บทที่ 61 เสื้อไหมพรมต้องสงสัย
ที่ชายเสื้อด้านซ้ายของเสื้อไหมพรม มีผ้าชิ้นเล็ก ๆ เย็บติดอยู่ ผ้าก็เป็นสีดำเช่นกัน บนนั้นมีตัวอักษรเล็ก ๆ เขียนไว้ แต่มันจางจนแทบมองไม่เห็น
เธอพยายามพิจารณาอักษรตัวนั้นอย่างละเอียดแล้ว พบว่าเป็นคำว่า ‘เฉิง’
เธอพลันเข้าใจว่าทำไมลายถักของเสื้อไหมพรมตัวนี้ถึงได้คุ้นตานัก
เพราะเธอเพิ่งเห็นมันไม่นานมานี้เอง
เสื้อไหมพรมที่ปิงหว่านถือมาให้เธอดู และขอให้เธอนำไปให้มู่อวิ่นเฉิง เสื้อตัวนั้นก็มีลายถักแบบนี้
หัวใจของเกาซูราวกับถูกค้อนใหญ่ทุบอย่างแรง เธอถือเสื้อไหมพรมนั้นเหม่อลอยไปนานสองนาน
“อ้าว? เธอก็ซักผ้าอยู่เหรอ? เธอเป็นคนในครอบครัวของผู้กองมู่ใช่ไหม?” ข้าง ๆ มีภรรยาทหารคนหนึ่งที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเดินมา เธอมีใบหน้าที่น่ารักสดใส หญิงสาวคนนั้นยิ้มพลางพูดคุยกับเธอ ในมือกอดกะละมังเสื้อผ้าไว้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย
เกาซูยิ้มเบา ๆ “อื้ม สวัสดีจ้ะ”
“ฉันเป็นญาติของหลู่ตงเริ่นที่อยู่ห้องข้าง ๆ น่ะ ชื่อจูหว่านหรงนะจ๊ะ แล้วเธอล่ะ?”
“ฉันชื่อเกาซูจ้ะ” เกาซูซักผ้าเสร็จแล้ว ก็ยิ้มพลางเก็บของไปด้วย
“เพิ่งมาเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ”
หญิงสาวตรงหน้ามองกะละมังในมือของเกาซูก่อนจะใช้นิ้วจิ้มดู “เธอซักผ้าเก่งน่าดูเลยนะ วันหลังช่วยสอนฉันบ้างสิจ๊ะ”
“อื้ม ได้สิ แล้วเจอกันนะ”
เกาซูมีเรื่องคาใจไม่น้อย จึงไม่ได้คุยกับเธอมากมายนัก เธออุ้มกะละมังผ้าที่ซักสะอาดแล้วเดินออกไปทันที
หลังจากเกาซูตาก้าเสร็จแล้ว เสี่ยวอวี้ก็มาเรียกเธอ “พี่สะใภ้ ไปกินอะไรหน่อยสิครับ”
เกาซูรู้สึกอึดอัดใจ หันไปมองมู่อวิ่นเฉิง ตอนที่เขาเพิ่งฟื้น เธอรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก แต่ตอนนี้เหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็นทั้งถัง มันทำให้เธอรู้สึกชาวาบไปจนถึงแกนกระดูก
แต่มู่อวิ่นเฉิงกำลังจ้องมองเธออย่างโกรธเคือง ราวกับรู้ว่าเธอไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
เสี่ยวอวี้บอกเขาอย่างนั้นเหรอ?
