงานในโรงงานก็เพราะเสี่ยวซูทั้งนั้น! พวกเราได้เป็นแค่พนักงานชั่วคราวซะด้วยซ้ำ”
ใบหน้าของตู้จินเฟิงซีดเผือด ราวกับโดนฟ้าผ่า “แก… แกว่า… อะ… อะไรนะ? ทำไมถึงเป็นเสี่ยวซู? ไม่ใช่แกเหรอ? แกเป็นแค่พนักงานชั่วคราว? ไม่ใช่ว่าโรงงานจ้างแกด้วยเงินเดือนสูงเหรอ? ทำไมถึงเป็นพนักงานชั่วคราว? แล้วทำไมถึงเป็นเพราะเสี่ยวซู?”
เธอเพิ่งจะคุยโวโอ้อวดกับญาติ ๆ และคนในหมู่บ้านไปว่า ถ้าใครอยากเข้าทำงานในโรงงาน ให้มาขอร้องลูกชายเธอได้ ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงคนในหมู่บ้าน เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คงได้เอาปิ๊บคลุมหัวเดินแล้วล่ะสิงานนี้
ความคิดของเธอตีกันมั่วไปหมด เธอถูกตู้เหลียงลากตัวออกไปข้างนอก โดยมีชาวบ้านมามุงดูเหตุการณ์กันอย่างแน่นขนัด
ชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ ต่างก็ซุบซิบนินทาเรื่องสนุก ๆ ที่เกิดขึ้นในตระกูลตู้ เมื่อเห็นครอบครัวของเขาเดินออกมา ชาวบ้านที่ไม่ชอบความโอ้อวดของตู้จินเฟิงจึงถามขึ้นมาอย่างประชดประชัน “ตู้จินเฟิง ไม่ใช่ว่าคนจากโรงงานมาหาลูกชายเธอเหรอ?”
ตู้จินเฟิงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ไม่รู้จะตอบอย่างไร
จากนั้นก็มีคนถามต่อ “พี่จินเฟิง เรื่องก่อนหน้านี้พี่พูดจริงหรือเปล่า ฉันเตรียมส่งลูกชายไปทำงานกับตู้เหลียงแล้วนะ”
“เรียกพี่จินเฟิงได้ยังไง! ต้องเรียกคุณนายตู้สิ!”
“นั่นสินะ คุณนายตู้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ตู้จินเฟิงหน้าซีดเหงื่อตก แต่ยังคงพยายามทำหน้าใหญ่ใจโต “ทำไมจะไม่จริง ลูกชายฉันน่ะ…”
“ไม่ใช่นะครับ!” ตู้เหลียงรีบพูดแทรก “ผมก็เป็นแค่ชาวนาธรรมดาที่บังเอิญได้เป็นลูกจ้างชั่วคราวในโรงงานเท่านั้น ถ้าทำงานไม่ดีก็โดนไล่ออกได้เหมือนกัน ผมไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรเลยสักนิด”
“อ้าว! แล้วที่แม่เธอพูดล่ะ?”
“แม่ผมชอบพูดเกินจริง พวกคุณก็น่าจะรู้ดีนี่… อย่าเชื่อคำพูดของแม่ผมมากนักเลย”
ตู้จินเฟิงส่งสายตาขอร้องให้ตู้เหลียงหยุด แต่เขากลับไม่สนใจ แล้วแบบนี้ เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“ลูกชายฉันแค่ถ่อมตัว…” ตู้จินเฟิงยังคงพยายามแก้ต่าง
แต่ตู้เหลียงกลับพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “แม่! ถ้าแม่ยังพูดจาไร้สาระอีก ผมกับเยี่ยนฟางจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้วนะ!”
ตู้จินเฟิงถึงกับเงียบกริบ ไม่กล้าเงยหน้ามองชาวบ้านอีก
เธออาย… อายจนไม่กล้าจะสบตาใครอีกแล้ว!