จริง ๆ แล้ว เธอไม่ได้กินอะไรมามากกว่าหนึ่งวันด้วยซ้ำ นับตั้งแต่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บตอนอยู่ที่หมู่บ้าน เธอก็ไม่รู้รสชาติอาหาร จนกินอะไรไม่ลงอีกเลย
ในเมื่อเห็นสายตาของเขาดูดุดันขนาดนี้ เกาซูจึงเดินออกมาจากห้องพักฟื้นผู้ป่วย ทำท่าจะเดินไปหาอะไรกินแถวนี้
แต่เธอไม่ใช่คนในพื้นที่ ดังนั้น จึงค่อนข้างสับสนว่าควรจะไปที่ไหนดี
“พี่สะใภ้!” เสี่ยวอวี้วิ่งตามออกมา
“ผู้กองสั่งให้ผมพาคุณไปกินข้าวครับ” เสี่ยวอวี้พูดจบแล้วเสริมอีกว่า “ไม่ต้องห่วงผู้กองหรอกครับ มีพยาบาลคอยดูแลอยู่”
เสี่ยวอวี้พาเธอไปที่ร้านเล็ก ๆ ข้างโรงพยาบาล สั่งบะหมี่ร้อน ๆ ให้เธอหนึ่งชาม แต่เกาซูกลับสั่งเพิ่งเป็นสองชาม เพื่อให้เสี่ยวอวี้ได้กินด้วยกัน
ขณะที่เธอนั่งรับประทานอาหาร ความทรงจำเรื่องเสื้อไหมพรมที่เธอตั้งใจถักให้เขาก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมา เธออุตส่าห์เดินทางไกลเพื่อไปฉลองวันเกิดและมอบเสื้อตัวนั้นให้ แต่เขากลับไม่ใส่ใจที่หยิบมันไปสวมใส่
ทันใดนั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ประดังประเดเข้ามาในความคิด
เธอเริ่มเชื่อมโยงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าด้วยกัน เริ่มจากการที่เขาห้ามไม่ให้เธอไปเยี่ยมที่กองทัพ หรือตอนที่เธอกลับมาหาเขาหลังจากเขาเดินทางกลับบ้าน เธอดีใจมากและหวังจะคืนดี แต่เขากลับเอ่ยปากขอหย่า
เธอนึกสงสัยว่าชาติที่แล้ว เธอไม่เคยพูดถึงการหย่าร้าง เหตุใดชาตินี้เขาถึงได้พูดขึ้นมาเสียอย่างนั้น? หรือเป็นเพราะชาติที่แล้วปิงหว่านเดินทางเข้าเมืองไปแล้วไม่ได้กลับมาหมู่บ้านอีกเลย การกลับชาติมาเกิดใหม่ของเธอทำให้เส้นทางชีวิตของปิงหว่านเปลี่ยนไปอย่างนั้นเหรอ?
เธอยิ้มเยาะตัวเอง เมื่อนึกถึงตอนที่เขาขอหย่า เธอขัดขืนและขู่เข็ญด้วยถ้อยคำต่าง ๆ เพียงเพราะอยากชดเชยแก้ไขข้อผิดพลาดและรักเขาให้ดีที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า เธอทำลายโอกาสของเขาไปเสียเอง
หลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยพูดถึงการหย่าร้างอีกเลย บางที… อาจเป็นเพราะเขากลัวคำพูดไร้เหตุผลของเธอ หรือกลัวว่ามันจะส่งผลเสียต่อเธอ หรือบางทีอาจเป็นเพราะเมื่อแต่งงานกับเธอแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะรับผิดชอบเธออย่างเต็มที่
เขาเป็นคนมีความรับผิดชอบเสมอ เหมือนกับในชาติที่แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้รักเธอ แต่เขาก็ทิ้งเงินไว้ให้จำนวนมาก และยังกำชับให้คนในครอบครัวดูแลเธออย่างดี เป็นเพราะรู้สึกผิดต่อเธออย่างมากนั่นเอง
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทั้งชาติที่แล้วและชาตินี้ เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับเธอเลย หรือเป็นเพราะเขาไม่สามารถทำได้ หรือเพราะเขาไม่ต้องการกันแน่?
ความคิดมากมายแล่นวนตีกันอยู่ในหัว สมองทำงานหนักไม่หยุดนิ่ง ร่างกายของเธอก็เคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติ เธอคีบเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างเชื่องช้าและกลืนลงคอไปทีละคำ แม้กระทั่งตอนที่บะหมี่ในชามหมดไป เธอก็ยังไม่รู้ตัว ยังคงยกตะเกียบขึ้นจ่อปากอย่างไร้จุดหมาย
จนกระทั่งเสี่ยวอวี้มองมาที่เธออย่างประหลาดใจ “พี่สะใภ้ ยังไม่อิ่มอีกเหรอครับ? จะสั่งเพิ่มอีกชามไหม?”