ภายในบ้าน ผู้จัดการโรงงานจิ้งและเกาซูกำลังคุยกันถึงเรื่องสำคัญอยู่
ที่แท้ แบบเสื้อผ้าที่เธอออกแบบก็มีปัญหา ซึ่งมีผลกระทบไปถึงคำสั่งซื้อจากห้างร้านต่าง ๆ
ปัญหาก็คือ ชุดตัวอย่างที่ตัดเย็บออกมา ไม่ตรงตามแบบที่เกาซูวางไว้แต่แรก ซึ่งหากปล่อยไป ทางห้างร้านที่สั่งซื้อเข้ามาอาจต้องมีการตีกลับทั้งหมด
ได้ยินแค่นี้ เกาซูก็พอจะเดาออกว่าเกิดใคร
เธอนึกออกแค่สองชื่อเท่านั้น นั่นก็คือเป่าเจียงซานกับฟู่จิงซือ
สองคนนี้มักทำตัวมีปัญหา และอีกอย่างก็เพิ่งมีประเด็นไปคราวก่อน เธอยังสงสัยอยู่เลยว่า เหตุใดโรงงานยังไม่ไล่คนที่ก่อความวุ่นวายมากขนาดนี้ออกไปเสียที
“ถ้าคุณคิดว่าเป็น ‘สองคนนั้น’ ผมคิดว่าน่าจะคิดผิดแล้ว เพราะตั้งแต่หยุดยาวปีใหม่ ทั้งคู่ก็ยังไม่กลับมาเลย” ผู้จัดการจิ้งพูดต่อ “ตอนนี้ เรื่องใครเป็นคนเปลี่ยนแบบเสื้อผ้านั้น เราค่อยสืบหาทีหลังก็แล้วกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราจะแก้ปัญหายังไงกับงานสั่งซื้อสินค้าฤดูกาลใหม่ของคุณ?”
“ร้านเป่าเป้ยยกเลิกคำสั่งซื้อแล้วเหรอคะ?” เกาซูถาม เพราะเธอเคยร่วมงานกับร้านเป่าเป้ยมาหลายครั้ง อีกฝ่ายไว้ใจเธอมาก
ผู้จัดการจิ้งถอนหายใจ “ลูกค้า ยังไม่ได้ตัดสินใจ” เขาส่ายหัว “แต่ถึงยังไงต้องมีปัญหาตามมาแน่ เพราะแบบที่ส่งไป กับชุดที่ตัดเย็บออกมาไม่ตรงตามที่ต้องการ และไม่รู้ด้วยว่า ทางนั้นจะคืนชุดตัวอย่างมาหรือไม่ ผมถึงต้องมาถามคุณที่นี่ ว่าจะจัดการยังไงต่อไปดี ขืนปล่อยไว้แบบนี้ คงได้ล่มจมกันทั้งโรงงานแน่”
เกาซูเข้าใจสถานการณ์ดี เธอจึงตัดสินใจไปเมืองหลวงทันทีอย่างไม่ลังเล
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อแม่สามีของเธอ ได้รู้เรื่องนี้ก็สนับสนุนให้เธอไปจัดการด้วยตนเอง “พวกเราจะดูแลเกาผิงอันกับจงอี้เอง ลูกไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”
ตู้เหลียงและมู่เยี่ยนฟางก็อาสาไปด้วย
เกาซูมองตู้เหลียงด้วยสายตาจริงจัง “พี่เขย… พี่จัดการเรื่องวุ่นวายที่บ้านจบแล้วหรือไง จะด้วยกันแน่เหรอ?”
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นฉันจัดการไปแล้ว แม่ฉันคงก่อเรื่องไม่ได้ไปอีกนาน” ตู้เหลียงไม่อยากเสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระ ไม่ว่าอย่างไร ธุรกิจและการค้าขายย่อมสำคัญกว่า เขาเกิดเป็นลูกพ่อค้า แน่นอนว่าสัญชาตญาณต้องไวอยู่เสมอ
เมื่อตกลงปลงใจกันได้แล้ว ทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไปเก็บกระเป๋า แล้วตรงไปขึ้นรถไฟที่ตัวอำเภอกับผู้จัดการโรงงานในทันที
และก็เป็นดังที่คิดไว้ เธอได้ตั๋วยืนอีกตามเคย ทุกคนที่มาด้วยกันต่างก็ต้องยืนเบียดเสียด จะสบายขึ้นหน่อยก็ตอนที่รถเทียบสถานีในเมืองใหญ่ ๆ เพื่อส่งคนลงไป
ระหว่างทาง ตู้เหลียงเล่าเรื่องหนึ่งให้เธอฟัง หลังจากเทศกาลตรุษจีน แม่ของเกาซู อู๋ซิ่ว ได้มาที่โรงงานเพื่อขอให้เจ้าเกาเหวิน น้องชายของเธอ ได้เข้าทำงาน และตอนนี้เขาก็ได้เข้าทำงานไปแล้ว
MANGA DISCUSSION