คำถามนี้ทำให้เธอรู้สึกตัว “ไม่ล่ะ… อิ่มแล้ว ๆ ไปกันเถอะ” เกาซูตอบอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วย มู่อวิ่นเฉิงก็ตื่นแล้ว
เกาซูมองดูเขาด้วยความรู้สึกเจ็บลึกในใจ
เขามักจะเคร่งขรึมอยู่เสมอ ยิ่งอยู่ต่อหน้าเธอ เขายิ่งดูดุดัน ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเวลาเขาอยู่กับปิงหว่าน เขาจะเป็นคนอย่างไรกันแน่ มู่อวิ่นเฉิงในวัยเด็กนั้น ก็เป็นคนนิ่งขรึมแบบนี้หรือเปล่านะ? หรือว่าอ่อนโยนยิ้มง่าย คอยมอบความสุขให้ปิงหว่านอยู่เรื่อยเลย?
แม้จะบอกว่ามาดูแลเขา แต่ในสภาพเช่นนี้ เธอแทบจะทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากคอยดูสายน้ำเกลือ เปลี่ยนท่าทางให้เขาเป็นระยะ และเทปัสสาวะในถุงทิ้ง
ความว่างเปล่ามักทำให้จิตใจอ่อนแอและถูกอารมณ์ครอบงำได้ง่าย
เกาซูไม่อยากจมอยู่กับความรู้สึกเศร้าแบบนี้เลยจริง ๆ
ในห้องพักฟื้นมีเตียงสำหรับผู้ดูแลอยู่แล้ว เธอจึงนั่งลงบนเตียง นำสมุดและปากกาออกมาจากกระเป๋า แล้วเริ่มร่างแบบชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ตามที่เธอได้สัญญาไว้กับผู้จัดการโรงงาน
เธอมุ่งมั่นวาดภาพต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพยาบาลมาปิดไฟ เธอจึงเก็บสมุดและปากกาไว้ในกระเป๋า
ก่อนนอน เธอไม่ลืมถามมู่อวิ่นเฉิงว่าต้องการอะไรอีกหรือไม่
เขานอนหลับตา ส่ายหัวเบา ๆ เป็นเชิงปฏิเสธ
เกาซูจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เตือนตัวเองว่าต้องตื่นตัวในตอนกลางคืน อย่าหลับลึกเกินไป และต้องตื่นขึ้นมาดูเขาบ่อย ๆ
จากนั้นเธอก็เอนตัวลงนอนบนเตียงของผู้ดูแล
ทว่า เธอคิดมากไปเอง เธอแทบจะไม่ได้หลับเลยสักนิด
เธอพยายามครุ่นคิดถึงงานออกแบบใหม่ และเชื่อว่าการทุ่มเทให้กับงานคือหนทางเดียวที่จะทำให้เธอไม่จมอยู่กับความเศร้า
แต่แล้ว… หมอนของเธอก็เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้น เธอคิดว่าตัวเองกำลังวาดแบบอยู่ในใจแท้ ๆ แต่ไม่นึกว่า ไม่จะทำอะไร มู่อวิ่นเฉิงก็จะตามหลอกไปทุกที่ในความคิด
คืนนั้น เกาซูนอนหลับอย่างกระสับกระส่าย และเพราะอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ นี้ จึงทำให้เธอตื่นตั้งแต่เช้ามืด
หมอบอกว่ามู่อวิ่นเฉิงยังทานอาหารไม่ได้ เธอจึงไปล้างหน้าแปรงฟัน
เสื้อผ้าที่เปียกเมื่อวานถูกตากไว้บนเครื่องทำความร้อนตลอดคืน ตอนนี้แห้งสนิทแล้ว เธอพับเก็บอย่างเรียบร้อย แต่เมื่อเห็นเสื้อไหมพรมตัวนั้น หัวใจของเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกหนามแหลมคมทิ่มแทงเป็นพันครั้ง
เธอรีบเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดเข้าตู้ ในขณะนั้น มู่อวิ่นเฉิงก็ตื่นขึ้นมาพอดี
หรือจะพูดให้ถูกคือ เขาตื่นขึ้นมานานแล้ว แต่ไม่ได้ขยับตัวหรือลืมตาเท่านั้นเอง
เขาแกล้งหลับอย่างนั้นเหรอ?
เกาซูไปตักน้ำอุ่นจากห้องน้ำเพื่อช่วยเขาแปรงฟันและเช็ดหน้าให้เขา
แต่ปรากฏว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือ
MANGA DISCUSSION